เกิดเหตุปะทะคารมอีกแล้ว คราวนี้เป็นทีอดีตผู้บริหารของไมโครซอฟท์กับไมโครซอฟท์เอง
เมื่อสามวันก่อน คุณ Dick Brass อดีตรองประธานของไมโครซอฟท์ ได้เขียนบทความลง New York Times หัวข้อ "การทำลายความคิดสร้างสรรค์ของไมโครซอฟท์" (Microsoft’s Creative Destruction) โดยกล่าวว่า
คำถามที่สำคัญกว่าคือทำไมไมโครซอฟท์ไม่เคยนำพวกเรา [ผู้ใช้งาน]* ไปสู่อนาคตได้เลย ต่างกับผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆ ของคู่แข่ง ทั้งแท็บเล็ตอย่าง iPad, เครื่องอ่านอีบุ๊กอย่าง Kindle, สมาร์ทโฟนอย่างไอโฟนหรือแบล็คเบอร์รี่, บริการค้นหาข้อมูลอย่างกูเกิล, เครื่องเล่นเพลงอย่างไอพอดและบริการอย่างไอทูน หรือเว็บชุมชนออนไลน์อย่างเฟสบุ๊กหรือทวิตเตอร์
คุณ Brass ยังได้กล่าวต่ออีกว่า ไมโครซอฟท์มักนำเสนอแต่ผลประกอบการที่มาจากผลิตภัณฑ์ที่ถูกสร้างขึ้นเมื่อนานมาแล้ว (อย่างล่าสุดที่ไมโครซอฟท์ได้กำไรในไตรมาสสุดท้ายของปีที่แล้วถึง 6.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเกิดจากการขายวินโดวส์ 7 และออฟฟิศเป็นหลัก (ดูข่าวเก่า โดยคุณ mk)) แต่เขาได้กล่าวว่าไมโครซอฟท์ไม่สามารถพึ่งพาผลิตภัณฑ์เหล่านั้นเพื่อก้าวสู่อนาคตได้ยั่งยืนตลอดไป
คุณ Brass ได้กล่าวว่าไมโครซอฟท์กลายเป็น "คนที่งุ่มงาม ไร้ความสามารถในการเป็นผู้บุกเบิกนวัตกรรม" นอกจากนั้นไมโครซอฟท์ยังทำลายความคิดสร้างสรรค์ของนักคิด [พนักงาน]* เป็นประจำ ซึ่งเกิดจากการแข่งขันภายในบริษัทอย่างรุนแรงและไร้การควบคุม ส่งผลให้กลายเป็นการแย่งชิงและทำลายซึ่งกันและกันของฝ่ายที่ได้เปรียบกว่า [ทีมที่ดูแลโครงการใหญ่และสำคัญกว่า]* จึงไม่น่าแปลกอะไรที่ผู้บริหารที่ดูแลส่วนงานอื่นๆ อย่าง เพลง อีบุ๊ก โทรศัพท์ การค้นหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต และแท็บเล็ตจะพากันตบเท้าตีจากไมโครซอฟท์ไป
ตัวอย่างเช่น เมื่อตอนที่ทีมของคุณ Brass พัฒนาเทคโนโลยีการแสดงผลฟอนต์บนจอแอลซีดี ClearType ซึ่งช่วยเพิ่มความคมชัดให้กับฟอนต์ที่แสดงผล ทำให้ผู้ใช้งานอ่านได้ง่ายไม่ต้องเพ่งสายตามากนัก ซึ่งเทคโนโลยีดังกล่าวจะทำให้ไมโครซอฟท์ได้เปรียบอย่างมากกับฮาร์ดแวร์ทุกตัวที่มีจอแสดงผล แต่วิศวกรในทีมวินโดวส์กลับไปเข้าใจว่าเทคโนโลยีดังกล่าวทำให้การแสดงผลแย่ลง ส่วนหัวหน้าทีมออฟฟิศบอกเทคโนโลยีดังกล่าวคลุมเครือ (fuzzy) และทำให้เขาปวดหัวได้ ส่วนรองประธานกลุ่มอุปกรณ์พกพาบอกว่าเขาจะสนับสนุนเทคโนโลยี ClearType ต่อไปหากโอนย้ายโครงการและทีมพัฒนาไปอยู่ภายใต้การดูแลของเขาเอง ท้ายที่สุด ถึงแม้เทคโนโลยี ClearType ได้รับสิทธิบัตร การสนับสนุน และคำชมเชยจากสาธารณะ (บุคคลภายนอก) ก็ต้องใช้เวลาร่วมทศวรรษก่อนที่เทคโนโลยีดังกล่าวจะถูกนำไปใช้ในวินโดวส์เอ็กซ์พี
ที่มา: New York Times ผ่าน C|Net
ควันยังไม่ทันจางหาย ไมโครซอฟท์ก็ได้เขียนบทความ "มาวัดผลงานของพวกเราจากผลกระทบในวงกว้างที่มันสร้างขึ้น" (Measuring Our Work by Its Broad Impact) ตอบโต้บทความของคุณ Brass ผ่าน The Official Microsoft Blog โดยคุณ Frank Shaw รองประธานฝ่ายสื่อสารองค์กร (Corporate Communications) ได้กล่าวว่า
มันไม่เพียงพอที่จะมีเพียงแค่ไอเดียที่ดีหรือบรรเจิดเท่านั้น พวกเรา (ไมโครซอฟท์) จะวัดผลงานเหล่านั้นจากผลกระทบในวงกว้างที่มันสร้างขึ้น
สำหรับบริษัทที่มีผลิตภัณฑ์ที่เข้าถึงผู้คนจำนวนมาก นวัตกรรมไม่ใช่วัดแค่ความเร็ว (ที่ถูกนำเข้าสู่ตลาด) เท่านั้น แต่ต้องวัดระดับการเข้าถึงผู้ใช้ด้วย (innovation at scale, not just innovation at speed)
คุณ Shaw ได้ยกตัวอย่างผลิตภัณฑ์หลายตัว ทั้ง OneNote ที่ถูกสร้างขึ้นสำหรับแท็บเล็ตและปัจจุบันก็กลายเป็นส่วนสำคัญของชุดโปรแกรมออฟฟิศ หรือเทคโนโลยี ClearType ที่ปัจจุบันถูกติดตั้งไปพร้อมกับวินโดวส์หลายพันล้านเครื่องทั่วโลก หรือ Xbox 360 ที่เป็นเครื่องเล่นเกมคอนโซลแรกของโลกที่รองรับการแสดงผลความละเอียดสูง (HD) และเชื่อมต่อเว็บชุมชนออนไลน์อย่างเฟสบุ๊กและทวิตเตอร์ รวมทั้ง Project Natal ที่นิตยสาร Popular Science, Popular Mechanics และ Time จัดว่าเป็นอันดับหนึ่งของสิ่งประดิษฐ์ของปีที่แล้ว^
ที่มา: The Official Microsoft Blog ผ่าน Engadget
บทความอื่นที่เกี่ยวข้อง
หมายเหตุ
Comments
มันส์พะย่ะค่ะ .. งานนี้ Apple กับ Google ลูบปากซี๊ด .. ! อร่อย!
my blog
ใช่ๆ เพราะกูเกิลกินโดนัท (Android Donut) และผลแอปเปิลก็อร่อยอยู่แล้ว :P
(แล้วมันเกี่ยวกันไหมเนี่ย??)
ป.ล. ข่าวนี้สูบแรงผมไปเกือบหมดเลยตั้งแต่เช้า เหอะๆๆ
เห็นด้วยที่ว่า สร้างนวตกรรมใหม่ได้เร็วแค่ไหนไม่สำคัญ แต่จะเข้าถึงคนใช้ได้เร็วแค่ไหนที่สำคัญ
มีอยู่อย่างนึงที่ไมโครซอฟท์ทำแล้วเป็นที่ฮิตกันคือ "Ribbon"
บางเจ้ามีปุ่มให้ใช้งานแค่ขี้ประติ๋วก็ยังจะใส่ให้มันรกขนาดหน้าจอ - -*
ไมโครซอฟท์ก็ทำได้ดีอยู่ในด้านซอฟท์แวร์หลักๆที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ง่าย
แต่บางค่ายก็ไม่เคยคิดถึงหัวคนใช้ไล่ตั้งแต่หน้าเว็บที่ให้ดาวน์โหลดจนไปถึงการมานั่ง Config เอง
แต่ที่เค้าพูดมาก็เป็นจริงเหมือนกัน อย่าง Surface ที่นั่งเลียปากแฮ่ๆ มาตั้งหลายปี สุดท้ายก็กลายเป็นงานดองไปซะได้
ชอบ Ribbon
มันเป็นอะไรที่"คิดได้ไง"สุดๆ
+1 ribbon นี่สุดยอดมาก
แต่หลายอย่างที่พูดก็เป็นความจริงเลย Microsoft ไม่ค่อยปล่อยอะไรที่มัน Wow มาได้เยอะให้สมกับขนาดของบริษัท
+1 ชอบด้วย
ตอนที่ office 2007 ออกมา รู้สึกว่านี่คืองานชิ้นโบว์แดงของ ms เลย
+1 ชอบ Ribbon
เย่ รอดูนาทัลอย่างใจจดใจจ่อ
ยิ่งถ้า 360 มีไดรฟบลูเรย์ออกมาด้วย ผมว่าเพลย 3 ในญี่ปุ่นกระเทิอนแน่ๆ
ซัน เป็นอีกตัวอย่างที่ดี มีของดี ๆ ใหม่ ๆ แต่ไม่ค่อยทำเงิน คงเป็นแค่การมองต่างมุมระหว่างคนหลายกลุ่มที่ทำงานร่วมกันนั่นแหละ
ผมอ่านเรื่อง clear type แล้วเจ็บจิ๊ดๆ เลยครับ ทันทีที่ผมรู้จัดเทคโนโลยีนี้ผมก็รีบใช้ทันที
และใช้มาตลอดจนถึงปัจจุบัน ของดีๆ อย่างนี้ดันโดนดองซะงั้น
+1
+1 ผมใช้มาตั้งแต่มันติดมากับ window เลยครับ ไม่รู้ประวัติมันมาก่อน
เชื่อรึเปล่าว่าพี่ที่ office ผมไม่รู้จัก clear type - -"
พอผมเอา program มารันในเครื่องผมปรากฏว่า font ใน app เจ้งหมดเลย
ผมว่าเวลาใส่คำนำหน้าชื่อแบบ คุณ กับชื่อฝรั่งแล้วมันดูแปลกๆนะครับ
ปกติก็จะเรียกชื่ออย่างเดียว
ผมติดมาตั้งแต่สมัยไปเรียนที่ญี่ปุ่นนะครับ เขาจะลงท้ายด้วย -san (さん) ซึ่งก็แปลว่า คุณ นะครับ แล้วผมว่ามันก็สุภาพดี สมมติเราไม่รู้ชื่อคนที่เราจะเรียก เราเรียกว่า คุณ ก็น่าจะเหมาะกว่า นาย หรือ เธอ นะครับ
ผมชอบน่ะใช้คำว่าคุณ ดูดีกว่านาย และไมเขิลปากเท่าท่าน
ปล. อยากเห็น Microsoft surface แพร่หลายและมีประโยชน์มากกว่านี้
ผมเห็นว่าไม่โครซอฟท์พัฒนาอะไรมันก็มีดีหลายตัวน่ะ แต่ว่าทำเหมือนตามเทรนด์ทำแล้วทิ้งไม่สานต่อ
ไอ้เรื่องแบนด์นี้ผมว่าแย่มากๆ ดูอย่างชื่อดิ ตั้งยาวมาก กว่าจะจำได้บ้างที่ก็เปลี่ยชื่อไปซะอย่างนั้น
+1 เห็นด้วยมานานแล้วครับ แต่ไม่กล้าพูด ^^'
พอจะรู้ภาษาญี่ปุ่นมาบ้าง เลยเข้าใจครับที่คุณ nuntawat ใช้คำว่า คุณ เสมอ น่าจะติดมาจากการใช้ภาษาญี่ปุ่น ซึ่งดูสุภาพดีสำหรับการใช้ในภาษาญี่ปุ่น
แต่สำหรับภาษาไทยแล้ว เท่าที่เห็นส่วนใหญ่ กับชือฝรั่งส่วนใหญ่มักจะเรียกชื่ออย่างเดียวเลย (จริงๆ การอ้างอิงในหนังสือ-วิทยานิพนธ์ ก็ไม่มีการใช้คำนำหน้าเหมือนกัน) พอใช้ คุณ ก็เลยดูแปลกๆ ไปครับ
ในหนังสือ. วิทยานิพนธ์ ผมก็ไม่ได้พิมพ์ลงไปอยู่แล้วครับ
ผมเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสไตล์การเขียนนะ ไม่น่าจะเป็นประเด็นให้ต้องแก้อะไร ผมเองก็ใช้ "นาย" นำหน้าชื่อฝรั่งเหมือนกัน
lewcpe.com, @wasonliw
ผมว่าธรรมดานะครับ
แทนที่จะโต้ตอบ..พิสูจน์ออกมาเลยดีกว่าครับ
เรื่องที่เคยผ่านมาแล้วก็ถือให้มันผ่านไป (ผมเองก็เล็ง Natal อยู่นะ)
แต่ผมเองก็อยากจะเห็นเขาเปิดตัวนวตกรรมใหม่อย่างที่เขาบอกอยู่เหมือนกัน..
(Zune Phone รึ ? ...ยังไม่ตื่นเด้นพอ...)
ส่งผลให้กลายเป็นการ "แย่งชิ่ง" และทำลายซึ่ง - แย่งชิง
kurtumm
ถ้าผมเป็นผู้บริหารนะ ผมจะรู้สึกว่าคำวิจารณ์นี้เป็นข้อมูลสำคัญที่มีค่ามาก
เพราะมันความคิดเห็นของคนที่รู้จักและเข้าใจในบริษัทเป็นอย่างดี ออกมาพูดเมื่อสามารถพูดได้อย่างอิสระ
ควรจะเอามาพิจาณาว่าเป็นจริงรึเปล่า และนำไปแก้ไข ไม่ใช่มาแก้ตัวแบบนี้
วัดระดับการเข้าถึงของผู้ใช้ด้วย
คนเข้าถึงเยอะ ไม่ได้หมายความว่าเขาใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพนะครับ
มันเป็นการเอาปริมาณมาข่มคุณภาพหรือเปล่าครับ
ไอ้ ribbon นี่ผมเจอมาหลายคนแล้วนะ หาอะไรที่เคยใช้ไม่เจอเลย
นวัตกรรมของไมโครซอฟท์คือ
เอาสิ่งที่ฮิตในตลาดตอนนั้นๆ มายัดลงไปใน windows แล้วก็บอกว่ามันคือมาตรฐานของตลาด
instant messenger > windows messenger > live messenger
ข้ออื่นผมเห็นด้วย แต่ Movie Maker นี่คนใช้เยอะอยู่นะครับ คือฟีเจอร์เพียงพอสำหรับงานพื้นฐานในราคาที่ไม่ต้องจ่าย
Movie Maker ของ Vista ทำ Slide Show ได้เจ๋งมากๆ ครับ แต่ไม่รู้ทำไมพออัพเกรดมาเป็น Windows Live แล้วมันห่วยลง
เอา Timeline ของเราคืนมา
Adventure
โปรเจค นาธาน ชื่อก็บอกอยู่คับ = ="
สร้างนวตกรรมใหม่ได้เร็วแค่ไหนไม่สำคัญ แต่จะเข้าถึงคนใช้ได้เร็วแค่ไหนที่สำคัญ
แน่นอนครับ เข้าถึงคนใช้ได้เร็วมาก เข้าถึงผู้ใช้มาก จนทำให้ผู้ใช้เบื่อกันเลยทีเดียว
จานผลงานที่ผ่านมาของ microsoft ทำให้ผู้ใช้ส่วนใหญ่ผิดหวังไปตามๆกัน
ด้วยการพัฒนาที่ล่าช้า(มาก) พร้อมทั้งเมื่ออกมาแล้วยังทำได้ไม่ดีอีกต่างหาก
ปล.ข้อมูลข้างต้นเป็นความเห็นส่วนบุคคล ไม่มีใครถูกหรือใครผิด
Blog: https://medium.com/@tanakritsai
Project Natal ผมว่ามัน Wow อยู่นะครับ
เคยลองดูข้อมูลหรือคลิป Natal จากงานแสดง E3 หรือยังครับ
ในความรู้สึกผมมันอาจทำให้โลก Computer แบบ Minority Report ขยับเข้ามาใกล้อีกแค่เอื้อม..
ผมว่าเขาคงหมายถึง... มัน wow จริง แต่พัฒนาช้าเหลือเกินจนคนเขาจะเลิก wow ไปแล้วก็ยังไม่ออกมา
ออกปลายปีนี้ครับ..
ขนาดตัว Motion Controller ของ PS3 ก็ยังไม่ออกนะครับ..
ปล.มันเป็นเทคโนโลยีที่ซับซ้อนหน่ะครับ
Project Natal น่ะ Wow แน่
แต่ โปรเจค นาธาน ...อ่านดี ๆ นะครับ ฮ่าๆๆ
เถียงกันออกสื่อแบบนี้ เป็นการโฆษณาแบบนึง
คล้ายๆกับวงการบันเทิงบ้านเราเปี๊ยบ
โดยส่วนตัวผมชอบ surface ของ microsoft คิดว่าหากนำมาพัฒนาต่อยอดเป็น Tablet น่าจะดีไม่น้อย ผมชอบที่มันสามารถดึงข้อมูลจากโทรศัพท์ได้ทันที่ที่วางโทรศัพท์มือถือ ลงบนหน้าจอของ surface มันเป็นอะไรที่สุดยอดมากในครั้งแรกที่เห็นเดโม แต่มันก็น่่าเสียดายที่ของดีๆ มักไม่ได้รับการต่อยอดเพื่อพัฒนาสู่ตลาดวงกว้าง
เหมือนอย่างบทความหนึ่งที่เคยอ่าน(น่าจะจาก blognone) ที่บอกว่า "Microsoft เป็นสุดยอดของนักซื้อ และนักเลียนแบบ" ผมว่ามันน่าจะจริง สังเกตได้จากสิ่งต่างๆที่เป็นสินค้าของ Microsoft ส่วนใหญ่ได้มาจากการซื้อบริษัทข้างนอก แต่นวัตกรรมจากข้างในบริษัทเองมักจะโดนเก็บขึ้นหิ้ง หรือไม่คอยได้เหลียวเลเท่าที่ควร
ผมว่า Microsoft น่าจะไปศึกษาบทเรียนจากประวัติศาสตร์ของ Sony ที่ปัจจุบันโดน Samsung ตีตลาดกระจุย เพราะความผิดผลาดในการบริหารที่ยังยึดติดอยู่กับความสำเร็จเดิมๆ และการไม่ลงรอยกันระหว่างผู้บริหารแต่ละแผนกที่คิดว่าผลิตภัณฑ์ของตนเองดีที่สุดและยัดเยียดให้แผนกอื่นต้องใช้ ที่เห็นได้ชัดคือ MemoryStick ที่มากับ SonyEricsson แต่ดีหน่อยที่รุ่นหลังๆมาหันไปใช้ microSD ที่ถูกกว่าแทน
ไอ้คลิปโต็ะที่ออกมานั้น นาธาน ด้วยรึเปล่าคับ เพราะมันน๊านนานนานจนหายไปจากโลกนี้แล้ว
ms ชอบโฆษณาผลิตภัณฑ์ที่กำลังพัฒนาอยู่ แล้วจู่ๆก็หายไปไม่เห็นวี่แววมันอีกเลย
น่าจะทำให้เสร็จๆก่อนนะครับ แล้วค่อยออกมาโฆษณา อย่างเช่นบริษัทอื่น(ไม่ได้ระบุนะครับ)
จะทำให้เกิดผลดีกับแบรนของบริษัทมากกว่าที่ออกมาโฆษณาลอยๆแล้วหายไป
ปล.ผมเห็นมันมีแต่คลิปจริงๆนะ ช่วยทำออกมาเป็นผลิตภัณฑ์สักชิ้นที
Blog: https://medium.com/@tanakritsai
+1 ครับ
กลับกัน ค่ายผลไม้จะไม่โฆษณาสิ่งที่กำลังทำเลย (สำหรับสิ่งใหม่ๆ) แล้วจะเปิดตัวให้ช็อคโลก ยิ่งใหญ่อลังการ
ผมว่านี่เป็นจุดหนึ่งที่ทำให้ผลิตภัณฑ์ของผลไม้ดู Wow ด้วยครับ เปิดตัวพร้อมใช้จริงเล ย ส่วนของไมโครซอฟท์ Wow จนเลิก wow มันก็ไม่มาสักที
+1 Apple มี timing ที่ดีมากเสมอมาทั้งด้านการมองตลอดว่าควรจะลงไปเล่นตอนไหนและการปล่อยของ ส่วน MS นั้น wow จนลืม wow แล้วก็ยังไม่มา เผลอๆตอนปล่อยของแล้วมันก็ไม่ดีเท่าที่เคย wow กันไว้(ดู Vista เป็นตัวอย่างได้) อย่าง Project Natal ผมก็ไม่เชื่อว่ามันจะทำได้สมบูรณ์แบบอย่างที่โฆษณาไว้ด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบัน หรือถ้าทำได้สมบูรณ์แบบจริงราคาก็คงเอื้อมไม่ถึงอย่างแน่นอน
Russia is just nazi who accuse the others for being nazi.
someone once said : ผมก็ด่าของผมอยู่นะ :)
+1 ด้วยคนครับ ชอบ surface มากก ถ้ามันมาอยู่ในกำแพงบ้านเราๆ ได้คงดี
แต่ทุกวันนี้ยังไม่ได้เห็นตัวจริงสักที - -''
เอ้อ รู้สึก surface จะมีขายจริงนะครับ ทำขายแล้ว แต่มันเงียบไปเลย ไม่โปรโมท - -"
เอามาให้ดูครับ
http://www.microsoft.com/surface/Pages/HowToBuy/HowToBuy.aspx
MSSurfOrder_US.pdf
Commercial Hardware
Surface Commercial Hardware Unit – Metal JUH-00017 $12,500
Surface Commercial Hardware Unit – Black JUH-00018 $12,500
Developer Hardware & Software
Surface Developer Hardware Unit – Metal JUI-00018 $15,000
Surface Developer Hardware Unit – Black JUI-00019 $15,000
Surface Installation Service JUJ-00001 $720
Surface Installation Service—After Hours JUJ-00007 $1000
Surface Semi-Annual Maintenance Service JUJ-00087 $440
Surface Semi-Annual Maintenance Service—After Hours JUJ-00088 $670
Surface Protection Plan JUJ-00086 $1,800
Shipping (per unit) 3-5 days JUJ-00005 $240
Expedited Shipping (per unit) 1-2 days JUJ-00006 $530
ตัวละสี่แสนกว่าๆเอง T-T
มีค่าติดตั้งและค่า ship ด้วยนะ รวมๆ แล้วก็ตัวละเกือบครึ่งล้าน !!!!
ผมเห็นของเล่นหลายๆอย่างจาก Microsoft Research นั้นทำออกมาได้ดีแล้วก็น่าเล่นครับ แต่สุดท้ายก็โดนดองเก็บเข้ากรุไป (อย่าง Xcite เป็นต้น)
อีกอย่างไมโครซอฟท์ทำอะไรช้าและงุ่มง่ามจริงๆครับ ออก Demo มาน่าเล่น แต่กว่าจะออกตัวจริงคนก็เลิกสนไปแล้ว
หลายอย่างไม่ถูกเก็บเข้ากรุนะครับ แต่ว่าถูกรวมเข้าไปกับผลิตภัณฑ์ตัวอื่นของไมโครซอฟท์
เลยนึกได้ว่า ผลิตภัณฑ์หลายตัวของ MS เปิดตัวดี แต่พอเป็น Product จริงกลับไม่โฆษณาตัวเองซะงั้น
onedd.net
เท่าที่อ่านบทความต้นฉบับ (Microsoft’s Creative Destruction)
น้ำเสียงเหมือนพนักงานที่ออกจากบริษัทเก่า
ที่บ่นด้วยความเสียดายที่ผลงานตัวเองไม่มีโอกาสเกิด
ส่วนเรื่อง "ความขัดแย้ง" ในองค์กรในบทความนั้น
อารมณ์เหมือนหน่วยงานที่ขัดขากันเอง ตามสไตล์การเมืองในบริษัท นั่นแหละ
ซึ่งเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว โดยเฉพาะในองค์กรใหญ่ๆ
"นวัตกรรมไม่ใช่วัดแค่ความเร็ว เท่านั้น แต่ต้องวัดระดับการเข้าถึงผู้ใช้ด้วย"
มันก็เลยไม่ค่อยออกมาซะทีสินะ - -'
แต่ทำไม บริษัทอื่นเค้าออกมาแล้วเข้าถึงผู้ใช้ได้ในวงกว้างเช่นกันละ
Microsoft เก่งด้านก๊อปชาวบ้านครับ
เห็นใครได้ดีก็ไปลอกเขามา
DOS ก็ไปซื้อของคนอื่นมา
GUI ก็ลอกแมคมา
เรื่อง GUI นี่ผมว่าก็คงไม่ผิดนะ ที่ค่ายอื่นจะอยากมีมั่ง (ขนาดแอปเปิลไปเห็น GUI [น Xerox ยัง "อยากมีมั่ง" เลยครับ)
ถ้าจะว่า GUI Windows ลอกแิอปเปิลมา ก็คงต้องพาลไปหา GNOME,KDE,CDE อะไรพวกนั้นด้วยครับ...
ซิลิกอนวัลเล่ครับ
อิอิ
windows ไม่ได้ลอกครับ แต่เอาของเค้ามาดัดแปล(มีต้นฉบับที่เป็นโค้ดให้ดูด้วยครับ)
Blog: https://medium.com/@tanakritsai
ไม่มีบริษัทไหนที่ไม่ copy อะไรใครหรอกครับ
Russia is just nazi who accuse the others for being nazi.
someone once said : ผมก็ด่าของผมอยู่นะ :)
ถ้าคิดง่ายๆก็คิดได้แบบนี้ละครับ..
จริงแล้ว หลายๆอย่างของ Apple ก็เกิดจากการซื้อบริษัทเล็กๆมาทำต่อเองนะครับ ในกรณีของ Google ก็เช่นเดียวกัน
เพราะอะไรเหรอครับ เพราะเวลามันไม่ค่อยท่าไงครับ บริษัทพวกนี้มีเงินสดเหลืออยู่แล้ว ถ้าต้องจ่ายเงินเยอะขึ้นแต่ประหยัดเวลาในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ไป 1-2 ปี ทำไมเค้าจะไม่ทำล่ะครับ
เพราะเวลาสำคัญมากๆ ช้าไปก้าวเดียวก็อาจจะหมดโอกาสแล้วน่ะครับ
ผมคิดถึง silverlight ครับ ตอนนั้นที่ออกมาผมยังงงๆอยู่ตอนที่หน้าเว็บของ micrsoft ส่งให้ดาวโหลด ก็ดาวโหลดไปโดยที่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร จนปัจจุบันนี้ ผมไม่เจอหน้าเว็บไหนที่ทำด้วย silverlight เลยอ่ะ = ="
ปล.นู๋อยากดูว่ามันดีกว่า flash รึเปล่า แงๆ
ปล2.ว่าแต่มันหายไปไหนแล้วอ่ะครับ หาไม่เจอจริงๆ เวลาเขียนเขียนบนไหนด้วยครับ(ไม่ได้กระแทกแดกดันนะครับ ไม่รู้จริงๆ)
Blog: https://medium.com/@tanakritsai
ในไทยไม่นิยมเท่าไหร่นัก แต่ฝรั่งก็เห็นใช้กันเยอะอยู่ (แต่ยังไม่ได้เท่าแฟลชอยู่ดี)
ซิลเวอร์ไลท์ เร็วกว่าแฟลช และลื่นกว่าแฟลช (ในขณะที่ มันกินทรัพยากรพอๆกัน)
ซิลเวอร์ไลท์ ถ้าผมจำไม่ผิด ไม่ได้ใช้วิธีวาดบนสเตจแล้วเขียนโค๊ดอยู่ข้างหลัง แต่ซิลเวอร์ไลท์ใช้วิธีเขียนโค๊ดทั้งหมดเลย
แต่ส่วนตัวก็ไม่เคยเขียนซิลเวอร์ไลท์หมือนกัน
ซิลเวอร์ไลท์, แฟลช
โยนมันทิ้งขยะไปทั้งคู่เลยค่ะ
แล้วรอต้อนรับ
HTML5
ผมว่าน่าจะอีกนานนะ กว่าจะได้ใช้ HTML5 กันจริงๆจังๆ
อย่างน้อยตอนนี้ผมคิดว่ามาตรฐานกลางในการแสดงวิดีโอหรือไฟล์เสียง ควรจะใช้แฟลชหรือซิลเวอร์ไลท์ต่อไปครับ เพราะตัว HTML5 เอง มันยังตกลงเรื่อง Codec ไม่เสร็จสิ้นเลยครับ :P
แต่ถ้าได้ข้อตกลงที่แน่นอน ก็ย้ายกันไปได้เลยครับ ;)
ถ้า iphone ยังไม่รับ flash ไปเรื่อยๆ และยังขายดีต่อไปก็ไม่แน่ครับ อาจจะมาเร็วกว่าที่คิด
แต่ถ้าไม่มี JIT แล้วจะให้ทำ animation ด้วย JS นี่ก็ดูท่าจะไม่รอดแฮะ
lewcpe.com, @wasonliw
อยากดู silverlight ก็เข้าไปที่เว็บ KBANK ดิครับ
ยังเห็นด้วยกับ อดีตรองประธานไมโครซอฟนะ Microsoft ไม่ใช่ชื่อของบริษัทที่ผลิต innovation เท่าไหร่นัก
สะดุดกับชื่อ..... Dick.....Brass -*-