ผมชอบอ่านหนังสือ จำได้ว่าเมื่อตอนวัยรุ่นสมัยเรียนมัธยมผมจะพกหนังสือติดตัวตลอดและอ่านทุกครั้งที่มีเวลาว่าง (ซึ่งมีเหลือเฟือเมื่อเทียบกับตอนนี้) แต่นั่นเป็นความประทับใจในอดีต เพราะปัจจุบันหาเวลาอ่านหนังสือได้ยากเต็มที นอกจากนั้นยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ทำให้อ่านหนังสือไม่ได้ เช่น หนังสือที่ชอบอ่านไม่สามารถพกพาไปได้สะดวก อย่างนิยายเล่มล่าสุดของ Stephen King อย่าง Under The Dome ที่หนากว่า 1,000 หน้า ต้องหาเวลานั่งอ่านเป็นเรื่องเป็นราว ทำให้อ่านไม่ถึงไหน
ปัญหาอีกอย่างก็คือหนังสือดีๆ นั้นหายาก ในประเทศไทยเห็นจะมีแต่ Kinokuniya ที่มีหนังสือภาษาอังกฤษให้เลือกแบบไม่จำเป็นต้องเป็นหนังสือ "ขายดี" อย่างที่ร้านหนังสือส่วนมากสั่งมาขาย แต่ครั้งจะไปสยามเพื่อซื้อหนังสือก็ไม่ใช่เรื่องสะดวก เพราะหาโอกาสและเวลาไปยาก
ปัญหาสุดท้ายคือขนาดตัวหนังสือ เมื่ออายุมากขึ้น สายตาย่อมประสิทธิภาพลดถอยลง ยิ่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ทั้งวัน การใช้สายตาจ้องตัวหนังสือขนาดเล็กในหนังสือปกอ่อนราคาประหยัด หรือตัวพิมพ์ที่ไม่คมชัดในหนังสือต้นทุนผลิตต่ำจำนวนมาก ย่อมไม่เป็นผลดี
ด้วยเหตุทั้งปวงนี้ทำให้ผมตัดสินใจซื้อเครื่องอ่าน e-book จาก Amazon เรียกว่า Kindle (Version 2) มาทดลองใช้ดู
ราคาของ Kindle อยู่ที่ 259 USD แต่พอรวมปกหนัง ค่าส่ง (DHL) และภาษีแล้ว ตกอยู่ที่ 395.12 USD หรือประมาณ 15,000 บาท การสั่งซื้อราบรื่นไม่มีปัญหา DHL มาส่งให้ที่บ้านหลังสั่ง 3 วัน โดยระหว่างรอสามารถดู tracking ว่าของอยู่ที่ไหนแล้ว ผ่านหน้า account ของ Amazon ซึ่งสะดวกและละเอียดดีมาก
จุดเด่นของเครื่องอ่านหนังสือแบบนี้ คือหน้าจอที่เป็น E Ink ซึ่งเหมือนกระดาษจริง ตัวหนังสือคมชัด (จำนวน Pixel ต่อหน่วยมากกว่าจอ LCD ธรรมดา) และประหยัดไฟมาก เพราะไม่มี backlight (หมายถึงต้องใช้แสงจากสภาพแวดล้อมในการอ่าน) และกินไฟต่อเมื่อมีการเปลี่ยนหน้าจอ (พลิกหน้าหนังสือ) เท่านั้น โดยถ้าปิด wireless สามารถอ่านได้มากกว่า 2 อาทิตย์โดยไม่ต้องชาร์จไฟ
ตัวหนังสือสามารถเลือกขนาดได้ ทำให้เหมาะกับผู้สูงอายุอย่างมาก (ไปอ่านดูใน discussion ผู้ใช้ พบว่าผู้ใช้จำนวนมากอายุมากกว่า 40-70 หรือมากกว่า) และมี Text-to-Speech ให้อ่านออกเสียงให้ฟัง (เสียบหูฟังหรือฟังผ่านละโพงในตัวได้) นอกจากนั้นยังมีพจนานุกรมขนาด 250,000 คำในตัว ซึ่งมีประโยชน์มากกับการฝึกภาษาอังกฤษเพราะใช้สะวด สามารถชี้ไปที่คำที่ต้องการแล้วคำแปลจะขึ้นมาด้านล่างจอทันที
จุดเด่นที่ Kindle ต่างจากเครื่องอ่าน e-book อื่นๆ ก็คือ Global Wireless นั่นคือผู้ใช้สามารถต่ออินเทอร์เน็ตไปยังร้านหนังสือของ Amazon ผ่านเครือข่ายโทรศัพท์มือถือได้เกือบทุกที่ทั่วโลกโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายและไม่มีข้อจำกัดใดๆ ทำให้การซื้อหนังสือง่ายและสะดวกมาก ผมซื้อหนังสือมาแล้ว 3 เล่มด้วยวิธีนี้ การซื้อกดครั้งเดียว ไม่ยุ่งยาก และหนังสือจะถูกดาวน์โหลดภายในไม่กี่นาทีผ่านเครือข่าย EDGE
หนังสือที่ขายมีกว่า 400,000 เรื่อง แต่หลายเรื่องก็ซ้ำกัน ในอนาคตคงมีมากกว่านี้ แต่ปัจจุบันก็มีเรื่องหลักๆ ที่ร้านหนังสือควรจะมีค่อนข้างครบ และราคาถูกกว่าปกแข็งประมาณครึ่งหนึ่ง โดยเฉลี่ยหนังสือออกใหม่ ราคาไม่เกิน 10 USD
ในการใช้งานจริง สิ่งที่สำคัญคือน้ำหนัก รูปร่าง และความสะดวกในการถือและพลิกหน้า ซึ่งสำหรับผมพบว่าไม่มีปัญหา ทุกอย่างลงตัว น้ำหนักกำลังดี จับแล้วมั่นคง ปุ่มไม่เผลอกดได้ง่าย อ่านไปซักพักก็จะลืมว่ากำลังอ่านจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อยู่
การพกพา สมควรอย่างยิ่งที่จะใส่ปกไว้ ช่วยปกป้องหน้าจอ ปุ่ม และการกดทับได้ดีพอสมควร หน้าตาเมื่อใส่ปกแล้วเหมือนสมุดบันทึกทั่วไป ไม่มีใครดูออกว่าเป็น Kindle
หลังใช้งานมาได้สองอาทิตย์ พบว่าความสะดวกในการพกพาเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ Kindle มีประโยชน์ เพราะสามารถอ่านได้ทุกที่ ไม่ต้องเลือกว่าจะเอาเล่มไหนไปที่ไหนกับเรา สามารถนอนอ่านบนเตียงได้สบายๆ โดยไม่เมื่อยมือมากนัก และไม่ต้องกังวลกับการชาร์จไฟเพราะกินไฟน้อยมากเมื่อปิด wireless
อีกปัจจัยหนึ่งคือเรื่องทางจิตวิทยา ว่า e-book ทำให้เราอ่านไปได้เรื่อยๆ โดยไม่ต้องกังวลว่ายังเหลือที่ยังไม่ได้อ่านอีกเท่าไหร่ ซึ่งต่างจากหนังสือเล่มที่บางครั้ง ความหนาก็ทำให้เราหมดกำลังใจที่จะอ่าน ซึ่งเรื่องนี้ผมพบว่า Kindle ช่วยให้ผมอ่านแต่ละครั้งได้นานขึ้น มากขึ้น อย่างเห็นได้ชัด
พูดข้อดีมาเยอะ มาถึงข้อเสียซึ่งก็มีบ้าง เช่น หนังสือที่ซื้อมานั้นเป็นฟอร์แมตพิเศษของ Kindle และติด DRM ทำให้เราต้องใช้ Kindle ไปตลอดถ้ายังต้องการอ่านหนังสือที่ซื้อมาทั้งหมด นอกจากนั้น การติด DRM ทำให้เราไม่สามารถให้เพื่อนยืมหนังสือไปอ่านได้ ส่วนเรื่องอ่านๆ ก็อาจจะเป็นความรู้สึกว่าไม่ได้หยิบจับหนังสือเป็นเล่มๆ ไม่ได้กลิ่นของหนังสือ และไม่สามารถนำหนังสือที่ซื้อมาตกแต่งบ้านได้
สุดท้าย คือหนังสือต้องเป็นภาษาอังกฤษเท่านั้น แต่ก็เข้าใจว่าสามารถหาวิธีลงฟอนต์ไทย เพื่อใช้กับ PDF ภาษาไทยได้ ปัญหาคือหนังสือ e-book ภาษาไทยยังไม่ค่อยมี ทำให้เครื่องอ่าน e-book อย่าง Kindle มีประโยชน์กับคนที่อ่านภาษาอังกฤษเท่านั้น
ต้นฉบับจาก Entangled - Amazon Kindle
Comments
สำนักพิมพิ์ในบ้านเรามีใครสนใจบ้างมั้ย? อยากให้สนใจนะ
ไม่ทัน iPad แล้วล่ะ
Kindle ออกมาก่อนหลายปีนะครับ
อยากถามคุณ guopai ในฐานะที่ใช้ kindle มาแ้ล้ว มีความเห็นอย่างไรกับ iPad ที่กำลังจะออกมาครับ ? คิดว่ามีผลทำให้คนที่ใช้ kindle เกิดอาการอยากเปลี่ยนไปใช้บ้างหรือเปล่า ชอบ ไม่ชอบอย่างไร ?
:)
แฟนพันธุ์แท้สตีฟจ็อบส์ | MacThai.com
ขอตอบในฐานะที่ไปลองจับมาแล้ว จอของ Kindle มันคมมาก ผมคิดจะซื้อ iPad มาเล่นขำๆ เปลี่ยนใจทันที
เคยเห็น ฝรั่ง เอาขึ้นมาอ่านบน BTS แอบชะโงกดู
โอ้วแม่เจ้า ตัวหนังสือคมกิ๊ก จริงๆ Confirm รู้สึกเหมือนหน้าหนังสือจริงๆ
:: DigiKin8 ::
โดยส่วนตัวผมว่า iPad ไม่เหมาะที่จะเป็นเครื่องอ่าน e-book นะครับ
เนื่องจากถ้าต้องการอ่านเป็นระยะเวลานานผมว่าจอแบบ e-ink ดีกว่านะ อ่านนานๆ แล้วไม่ปวดตา
แต่ไม่รู้ว่าตอนนี้มี e-ink แบบสีแล้วหรือยัง
เห็นว่ามีบางเจ้าประกาศออกมาแล้วครับ
ผมคิดว่า Kindle เหมาะกับคนที่อ่านหนังสือจริงจังครับ ส่วน iPad เหมาะกับการอ่านครั้งคราว เล่นเน็ต และความบันเทิงอื่นๆ กลุ่มเป้าหมายคงต่างกัน ดังนั้นคนใช้ Kindle อยู่แล้ว ไม่น่าจะสนใจเปลี่ยนเป็น iPad เว้นแต่จะต้องการใช้งานอย่างอื่นครับ
อ้อ iPad ซื้อหนังสือนอก US ไม่ได้นะครับ
Whispernet ของเค้านี่ใช้ได้ในเมืองไทยด้วยใช่ไหมครับ
ใช้ได้ครับ ต่อเน็ตผ่าน Edge/GPRS ได้ทุกที่ที่โทรศัพท์ธรรมดาต่อได้ ไม่ต้องเสียเงินอะไรเลย
เท่าที่รู้มา (อย่างน้อยก็ในญี่ปุ่น) การซื้อหนังสือภาษาอังกฤษผ่านตัว Kindle ในต่างประเทศจะแพงกว่าซื้อในอเมริกาโดนตรงอยู่ประมาณ $2 ต่อเล่มใช่ไหมครับ
ถ้าเป็นการสมัครสมาชิกหนังสือพิพม์ก็อาจจะแพงกว่ามาก ๆ เช่น $10 ต่ออาทิตย์ เป็นต้น (ทั้ง ๆ ที่ต้นทุนค่าขนส่งต่ำกว่ามาก)
ไม่ทราบว่าซื้อที่ไทยเป็นอย่างไรบ้างครับ
แพงกว่า 2 USD ใช่ครับ เหมือนเป็นค่าดำเนินการของ Whispernet ดังนั้น หนังสือ Public Domain จำนวนมากจะราคา 2 USD แทนที่จะฟรีครับ ส่วนนิตยสารผมไม่แน่ใจว่าแพงกว่าหรือเปล่า ราคาต่างกันแล้วแต่ Title ครับ เช่น Time/Newsweek ราคาเดือนละ 2 ดอลลาร์กว่าๆ
โอ้ว... จากที่อยากได้อยู่แล้ว
ความอยากได้ขึ้นมาอีก 30 กิโลขีด
หมื่นห้า...น่าคิดนะเนี่ย
เคยลองจับ และอ่านดู ของเค้าดีจริงครับ
จออ่านสบายตาดี ....
iPad ผมเฉยๆ ไปเลย ;P
ไม่เคยนึกถึงเลย ว่าอุปกรณ์พวกนี้ไม่ support ภาษาไทย แต่คงไม่เป็นปัญหามากหรอก
ตอนนี้ก็รอ skiff reader เปิดตัวอยู่ อยากได้ใหญ่ๆ หน่อย
หมื่นห้าไม่ไหวอ่ะ ผมยังอ่าน paperback เล่มละ 300 ได้
lewcpe.com, @wasonliw
ถ้าหาคนหิ้วได้ก็ $259 ราว 8,500 พอไหว พอไหว
จริงด้วย ไม่รวมค่าส่งนี้ไม่แพงเลย คุ้มจริงๆครับ!
สนใจครับ
รอ e-ink แบบสีก่อนครับ อยากเอาไว้อ่านแมกกาซีน :)
FHM, Playboy, etc... = =a
+555 คิดแบบเดียวกันเลย
รอ e-ink แบบสีด้วยคน เพราะชีวิตต้องอ่านหนังสือที่เป็นสี ลังเลตัวเองจะซื้อ iPad แต่กลัวมันอ่านไม่สบายตาแล้วก็จะเอามาใช้แค่อ่านหนังสืออย่างเดียว สาเหตที่ซื้อไม่มีอะไรมาที่บ้านไม่มีที่เก็บหนังสือแถมหนังสือที่ต้องอ่านแต่ล่ะเล่ม โตกว่าหมอนหนุนนอนอีก
และไม่สามารถนำหนังสือที่ซื้อมาตกแต่งบ้านได้ <---- ชอบประโยคนี้มาก เพราะผมเป็นคนหนึ่งที่อ่านหนังสือได้เล่มละรอบ แล้วก็เอาไปวางไว้บนหิ้งประดับบ้าน
เคยลองแล้ว แต่ไม่ชอบที่มันไม่รองรับไฟล์ตระกูลอื่น
เอาเข้าจริง ebook ของ Kindle มันเป็น proprietary และมี DRM ที่กั๊กสิทธิการใช้ที่สุดเลยนะครับถ้าเทียบกับของ Sony หรือ Nook
ตอนนี้เลยหันมาใช้ Nook ของ Barnes & Noble แล้ว
เพราะ Nook มีจอสีทัชสกรีนด้านล่าง, มี coverflow, อ่านไฟล์ .epub, ใส่ Micro SD ได้, มี wifi และเป็น Android OS
ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่มีบน Kindle
จริงครับ อย่างไรก็ตาม สำหรับผม นอกจากเรื่อง DRM และ .epub ปัญหาอื่นไม่สำคัญมาก เพราะเป้าหมายของการใช้เครื่องอ่านหนังสือ สำหรับผม คือการที่เครื่องนั้นใช้ง่าย เรียบง่าย เบา ใช้ได้นาน ไม่ต้องชาร์จไฟบ่อย ซื้อหนังสือสะดวก (Nook ไม่มี Whispernet ต้องต่อ Wi-Fi ถึงจะซื้อหนังสือได้)
ส่วนเรื่อง Micro SD ผมคิดว่าไม่จำเป็น เพราะถ้าเอาไว้อ่านหนังสือมันเก็บได้เป็น 1,000 เล่มอยู่แล้ว ส่วนจอสี, coverflow และ touchscreen ทำให้กินไฟ และ distract เราจากหนังสือครับ
เรื่อง OS เท่าที่ผมเข้าใจ Kindle ใช้ Linux ครับ
อ่อ Kindle เปิด PDF ได้โดยตรงนะครับ แค่โยนไฟล์เข้าไปเหมือน flashdrive แต่ไม่สามารถปรับขนาดตัวอักษรได้ ดังนั้น ถ้าตัวอักษรเล็กจะอ่านยาก เพราะจอเล็ก ยกเว้นจะปรับเป็นอ่านแนวนอนครับ
ใส่ Micro SD ได้ เอาไฟล์ pdf ใส่เข้าไปแล้วอ่านได้หรือเปล่าครับ
ซื้อเครื่องพอไหว แต่ถ้าต้องซื้อหนังสือใหม่ทุกเล่มนี่อาจจะไม่ไหว
kurtumm
Micro SD ของ Nook เอาไฟล์ pdf ใส่เข้าไปแล้วอ่านได้เลยครับ
แต่สำหรับคนที่คิดจะซื้อ ebook reader เพื่อเอามาเปิดอ่าน PDF เป็นหลัก ขอเตือนว่าอย่าคาดหวังสูง เพราะถ้าไม่ใช่รุ่นจอใหญ่อย่าง Kindle DX แล้วจะอ่านลำบาก และช้ากว่าการเปิดไฟล์ที่เป็น .epub .azw หรือ .mobi
ใน US ทั้ง Nook และ Kindle ก็ใช้ 3G ของ AT&T ในการโหลดหนังสือเหมือนๆกันครับ
มีข้อดีสำหรับคนที่ใช้ทั้งไอโฟนและ Kindle อยู่อย่างคือ
หนังสือเล่มที่ซื้อบน kindle นั้นเข้าไปอ่านจาก iPhone Kindle app ได้ และมันจะลิงค์กัน คือเห็นโน้ตกับ bookmark ที่ทำไว้บน kindle ด้วย
ถ้าอ่านบน kindle ค้างไว้ แล้วไปเปิดอ่านบนไอโฟนต่อ มันจะจำหน้าเดิมที่อ่านค้างไว้ได้ แล้วพอกลับไปอ่านบน kindle อีกรอบ มันก็จะเปิดไปหน้าสุดท้ายที่อ่านอยู่บน iPhone ให้เลย (iPhone app ของ Nook ไม่อัพเดทตรงนี้ให้)
คุณ guopai ครับ ปุ่มข้างล่างหน้าจอนี่เป็นคีบอร์ดใช่ไหม
ใช่แล้วครับ เอาไว้พิมพ์ชื่อหนังสือตอนหาซื้อในร้าน เอาไว้พิมพ์ note ต่างๆ ค้นชื่อหนังสือในหน้า Home และอื่นๆ ครับ
ซื้อมาใช้แล้วเหมือนกันครับ เขียนรีวิวในบล็อกตัวเองไปเมื่อวานซืน แต่คุณ guopai เขียนหลายประเด็นที่ผมมองข้ามไปได้น่าสนใจมากครับ อย่างเช่น "อีกปัจจัยหนึ่งคือเรื่องทางจิตวิทยา ว่า e-book ทำให้เราอ่านไปได้เรื่อยๆ โดยไม่ต้องกังวลว่ายังเหลือที่ยังไม่ได้อ่านอีกเท่าไหร่ ซึ่งต่างจากหนังสือเล่มที่บางครั้ง ความหนาก็ทำให้เราหมดกำลังใจที่จะอ่าน ซึ่งเรื่องนี้ผมพบว่า Kindle ช่วยให้ผมอ่านแต่ละครั้งได้นานขึ้น มากขึ้น อย่างเห็นได้ชัด" เห็นด้วยมากๆ ครับ
ปัญหาสำคัญเวลาอ่านนิยายคือหน้าที่เหลือนี่ล่ะครับ
พออ่านๆ ไปแล้วหน้ามันเหลือไม่มากก็เริ่มรู้แล้วว่าเรื่องมันจะไปยังไงต่อ มันจะหักยังไง
lewcpe.com, @wasonliw
งั้นมันก็็เหมือนกันล่ะครับ เพราะบน ebook reader คุณก็เห็นว่าเหลืออีกกี่หน้าจาก Progress Bar ด้านล่างอยู่ดี
ตามไปอ่านแล้วครับ รายละเอียดครบเลยครับ ถ้าใครสนใจรายละเอียดแนะนำให้อ่าน review ของคุณ jakrapong เลย http://jakrapong.com/2010/02/16/amazon-kindle
ผมชอบพกหนังสือครับ จะคมแค่ไหนก็ขอผ่าน
ยกเว้นจะมีฟังก์ชั่น copy&paste ไปใช้ในงาน word ได้
มันจะทำ hightlight ตรงจุดที่เราต้องการได้หรือเปล่าครับ เหมือนในหนังสือจริง ๆ
ทำได้ครับ
ถ้าอ่านหนังสือการ์ตูนได้ด้วยผมซื้อแน่นอนเลยครับ - -"
ตอนนี้พกการ์ตูนไปไหนมาไหนมาตลอดอยู่แล้วทีละเล่มสองเล่ม ไม่ลำบากเท่าไหร่ จะลำบากก็ตอนหาที่เก็บนี่แหละ เต็มบ้านไปหมด จะขายทิ้งก็เสียดาย
ก็แปลงการ์ตูนเป็น PDF แล้วก็โยนเข้าไปอ่านได้นะครับ :P
คงไม่สะดวกเท่าไหร่น่ะครับ
มันเปิดเว็บดูได้ไหมครับ?
ผมเข้าใจว่ามีเบราว์เซอร์ (แบบง่ายๆ) นะครับ
มี Browser ครับ ยังไม่เคยลอง เห็นว่าเช็คเว็บเมลได้
มันเปลี่ยนแบตได้ง่ายไหมครับ หรือปิดตายแบบพวก iPhone, iPod-Pad
ใช้ได้เป็นอาทิตย์โดยไม่ต้องชาร์จ ยังคิดจะเปลี่ยนอีกหรือครับ
หรือแค่ถามเอาฮา
ถ้าแบ็ตเสื่อมล่ะครับ สงสัยขึ้นมาทันทีว่าจะซื้อแบ็ตเพิ่มได้จากไหน
แบตเปลี่ยนไม่ได้ครับ แต่กว่าจะเสื่อมคงนานครับ เพราะเดือนนึงใช้แค่ไม่กี่ cycle
ขอบคุณสำหรับข้อเขียนนี้ครับ
ทำให้รู้จักกับเจ้าตัวนี้มากขึ้นเยอะเลย
ไม่ทราบในไทย มีข่าวใครจะนำมาขาย (อย่างเป็นทางการ) มั้ยครับ ?
เว็บ http://www.kindlethai.com/store
มีใครเคยสั่งจากเวบนี้มั้ยครับ เชื่อถือได้รึเปล่า เห็นราคา 11,800 บาท เอง
ราคาแพงอย่างนี้ ขอ iPad ดีกว่า
e-ink นี่มันดีขนาดทำให้ลืมข้อเสียที่มีมากมายของ kindle ไปได้ ส่วน ipad ก็มีข้ออดีไม่พอที่จะทำให้หลาย ๆ คนพอใจได้เลย
ผมว่า amazon รับภาระในส่วนนี้นะครับ ถ้าใช้เดาก็คงเป็น AIS ล่ะ
ราคามันโดนผนวกกลับไปที่ราคาที่คนโหลดต้องจ่ายครับ
ราคามันเพิ่มประมาณเรื่องละ 2 USD ครับ
อ่าหรอครับ
ขอบคุณครับ
e-ink แบบสีมีแล้วครับ แต่มันมีคู่แข่งที่น่าสนใจสองเจ้าคือ
Liquavista
http://www.youtube.com/watch?v=nyUFfSkIUzk&feature=player_embedded
mirasol จาก Qualcomm
http://www.youtube.com/watch?v=jmpBgaPGYKQ&feature=player_embedded
รีเฟรชหน้าจอเปลี่ยนหน้าไว จอสีที่ความละเอียดHD
สบายตาเท่าe-ink
ประหยัดไฟเหนือกว่าledมากนัก ใส่ระบบทัชได้
เล่นภาพวีดีโอHDได้!!
ปล.อย่าถามว่าทำไมเป็ดถึงไม่ใช้เทคโนโลยีพวกนี้
ทั้งที่อันล่างนี้ทยอยส่งของไปตามโรงงานผลิตพวกสินค้าitแล้วแท้ๆ
เพราะไม่มีใครรู้ว่าลุงสตีฟแกทำไมไม่ใช้
ขอบคุณสำหรับ Review จากคุณ guopai และคุณ jakrapong ครับผม
ก่อนหน้านี้เคยคิดจะซื้อมาใช้เหมือนกัน แต่ติดที่ Amazon ไม่ยอมส่งมาเมืองไทย
เพิ่งรู้ว่าเดี๋ยวนี้ Amazon ส่ง Kindle ไปทั่วโลกแล้ว ค่อยมีลุ้นหน่อย ^O^
blog.semicolon.in.th
การอ่าน ebook นี่เป็นเหตุผลแรกของผมในการซื้อ PDA/smartphone เลยครับ
ปัญหาอีกอันของการใช้ ebook reader ที่มีคนพูดถึงคือ คนรอบข้างไม่เห็นว่าเรากำลังอ่านอะไรอยู่ เลยไม่ได้โชว์ปกสวย ๆ ครับ
อนาคตอาจจะมีรุ่นที่มีจอด้านหลังเอาไว้โชว์ปกครับ ;P
blog.semicolon.in.th
ถ้า iPad มีรุ่นที่ใช้จอสี E-Ink เพิ่มอีก1 ตัวเลือกก็คงจะดีไม่น้อย โดยส่วนตัวผมไม่ค่อยชอบจอ glossy สักเท่าไหร่
kindlethai.com ได้แจ้งผมว่า Kindle สามารถอ่าน PDF ภาษาไทยได้ ที่อ่านไม่ได้คือ E-Book ภาษาไทย ต้องลง Font เพิ่ม จึงแจ้งเพื่อแก้ไขในที่นี้ครับ
เพิ่งสั่งซื้อ Kindle DX Graphite ไปเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว
ตอนนี้กำลังรอของมาถึงมือ อุอุ
รออ่านรีวิว :P
lewcpe.com, @wasonliw