สืบเนื่องจากความดังและขายดีสุด ๆ (รวมทั้งการสนับสนุนแบบหน้ามืดตามัวของสาวกบางส่วน) ทำให้เราได้เห็นทั้งชื่อเสียงและชื่อเสียของ iPhone 4 คราวนี้หลังจากที่ถูกถล่มอย่างถล่มทลายจากปัญหาวิธีการถือ iPhone และจุดเหลืองบนจอไปแล้ว เรามารู้จักกับปัญหาใหม่ที่ proximity sensor กันเถอะ
มีผู้ใช้ iPhone 4 หลายรายได้รายงานปัญหาหลากหลายไปยัง Apple Support โดยเป็นปัญหาที่น่าจะเกิดจากตัว proximity sensor เช่น การที่เสียงสนทนาทางโทรศัพท์ดังออกทางลำโพงทั้ง ๆ ที่ยังแนบโทรศัพท์อยู่กับหู การพักสายโดยไม่ได้ตั้งใจ การวางสายโดยไม่ได้ตั้งใจ หรือการที่ FaceTime ทำงานทั้ง ๆ ที่ยังพูดคุยกันโทรศัพท์อยู่ เป็นต้น
ข้างล่างคือตัวอย่างของปัญหาที่ผู้ใช้ได้รายงานเข้าไปที่เวปไซท์ Support ของ Apple
"ฉันยืนยันได้ว่าตัว sensor นั้นยังคงใช้งานได้โดยที่เอานิ้วไปปิดมัน แต่เมื่อฉันถือโทรศัพท์ที่บริเวณด้านข้างของใบหน้า หน้าจอโทรศัพท์กระพริบราวกับว่ามันไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าจะเปิดหรือจะปิดจอดี" รายงานโดยคุณ mdalegre "มันทำให้โทรศัพท์ของฉันวางสายเอง ปิดเสียงโทรศัพท์ และโทรออกเองโดยที่ฉันยังคงคุยโทรศัพท์อยู่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นกว่า 90% ของการโทร"
ที่มา: Apple Insider
เสริม: proximity sensor คือ อุปกรณ์ตรวจจับที่สามารถตรวจพบวัตถุที่อยู่ใกล้เคียงได้โดยที่ไม่ต้องมีการสัมผัสกับตัวอุปกรณ์นั้น ข้อมูลเพิ่มเติมสามารถหาอ่านได้ที่ Wikipedia นะครับ
Comments
ปัญหาตามมาเยอะเลย รอซื้อรุ่นปรับปรุงทีเดียวดีกว่า
รัก Apple ต้องอดทนครับ เอ้ยไม่ใช่.. !
ความจริงมันก็เป็นเรื่องที่ Apple ต้องแสดงความรับผิดชอบให้มากๆ ถ้าไม่ไหวก็ Recall ไปเลย
(ในเว็บ Giz เห็นบอกว่ามีคนส่งภาพ iPhone แตกและร้าวมาให้ดูทุกวัน)
ถ้านึกว่าจะทำไรไม่ออก แนะนำให้ปลดทีมวิศวะยกคณะก่อนเลยเป็นอันดับแรก
อันดับต่อมา จ้างโปรแกรมเมอร์เข้ามาทำงานเยอะๆ เพราะทุกปัญหาสามารถแก้ไขได้ด้วย Firmware :P
ผมคิดว่าปัญหานี้แก้ได้ด้วย Firmware ค่อนข้างแน่นอนครับ อย่างน้อย ๆ ก็ปิด proximity sensor ไปเลย (แต่อาจจะโดนฟ้องเหมือนกรณี Sony PS3 ได้ ถ้าไปปิดจริง ๆ นะ)
ผมก็ว่างั้นอะ แต่ปิดเซนเซอร์แค่ช่วงโทร ก็พอมั๊งครับ- -"
ถ้าปิดเซนเซอร์มันแล้วเครื่องมันจะเอาอะไรจับให้จอภาพมันดับอะครับ :( ถ้าจอภาพไม่ดับ เวลาแนบหูอวัยวะก็ไปโดนจอทำให้เกิดเหตุขึ้นตามข่าวไม่ใช่หรอ :((
A chemical rush''
หวังว่ารุ่นที่จะเข้ามาในประเทศหลังๆอย่างประเทศไทย ปัญหาทั้งหมดคงจะได้รับการแก้แล้วล่ะนะ..
อาจจะเป็นข้อดีของการได้ของทีหลัง..
ปล. ไม่แน่ท่านศาสดาอาจเก็บล็อตแรกเอาไว้มาขายที่นี่ก็ได้ ใครจะไปรู้ เหอะๆ..
สนใจอยู่เรื่องเดียวครับ ว่าทำไมจะต้องไปกระแนะกระแนคนอื่นแบบนั้นด้วย การที่ใครสักคนจะมีการแสดงออกที่ไม่สมควรไม่ว่าจะด้วยเรื่องใดก็ตาม แต่ถ้าคุณมาเขียนแบบนี้ ผมก็มองว่าคุณก็ไม่ได้แตกต่างอะไรไปจากคนกลุ่มนั้นเลย แนะนำว่าให้ดูคุณ mk ซึ่งเป็นตัวอย่างของการแสดงออกที่ดีครับ
ถ้าเคยสัมผัสสาวก apple แบบเข้าไปในสายเลือด อาจจะไม่คิดแบบนี้ก็ได้ครับ
บางคนมีความคิดต่อต้าน apple ไม่ใช่เพราะ apple แต่เป็นเพราะสาวกอ่ะ
แล้วทำไมต้องไปทำเหมือนเขาด้วยหล่ะครับ
อืม ... แล้วแต่มุมมองละกันครับ ผมว่าผมไม่ได้กระแนะกระแหนพวกเขานะ แต่ผมมองว่าหน้ามืดตามัวจริง ๆ (คือว่าพวกเขาตรง ๆ เลย ไม่ได้กระแนะกระแหนครับ) คนกลุ่มนี้มีอยู่จริงแต่ไม่ได้มีเยอะและก็ไม่ใช่สาวกทั้งหมดด้วย ผมเขียนผ่าน ๆ เพื่อเป็นสีสันของข่าวเท่านั้นเอง (ไม่ได้เป็นสาระ)
อธิบายเพิ่มคือ มันจะมีคนอยู่กลุ่มนึงที่ เอะอะอะไรก็ Apple แต่พอถามว่ามันดียังไงก็ตอบไม่ได้ (มันมีผลิตภัณฑ์บางส่วนที่อยู่ในกลุ่ม Fail ครับ เช่นพวกอุปกรณ์เนทเวิร์ค...) แต่ก็อาศัยเอาสีข้างถูไปเรื่อย
ถ้าไม่ชอบก็อ่านผ่านไปละกันครับ ข่าวอื่นหลังจากนี้ผมไม่เขียนแบบนี้ก็แล้วกันนะ (พบกันครึ่งทาง)
เห็นด้วยครับ อะไรที่มันกระทบกระทั่งคนอื่น ก็ละไว้ก่อนละกันนะครับ ช่วงนี้พวกเราต้องการความเห็นอกเห็นใจกันมาก ๆ ครับ
ก็มันจริงนี่ครับ รักแบบมืดบอดจริงๆ
อะ ผมว่าคนที่เป็นสาวกแบบเต็มสูบก็คงจะมี แล้วเขาก็ออกมาบอกมุมมองของเขาซึ่งบางทีอาจจะมืดมน
แต่มันจำเป็นด้วยหรือที่ต้องมีคนคอยไปด่าพวกเขา หรือเว็บนี้มีไว้ให้คนมาด่ากัน
ปกติผมจะไม่แก้สำนวนข่าวในลักษณะนี้ ถือเป็นวิจารณญาณของผู้เขียนครับ
วิธีแก้ปัญหามีข่าวที่ไม่ชอบ คือ เขียนข่าวเดียวกันแบบที่ตัวเองคิดว่าดีกว่า มาตัดหน้าข่าวนั้นครับ อันนี้ซีเรียสเลยนะไม่ได้กวน ถ้าไม่ชอบอะไรควรแสดงให้เห็นว่าสิ่งที่ดีกว่าเป็นยังไง
ระหว่างคนที่เขียนข่าวส่งเข้ามา และคนที่วิจารณ์สำนวนข่าว ผมเลือกเข้าข้างฝ่ายแรกเสมอครับ
สังเกตุไหมครับ ว่าคนจำนวนไม่น้อยรำคาญพวกสาวก Apple แต่ก็มีจำนวนไม่น้อยที่พวก Anti-Apple ทำตัวน่ารำคาญยิ่งกว่า
เป็นปกติของคนที่มักชอบแบ่งฝ่าย ถ้าให้บอกแรงๆ ก็คล้ายๆพวกเหยียดผิวกลายๆ ต่างคนต่างมีเหตุผลที่ไม่เหมือนกัน ขึ้นกับว่าคนเราจะทนฟังเหตุผลที่ไม่เข้าหูได้มากกว่ากันแค่นั้นเอง
แต่ทั้งสองฝ่ายก็มีสิทธิในการออกมาพูดออกมาแขวะเหมือนกัน?
@TonsTweetings
ในความเห็นผม ใช่ทั้งสองฝ่ายมีสิทธิโดยชอบทำตามกฏหมายตราบใดที่ยังไม่ได้มีการหมิ่นประมาท
แล้วจะแขวะกันเพื่ออะไรล่ะครับ นอกจากจะสร้างความขุ่นเคืองระหว่างกันและกันมากขึ้นไปอีก
ต่างฝ่ายก็จะรู้ว่าโดนหมิ่นประมาทซึ่งมันก็ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรเลย
ขอสนับสนุนในการใช้ข้อมูลมาพูดคุยกันดีกว่า
อ้า ... ถูกต้องนะคร้าบบบ (แต่คนที่ถูกนิยามให้เป็น สาวก อาจโดนแบนได้ทุกเมื่อ)
ไม่ใช่ก็โดนได้ครับ ขอแสดงความยินดีด้วยครับ
สยองมาก แบนจริงๆด้วย -_-
ตราบใดที่เหตุผลในการแสดงความเห็น มีข้อมูลยืนยัน ไม่ได้กล่าวลอยๆ คิดเองเออเอง (ซึ่งฝ่ายสาวกแอปเปิลมักจะเป็น ไม่ค่อยมีสาวกมีเหตุผลหรือข้อมูล เท่าที่เปิดเว็บมา) ผมไม่มีปัญหาเช่นกันครับ
Blognone ไม่ได้ต้องการสันติภาพหรือความปรองดองปลอมๆ แต่ต้องการให้ผู้อ่านมีหลักคิดที่เป็นวิทยาศาสตร์ มีเหตุผลรองรับในการถกเถียง อ้างอิงได้ ตรวจสอบได้ ถ้าทำได้แบบนี้ จะเถียงกันไปอีกสักเท่าไรก็ตามสะดวกครับ
ผมจะเขียนเสมอมา (เป็นครั้งที่ร้อยแล้วมั้ง) ว่า Blognone มีแนวทางที่เราเชื่อมั่นในลักษณะนี้ ถ้าไม่ชอบก็ไม่ต้องอ่าน ไม่มีใครบังคับ จะให้ดีควรเปิดเว็บที่ตัวเองคิดว่า "ดีกว่า" ถ้ามันดีกว่าจริงๆ ผู้อ่านจะเป็นคนพิสูจน์เรื่องนี้ให้เอง ถ้าแนวทางของ Blognone มันไม่ถูกต้อง คนก็จะไม่เข้าเองครับ
"ถ้ามันดีกว่าจริงๆ ผู้อ่านจะเป็นคนพิสูจน์เรื่องนี้ให้เอง ถ้าแนวทางของ Blognone มันไม่ถูกต้อง คนก็จะไม่เข้าเองครับ"
"ถ้ามันดีกว่าจริงๆ ผู้ซื้อจะเป็นคนพิสูจน์เรื่องนี้ให้เอง ถ้าแนวทางของ Apple มันไม่ถูกต้อง คนก็จะไม่ซื้อเองครับ"
อคติทำให้คนรับเหตุผลด้านเดียว
ใช่ครับ ผมว่าคนแถวนี้เปลี่ยนใจจาก "ซื้อ" เป็น "ไม่ซื้อ" หลายคนแล้วล่ะ เพราะแนวทางของแอปเปิลไม่ถูกต้องนี่ล่ะ
Blognone ฟรี
(สินค้าของ)Apple ไม่ฟรี
ไม่ใช่ปัญหาที่ซื้อหรือไม่ซื้ออย่างเดียวเป็นปัญหาด้าน Cost ของการเปลี่ยนและ Brand Loyalty ด้วยครับ
พรุ่งนี้คุณเลิกเข้าบล็อกนอน อาจมีเว็บอื่นรองรับ คุณไม่เสียเงินเพื่อต้องเปลี่ยนเว็บ
แต่ iPhone คุณเลิกใช้ จะหาของแทน คือเสียเงินซื้อใหม่
พรุ่งนี้คุณเลิกเข้าบล็อกนอน คุณก็ยังใช้ไอโฟนตัวเดิมเข้าเว็บอื่นที่คล้ายๆกันได้
แต่ถ้าพรุ่งนี้คุณเลิกใช้ไอโฟน คุณอาจจะซื้อมือถือที่เข้าบล็อกนอนไม่ได้มาแทน
หรือถ้ามือถือนั้นเข้าบล็อกนอนได้ คุณก็อาจจะจดบันทึกปฏิทิน หรือแชทไม่ได้ เหมือนที่เคยทำมา
เปลี่ยนอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ไม่ได้เปลี่ยนง่ายๆอย่างเว็บที่เลือกเข้านะครับ
ซื้อไม่ซื้อเป็นเรื่องส่วนบุคคลแล้วนะครับ
การที่ซื้อก็เท่ากับว่าคุณยินดีและพร้อมที่จะจ่ายให้กับสิ่งที่คุณอยากได้อยู่แล้ว
และถ้าซื้อมาแล้วมีปัญหาจริง คุณก็ควรจะทราบถึงปัญหาได้ก่อนอยู่แล้ว เพราะโลกแห่งความเป็นจริงในเรื่องไอโฟน 4 ตอนนี้ก็คือ มีคนพบปัญหาก่อน (ที่เมืองนอก) ก่อนจะเข้าไทยประมาณ 2 เดือน ซึ่งคุณก็จะได้ศึกษาปัญหาและดูรีวิวจากหลายร้อยสำนักก่อนที่คุณจะพอใจซื้อหรือไม่เมื่อมันเข้าไทย
ผมถึงได้บอกไงครับว่าการเปลี่ยนฮาร์ดแวร์ มันไม่ได้ง่ายเหมือนเปลี่ยนเว็บที่เลือกเข้า ฉะนั้น
คนเราไม่น่าพูดพล่อยๆว่า "คนซื้อเลือกเอง ศึกษาปัญหามาตลอด ฉะนั้น อุปกรณ์มีปัญหา เป็นความรับผิดชอบของคนซื้อ"
เอาง่ายๆว่าถ้าตอนนี้มี iPhone ในเมืองไทย ก็เป็นความผิดคนซื้อที่ศึกษามาไม่ดีพอ ไม่รู้มาก่อนว่าศาสดาสั่งให้จับท่าที่เป็นมาตรฐาน เช่นนั้น?
ชอบว่าคนอื่นว่าพูดพล่อยๆจังเลยนะครับ แล้วคุณหนะพูดดีแล้วหรือไง?
A chemical rush''
ผมไม่ได้บอกว่า อุปกรณ์มีปัญหา จะเป็นความรับผิดชอบของคนซื้อนะครับ
ปัญหา hardware ไม่ได้แก้ง่ายจริง แต่นั่นเป็นปัญหาของ Apple ซึ่งตอนนี้ผู้บริโภคก็ทราบดีแล้ว ก็เลือกเอาเองว่าจะซื้อมั้ย
เพราะงั้นผมจึงหมายถึง การรับทราบถึงปัญหา ก่อนที่จะ"ยินดี"จ่ายเงินเพื่อซื้อ จะบ่นทำไมในเมื่อรู้ปัญหาแล้วแต่ก็ยังยินดีที่จะจ่าย
ส่วนที่ถามว่า เป็นความผิดคนซื้อเหรอที่ศึกษามาไม่ดีพอ ส่วนหนึ่งผมว่า (คห.ส่วนตัว) ก็มีส่วนผิดเหมือนกัน (ไม่อยากเรียกอย่างนี้เท่าไหร่ น่าจะบอกว่ารู้ไม่พอมากกว่า)
ตัวอย่างเห็นได้เยอะ เช่นที่บอร์ดมาบุญครองในเวบ Pantip เช่น ซื้อไอโฟนมาแล้วแชทบีบีกับเพื่อนๆไม่ได้ ก็ก่นด่า operator ทั้งๆที่ service มันคนละแบบ (ไม่ศึกษา?) หรือซื้อ Spica มาเป็น Android 2.1 แล้วบ่นด่า Samsung ว่าใช้ multi-touch ไม่ได้เหมือน Nexus One (OS เดียวกัน) << ไม่ศึกษา? ตกลงใครมีปัญหากันแน่?
ส่วนเรื่องไอโฟน 4 จับแล้วสัญญาณหด บอกตามตรงว่าผมก็ไม่พอใจเหมือนกัน (เพราะตั้งใจจะซื้อ) เป็นส่วนหนึ่งที่ผมกำลังพิจารณาว่ายอมรับได้หรือไม่ หรือรอ 2 เดือนว่า Apple จะแก้ได้รึเปล่า ถ้าแก้ไม่ได้ ปัญหามากมาย ก็ไม่ซื้อ
เงินสองหมื่นปลายๆก็ยังอยู่ในกระเป๋าเรา เงินใครเงินมันคนนั้นรับผิดชอบเงินตัวเองครับ ว่าจะจ่ายหรือจะเก็บไว้
ปล.ทั้งหมดเป็นคห.ส่วนตัวผมล้วนๆนะครับ ซึ่งอาจจะไม่ถูกเสมอไป
แล้วปัญหานี้มัน "ใช่" อย่างที่คุณว่า และสมควรจะ มีคนมาเปรียบเทียบ แบบนี้
มั้ยครับ?
เค้าเปรียบเทียบด้านสิทธิ์ของคนที่จะเลือกนี่ครับ
คุณไปโยงเรื่องเสียเงินเอง ซึ่งผมก็พยายามอธิบายว่า คนก็มีสิทธิ์เลือกที่จะเสียเงินหรือไม่เสียเงินได้เหมือนกัน
ผมกำลังจะบอกว่า พอมีเรื่องเงินมาเกี่ยวข้อง
มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ว่านึกจะเปลี่ยนก็เปลี่ยน แล้ว เพราะมันมี Cost ของการเปลี่ยนเพิ่มขึ้นมา
ดังนั้นเวลาเกิดปัญหากับของที่จ่ายเงินซื้อไปแล้ว มันก็ควรมีการร่วมกันเรียกร้องความรับผิดชอบ
ไม่ใช่บอกว่า "ช่างเขา เดี๋ยวมันไม่ดี เขาก็เปลี่ยนเอง"
ผมกำลังจะบอกว่า พอมีเรื่องเงินมาเกี่ยวข้อง
มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ว่านึกจะเปลี่ยนก็เปลี่ยน แล้ว เพราะมันมี Cost ของการเปลี่ยนเพิ่มขึ้นมา
ดังนั้นเวลาเกิดปัญหากับของที่จ่ายเงินซื้อไปแล้ว มันก็ควรมีการร่วมกันเรียกร้องความรับผิดชอบ
ไม่ใช่บอกว่า "ช่างเขา เดี๋ยวมันไม่ดี เขาก็เปลี่ยนเอง"
แล้วยิ่งมีปัญหาเรื่องความคุ้ยเคยแถมมาด้วย
ประเทศเราวนเวียนกับปัญหา Pirate ไม่จบสิ้น เพราะอะไร?
ส่วนนึงก็มาจากเรื่องนี้แหละครับ ใช้วินโดวส์กันจนชิน ทำอะไรยังไงก็ต้อง Windows
เรื่องนี้ก็เหมือนกัน
ถ้าตั้งใจจะเปลี่ยน Hardware จริงๆ ก็เปลี่ยนได้ง่ายครับ
เอาของเก่าไปขาย + เงินเดือนเหลือเก็บ = เครื่องใหม่แล้ว
ส่วนต่างที่หายไป ถือว่าเป็นค่าการศึกษาเสริมความรู้นอกห้องเรียนครับ
มีอยู่บ่อยๆ ไปหนิครับ ที่เราเลือกซื้อของมาผิดเอง ไม่ใช่ราคาถูกๆ ด้วย!
จริง ๆ แนวคิดเรื่องเว็บคู่แข่งอยู่แค่ "One Click Away" นี่เป็นจริงน้อยลงเรื่อย ๆ นะครับ
โดยเฉพาะเรื่อง data และ network ยกตัวอย่างเช่น
ดีไม่ดีเปลี่ยนเว็บจะยากกว่าเปลี่ยน hardware ครับ
กรณีของ Blognone ผมว่าต่างไปนะครับ เพราะ Blognone เก็บ data (ถ้าเอาตามศัพท์ที่คุณยกมา) น้อยมาก ถ้าเป็น comment อาจไม่ค่อยมีประโยชน์ในการย้ายมากนัก (หรือถ้าอยากได้จริงๆ ผม dump ให้ก็ได้ครับ) ส่วน reputation คิดว่าเกิดจากชื่อ user name ซึ่งคนส่วนมากก็ใช้ในบริการอื่นๆ (อย่าง Twitter) เป็นชื่อเดียวกันอยู่แล้ว
ผู้อ่าน Blognone จำนวนมาก อ่านเพียงอย่างเดียว ไม่ได้สมัครสมาชิก ซึ่งตรงนี้มี cost ในการย้ายต่ำมากครับ
ผมว่า comment ค่อนข้างจะสำคัญทีเดียว (สำหรับผมแล้วเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของที่นี่ เพราะข่าวอ่านที่อื่นได้ แต่ความคิดเห็นของคนไทยที่มีคุณภาพหาได้ยาก) บางคนลงทุนลงแรงอธิบายอย่างดี ถ้า user คนนั้นโดนแบนไปหรือย้ายไปที่อื่น ก็จะไม่ได้เป็นเจ้าของข้อความเหล่านั้นโดยสมบูรณ์
อย่างไรก็ตาม ผมยกตัวอย่างประกอบเฉย ๆ ครับว่าการย้ายเว็บไม่ได้ "One Click Away" โดยเฉพาะใน Web 2.0 (แน่นอนว่าเรื่องพวกนี้ไม่มีผลกับผู้อ่านที่ไม่ได้สมัครสมาชิกครับ)
เห็นด้วยครับ +1
ถ้าทำได้ Blognone จะเป็นเว็บที่มีเนื้อหาุุุคุณภาพมาก ทั้งตัวเนื้อข่าวเอง และคอมเมนต์ด้วย
แนวทางนี้ดีมากๆ ครับ
ใช้เหตุผล+ข้อมูล ตรวจสอบไ้ด้ มาคุยกัน ท่านอื่่นๆที่อ่านคอมเมนต์จะได้ความรู้ด้วย
ยกตัวอย่างผิดแล้วมั้งครับ :)
อยากรู้จังว่ามันเป็นแบบนี้กี่เครื่อง :))
A chemical rush''
ใครซื้อเครื่อง mbk ตอนนี้นอกจากจะได้ราคาแพงกว่าปรกติแล้ว
ยังได้พวกนี้พ่วงไปอีกต่างหากสินะ
เพิ่มเติมว่ามี Report จากการ test ใช้ iPhone 4 สองเครื่องในสถานที่เดียวกัน เครื่องหนึ่งสามารถ reproduce ปัญหาสัญญาณหายจากการจับเสาอากาศได้ ส่วนอีกเครื่องไม่เป็นปัญหานี้ ทำให้เริ่มมีข้อสงสัยว่าปัญหาสัญญาณหาย อาจจะเกิดจากขั้นตอนการประกอบมากกว่า Design ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นจริง คนซื้อ Lots แรกนี่เสี่ยงเอาการ เป็นข้อดีของประเทศโลกที่ 3 อย่างเรา ที่ไม่ได้ใช้ของ lots แรก 555
iPhone 4 ...Great Device but Weak Phone...
Youtube ตอนนี้ก็มีสองแบบครับ
คือพวกคนเทสแล้วสัญญาณหาย กับพวกเทสแล้วสัญญาณไม่หายเลย
ใครซื้อตอนนี้คือลุ้นกันซะมากกว่าว่าใครจะเป็นหรือไม่เป็น
เอาแล้วไง โชคดีที่ยังไม่ซื้อ
ผมชอบนะ การมีข่าวปัญหาออกมาเยอะๆ จะได้รู้ทุกจุดที่ต้องระวัง ก่อนไปซื้อ ดีกว่าหลับหูหลับตาจ่ายเงิน
แต่ยังไงก็ซื้อครับ ทน3G เต่ามานานแล้ว
+1 เรื่อง รู้ปัญหาเพื่อหาทางรับมือ
{$user} was not an Imposter
งานนี้จะได้เห็นหลายท่านรอ iphone 4s แทนไหมหนอ...
ใช้ไม่เป็นหรือเปล่าตัวเธอว์ >w<
คุณ mk ห้ามใช้ศัพท์ดราม่าหนิครับ
{$user} was not an Imposter
แอบกลับไปคอมเม้นหน่อยนะ
ผมว่า เร่ิมเหน็บกันจน blognone เริ่มหน้าอ่านน้อยลงทุกวันแล้วนะครับ
ตอนอยู่ในคอมเม้นก็ไม่เท่าไหร่ ยังพอผ่านๆได้
แต่พอเร่ิมมาอยู่ในเนื้อข่าว เอ่อ...เร่ิมเหมือนข่าวการเมืองเข้าทุกวันแล้วอ่ะ
+1
แฟนพันธุ์แท้สตีฟจ็อบส์ | MacThai.com
+10
ทุกอย่างดีหมด ยกเว้นเหน็บ
"ความเห็นส่วนตัว" อ่านข่าวผ่าน Feed อย่างเดียวถ้าข่าววิชาการก็จะกดตามเ้ข้ามาดูเค้าถกประเด็นกัน
ผมว่าข่าวที่ Blognone ยังมีสาระและคุณค่ากว่าข่าว 5 บาท 10 บาท ที่ซื้ออ่านอีกนะครับ
แต่อย่างน้อยก็ทำให้รู้ว่าสาวกแอ๊ปจัด มีจริง :|
เครื่องมันผลิตเป็นล้านเครื่อง มันก็ต้องผิดพลาดอะไรกันบ้าง
สมมุติตอนนี้ผลิต 2 ล้านเครื่อง แล้วมีปัญหาซัก 500 เครื่อง ก็เท่ากับมีปัญหาราว 0.025% เอง
ซึ่งก็เป็นเรื่องของบริการหลังการขายกันไป ไม่งั้นจะมีประกัน 1 ปีกันไว้ทำไม
ไม่เห็นต้องแขวะอะไรกันเลย อุปกรณ์ราคาเป็นล้านยังพลาดกันได้
ผมว่าเครื่องมีปัญหาในการผลิต มันเรื่องปกติ ยี่ห้อไหนๆ ก็เป็นครับ
แต่เครื่องมีปัญหา แล้วมีสาวกบอกว่า "ไม่ใช่ปัญหา" อันนี้ไม่มียี่ห้อไหนเป็นครับ มันเป็นกรณีผิดปกติแล้วล่ะ
ผมว่าบางทีมันก็ต้องใช้เวลา กว่าผู้ผลิตจะยอมรับว่าเป็นปัญหา หรือกว่าผู้ผลิตยอมรับข้อเรียกร้องของลูกค้าเพื่อชดเชยปัญหา
สุดยอดสาวก ปัญหาของ User ต้องรอให้ศาสดายอมรับก่อนถึงจะเป็นปัญหา
ถ้าศาสดาไม่ยอมรับก็ไม่ใช่ปัญหา
ชาบู ชาบู
แหม reply รวดเร็ว edit ไม่ทัน ขอยกตัวอย่างเคสโตโยต้า เดี๋ยวจะไม่มีหลักฐาน (แต่ไม่รู้หลักฐานน่าเชื่อถือรึเปล่า) เห็นว่ากว่าจะยอมรับและเรียกรถคืน ก็ใช้เวลากว่า 2 ปี (มีคนตายด้วย)
เพิ่มเติม: อีกเว็บ (msnbc.com) ดูเหมือนจะบอกว่าแค่ 5 เดือนแฮะ
เห็นด้วยครับ สินค้ามันยังเปิดขายได้ไม่ถึงสัปดาห์เลย??
A chemical rush''
อืมมมมม เป็นที่ตัวบุคคลหรือเป็นที่กลุ่มคนครับ? ทีว่าสาวกบอกว่า "ไม่ใช่ปัญหา" ผมว่าคนๆนั้นออกจะปัญญาอ่อนนะถ้าเห็นปัญหาแล้วบอกว่าไม่ใช่ปัญหา ว่าแต่ผมยังไม่เห็นใครบอกว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหานะเท่าที่ติดตามดู
สาวกแอปเปิลมีเป็นกลุ่มๆ ครับ แต่จะเสียงดังหน่อย จริงๆ แล้วเรามีคนใช้แอปเปิลแบบดีๆ อยู่มาก เพียงแต่ไม่แสดงตัวหรือออกมาโต้ตอบเวลาแอปเปิลมีปัญหาเท่าไรนัก
good example
ผมชอบ แนวความคิดของ สตีฟ จ๊อบส์ คับ ผมมองว่าเค้าเปนคนที่คิดค้นสิ่งใหม่ ๆ ออกมาเสมอ ๆ
ในขณะที่ บริษัทอย่างไมโครซอฟท์ ต้องพยายามรักษา ลูกค้าเก่า ๆ โดยที่แทบจะหาหน้าใหม่ ๆ ไม่เจอ
แต่ถึงผมจะชอบจ๊อบส์ สักแค่ไหน แต่ผมไม่มีสินค้าของ apple สักชิ้นเลยคับ
อะไรที่ดี ก็ต้องชมว่าดีคับ ถึงแม้มันจะมีจุดด้อยบ้างก็ตาม เพราะความผิดพลาดเปนเรื่องทั่วไป ที่เกิดขึ้นได้คับ
ส่วนอะไรที่แย่ เด๋วเรา ๆ ก็คงจะลืมไปเองคับ
ผมเคยได้ยินมาว่า "หาลูกค้าใหม่ไม่ยาก แต่รักษาลูกค้าเก่าไว้ยากกว่า"
MS เขามีฐานที่มากพอที่จะ "ต้องรักษา" ไว้ให้ได้ แล้วหลายๆ คนก็ยังเป็น "ลูกค้า" อยู่จนถึงทุกวันนี้ อาจเป็นเพราะสภาพแวดล้อม (OS) บังคับ แต่สำหรับ mac (เฉพาะ mac book และคนใกล้ๆ ตัวผมละกัน) หลายคนยอมที่จะซื้อ mac แต่สุดท้ายเขาก็กลับไปลง windows ทำให้เครื่องต่อๆ ไปของเขา ก็ไม่ใช่ mac เหมือนเดิม
ผมว่าตอนนี้ จ๊อบ ฉาบฉวยมากๆ ตั้งแต่ iphone, ipad ละครับ คนใกล้ๆ ตัวผมหลายๆ คนซื้อมาใช้อย่างรวดเร็ว และขายออกไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน
ผมชอบ MS มากกว่า Apple MS สร้าง "ความเคยชิน" แล้วกินกันยาวๆ แต่ Apple สร้าง "นวัตกรรม" แล้วค่อยเสี่ยงเอาว่าคนจะเอาด้วยหรือไม่
ผมยอมรับความสำเร็จของ iphone แล้วยังอยากได้มันด้วย แต่ถ้าพูดถึงโทรศัพท์ที่เป็น "โทรศัพท์" Nokia 1200 ในกระเป๋าผม ไม่เคยดื้อให้เสียงานเลย (Spica ดับกลางอากาศเจอมาแล้ว โทรไปอีกที ยกเลิกเลย แทบขว้างทิ้ง)
แก้ยังไงก็แก้ไม่หมด นอกจากจะชินไปเอง
อ่านเวบนี้เหมือนจะได้เรื่องเดิมๆ
(เฉพาะบางคน)ใครเผลอให้ คห. เข้าข้าง Apple อาจโดนยัดยาให้เป็น "สาวก" ซะงั้น
ถ้าเป็นความเห็นที่ไม่มีเหตุผลหรือข้อมูลรองรับ แถมเวลาอีกฝ่ายมีข้อมูลมาแย้งแล้วยังไม่ยอมรับหรือแถ แบบนั้นเรียก "สาวก" เข้าใจถูกต้องเลยครับ
เข้าใจ
แต่เผอิญเห็นบางคนมีข้อมูลเหมือนกัน แต่โดนยัดให้เป็น สาวกไปแล้วด้วยนี่สิ :P
ขอลิงก์ด้วยครับ
นี้พูดถึง comment ที่อยู่ในกระทู้นี้ ต้องทำลิงค์ด้วยหรือ ? อย่างของ 187789
ผมไม่รู้ครับว่าคุณพูดถึงอะไรที่ไหนครับ คอมเมนต์มีเป็นแสนๆ แถมข่าวหนึ่งๆ มีเป็นสิบ การทำลิงก์จะช่วยให้การตามหัวข้อที่พูดคุยกันอยู่ได้สะดวกมากขึ้น (กับทุกคน) นะครับ
อันนีเห็นด้วย
เหอๆ เรื่องจริง :)
A chemical rush''
เคยเห็นแต่มือถือที่ได้ใจเต็ม 100%
แต่ไม่เคยเห็นมือถือที่สมบูรณ์ 100%
ผมใช้ Milestone อยู่ พบปัญหาเดียวกันเลย
website เขียนแบบนี้ครับ เว็บไซต์
A chemical rush''
สนับสนุนให้ทุกท่านตั้งจิตให้มั่นก่อน Post ทุกครั้ง
หากจิตไม่สงบ เดี๋ยวมันจะให้เรื่องยิ่งไปกันใหญ่
อยากยกกรณีเปรียบเทียบเรื่องบริการหลังการขายให้ดูสักกรณีครับ เมื่อ 3-4 ปีก่อนกล้องคอมแพคของ Canon รุ่นนึงมีปัญหาเรื่อง CMOS เสียง่ายและเป็นกันเยอะมาก Canon ยอมรับปัญหาและให้สามารถเอาเครื่องไปเปลี่ยนได้เลย จนหลังๆเครื่องรุ่นนั้นไม่มีการผลิตแล้ว Canon ก็ยังให้ไปเปลี่ยนเป็นรุ่นใหม่กว่าได้ เรื่องนี้เกิดในประเทศไทยและคนเล่น Pantip ห้อง Blue Panet (ตอนนั้นยังไม่ได้แยกมาเป็นห้องกล้อง) จะรู้กันดี ทำให้ Canon ได้ใจคนใช้ไปเยอะมาก
กรณีหาก Apple ยอมรับความจริง และพยายามแก้ไขปัญหา ก็คงไม่มีคนออกมาโจมตีมากขนาดนี้ อาการแบบนี้มันเหมือนคนที่ประสบความสำเร็จมากๆ อีโก้เลยสูงและไม่ยอมรับความผิดพลาดของตัวเอง กรณีแบบนี้ Toyota America ก็กำลังเผชิญผลกรรมของตนเองอยู่ จากกรณีที่ระบบเบรคมีปัญหา แล้วไม่ยอมรับความจริง ตอนนี้ก็เลยโดนทางการของสหรัฐสอบสวนเรื่องที่เกิดขึ้น หากพบว่าเป็นความจริงจะโดนปรับเงินในจำนวนมหาศาล
ส่วนเรื่อง sensor นั้น ในกล้อง DSLR ที่มีระบบ Live View ก็จะมี sensor ลักษณะเดียวกันเวลาที่เอาตาไปแนบกับ Viewfinder หน้าจอก็จะดับไปเอง ที่ผ่านๆมาก็ยังไม่พบกรณีที่มีปัญหาแต่อย่างใด และในโทรศัพท์ราคาหลักพันหลายๆรุ่นก็มี feature นี้ ก็ยังไม่พบปัญหาเช่นกัน งานนี้วิศวกรของ Apple คงต้องทำการบ้านมากขึ้นแล้วมั้งครับ
+1 ปัญหาอาจเป็นสิ่งที่ไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้น แต่วิธีแก้ปัญหาเป็นสิ่งที่มีเวลาให้คิด ก็หวังว่าผลไม้จะคิดได้และเสนอวิธีแก้ไขให้ลูกค้าอย่างสมเหตุสมผล
ปล. มาเมืองไทยถ้ามีปัญหาแบบนี้ก็อย่าคิดว่าจะรอด โน็ตบุ๊คยี่ห้อดังที่มีปัญหาเรื่อง Heat Cycle แล้วไม่ยอมแก้ไข จนถูกประจานในพันทิป (ณ วันนี้ยังไม่เลิก ข้าม 2 ปีกันเลยที่เดียว) เป็นตัวอย่างที่ดีเคสหนึ่ง
ผมอ่านคอมเมนต์ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ของแอปเปิลครับ ไม่ใช่เพราะว่าผมชอบแอปเปิลอะไรเท่าไหร่ แต่อ่านคอมเมนต์หัวข้อข่าวที่เกี่ยวกับแอปเปิลทีไร เรื่องราวมันก็ดุเด็ดเผ็ดมันได้อย่างไม่น่าเชื่อ ก็รู้สึกว่าข่าวแต่ละข่าวสามารถอ่านให้ได้มุมมองที่แตกต่างได้มากขนาดนี้เลยเหรอ ขนาดที่ว่าเถียงกันด้วยคำสุภาพแทบเป็นแทบตาย ก็ยังไม่วายมาเถียงกันให้หลงประเด็นในข่าวใหม่ต่อไปได้
เอาเป็นว่าทุกคนมีมุมมองของตัวเอง ผมไม่เคยเลือดขึ้นหน้าเวลาใครอ้างถึงใครหรือใครว่ากระทบใคร ฉะนั้นผมอ่านทีไรก็จะขำทุกที แค่อยากแสดงความคิดเห็นบ้างครับ ผมรักข่าวไอที อ่านแล้วรู้สึกมีอะไรให้รู้เพิ่มขึ้นทุกวัน คอมเมนต์ก็เป็นน้ำจิ้มให้รสชาติที่จัดจ้านขึ้น แล้วแต่จะมองครับ
จะอ่านเฉยๆต่อไปครับ
เหนื่อยใจกับการเปลี่ยนไปของ...ไม่เหมือนที่ผมเล่นเมื่อ 2 3 ปีก่อนเลย
คอมเมนท์สุดๆเลย อ่านไม่ไหว
แต่อย่าให้ฝันผมเป็นจริงเลย ที่แอปเปิ้ลจะเรียกคืนเครื่องทั้งหมดเพื่อนำกับไปแก้ไข แล้วมอบเครื่องใหม่มาให้
ผมบ้าถึงขนาดเอาสินค้าของแอปเปิ้ลไปฝัน สองคืนแล้ว (เพราะเพื่อนผม ให้หาข้อมูล iPhone4 ให้)