ข่าวนี้คุ้น ๆ ครับ แค่ฉากหลังเป็นประเทศซาอุดิอาระเบีย และเว็บไซต์ที่ถูกปิดกั้นคือ Facebook โดยจะมีการแสดงข้อความบอกว่าเกิดข้อผิดพลาดขึ้นเมื่อเรียกเว็บไซต์
แหล่งข่าวจากคณะกรรมการเทคโนโลยีสารสนเทศผู้ไม่ประสงค์ออกนามบอกว่ามีเนื้อหาใน Facebook ที่ "ล้ำเส้น" ไปจากศีลธรรมแนวอนุรักษ์นิยมของประเทศ (ข่าวใช้คำว่า conservative values) ซึ่งปัญหาก็คือเรื่องศาสนานั่นเอง
อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวผู้นี้บอกว่าการปิดกั้นนี้จะเป็นการปิดกั้นชั่วคราว รัฐบาลปากีสถานและบังคลาเทศก็เพิ่งสั่งการคล้าย ๆ กันในช่วงปีที่ผ่านมา
ที่มา - AP
Comments
comment ไม่ออก
จีนก็ปิดนี่
ไทยอาจจะปิดเยอะกว่าครับ
งงรูปลิง อิอิ
ลักษณะว่า ส่งสัญญาณให้แก้ไขอะไรหน่อย
ปิดหู ปิดตา ปิดปาก
ถ้ามันไปล้ำส่วนที่เป็นของเขา การปิดเพื่อให้วัฒนธรรมเดิมยังคงอยู่ผมก็ว่าสมควรปิด ดีกว่าเปิดแล้วทำให้ความเชื่อเรื่องผิดศีลธรรมเสื่อมลงหรือถูกครอบงำโดยวัฒนาธรรมตะวันตก
ถ้าเป็นผม ผมจะทุ่มแคมเปญรณรงค์อนุรักษ์วัฒนธรรมแข่งกับวัฒนธรรมตะวันตกที่ว่าครับ
อาจจะเป็นการทำสื่อที่สร้างอารมณ์ร่วมให้รู้สึกรักชาติรักวัฒนธรรมอะไรก็ว่ากันไป
ผมเชื่อว่าคนเรามีสิทธิ์ที่จะเลือกครับ ถ้าคุณอยากให้เค้าเลือกของคุณ คุณก็ต้องทำลงมาแข่งเหมือนกับในตลาดเสรีแบบนั้นแหละ
ผมชอบดูหนังโป๊มากกว่าหนังการ์ตูน ดังนั้นควรมีช่องโป๊ให้ดูแล้วให้คนเลือกเอาสินะว่าจะเอาแบบไหน ในหลักการปกครองนั้นอย่างไรเสียต้องมีกฏเกณฑ์ เสรีภาพในการเลือกไม่ใช่สิ่งดีที่สุดในสังคมหรอก คุณต้องการเปิดแต่ก็ยังมีคนแบบผมที่ต้องการปิด วันหนึ่งถ้าถึงเวลามันจะเปิดมากขึ้นเองครับ วิธีการที่คุณเสนอมันแพ้เร็วไปแน่ ดูอย่างเราสิรณรงค์กันแค่ไหน เดี๋ยวนี้อะไรก็ต้องเกาหลี ญี่ปุ่น รากเหง้าเราอยู่ไหนกัน
คุณรู้ได้อย่างไรว่าเสรีภาพในการเลือกไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดในสังคม?
Cost ของการเปลี่ยนแปลงมีอยู่เสมอ เมื่อเปลี่ยนแปลงได้ลงตัวแล้วนั่นแหละ ถึงจะบอกได้ว่ามันดีหรือไม่ดี
เสรีภาพคือ มันไม่จำเป็นต้องมีให้คุณเลือก แต่หมายความว่า ถ้ามันจะมีก็ทำได้
การทำช่องโป๊มันก็ต้องมีทุน มีรายได้ อาจจะขายสัญญาณเคเบิล ไม่เหมือนช่องการ์ตูนที่ยังไงเด็กก็ดู มันก็มีค่าโฆษณา
ถ้าไม่ชอบก็เปลี่ยนไปหาช่องอื่น หรือไม่ก็ติดเคเบิล ดูสารคดีอะไรไป
กลไกตลาดมันก็จะบอกเองว่ามันควรจะวางตัวแบบไหน
ทุกวันนี้เด็กเปิดเว็บโป๊ ยังไงมันก็ต้องเจอ ปิดไปก็ไม่ช่วยอะไร
เราแค่ยังไม่เคยชินกับการเปิดเรื่องเพศ แต่ตลอดประวัติศาสตร์หมื่นปีของมนุษย์ เคยมีตอนไหนที่เราปิดได้?
ผมไม่เคยเห็น จนยุคนี้แล้วเราน่าจะคิดได้แล้วว่ามันคือความผืดพลาด
เหมือนกับการที่เราเคยมีทาส เป็นความผิดพลาดในช่วงหนึ่งก่อนที่จะมีสิทธิมนุษยชน
ตอนที่เลิกทาส มันก็เคยมีคนแบบคุณ ที่ไม่เชื่อว่ามันจะดี
แต่สุดท้ายมันก็คือสิ่งที่ดีกว่า
Cost ของการเปลี่ยนแปลงมีอยู่เสมอ เมื่อเปลี่ยนแปลงได้ลงตัวแล้วนั่นแหละ ถึงจะบอกได้ว่ามันดีหรือไม่ดี
=> การเปลี่ยนแปลงทำได้หลายวิธี หลายแบบหลายจังหวะ ควรออกแบบและวางแผน แต่ละวิธีมี cost ต่างกัน
และอาจจะไปถึงเป้าหมายได้มีประสิทธิภาพประสิทธิผลต่างกัน
ทุกวันนี้เด็กเปิดเว็บโป๊ ยังไงมันก็ต้องเจอ ปิดไปก็ไม่ช่วยอะไร
เราแค่ยังไม่เคยชินกับการเปิดเรื่องเพศ แต่ตลอดประวัติศาสตร์หมื่นปีของมนุษย์ เคยมีตอนไหนที่เราปิดได้?
=> เรื่องหนังโป๊กับเด็ก คงต้องปิดไว้ก่อน บางอย่างมันเรียนรู้ไม่ได้จากคำสอน ต้องมีประสบการณ์ ถึงจะมีความเชื่อ
บางอย่างมันไม่ได้อุดมคติขนาดนั้น
มันมีเรื่อง สถานการณ์ ศักยภาพ จังหวะ เวลาด้วย
ผมไม่เอา ideology นำ ideology เป็นเครื่องมืออีกนั่นแหละ ไม่ใช่ของที่ต้องบูชา
ต้องคิดถึง fact ให้มาก
สิ่งที่คุณเชื่อว่าเปน Fact มันก็อาจไม่ใช่ Fact จริงๆก็ได้ครับ
เราไม่เคยมีการทดลอง ไม่เคยมีการสรุปผล ไม่เคยสรุปได้จริงๆจังๆ ว่าสิ่งที่เราทำเปนบรรทัดฐานมาตลอดนี้เปน Fact อย่างแท้จริง
สิ่งที่คุณพูดได้คือคำว่า คงต้อง
แต่จริงๆมันอาจจะผิดก็ได้
ไอ้การมีอำนาจแล้วใช้ปิดหูปิดตานี่ มันก็ไม่เสี่ยงดี
แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่ามันดีจริง
ไอ้สิ่งที่คุณเรียกว่า Ideology มันอาจจะถูกมากกว่าคุณก็ได้
ก็ไม่ต่างกับสมัยยุคกลาง ที่คนไม่กล้าเชื่อว่าโลกหมุนรอบดวงอาทิตย์
เพราะคัมภีร์บอกไว้ สิ่งที่บอกต่อๆกันมานั้นดีอยู่แล้ว
ก็ ไม่ ต่าง กัน
เอ่อ แล้วรากเหง้าเราอยู่ตรงไหนครับ ไม่ได้ถามกวนๆ นะครับ แต่มันอยู่ตรงไหนที่เรียกว่ารากเง้าของเรา
+1 multi-culture
เวลาจะทำให้คุณเข้าใจครับ ทุกอย่างอยู่รอบตัวคุณแล้ว คำตอบมันมีอยู่แล้วเพียงแต่คุณฟังหรือไม่
กระโปรงสั้นแค่ปิดก้น เกาะอก สายเดี่ยวคือรากเหง้าเราชิมิ บางทีต้องทำความเข้าใจกันใหม่ว่าเราลืมรากเหง้าอย่างไร ผมหาได้ปฏิเสธความศิวิไลซ์ไม่ คุณก็เห็นว่าแผงหนังสือทุกวันนี้มีแต่เรื่องข่าวคาวดาราเป็นส่วนใหญ่ ประเภทไอ้โน่นกิ๊กอีนั่น อีนั่นเลิกไอ้นี่(ไม่ได้หยาบนะ ในวงสนทนาทั่วไปก็ใช้กัน นี่คือหนึ่งในรากเหง้าของเรา) มีความเห็นข้างล่างบ่งบอกว่าค่อยๆ เปลี่ยนน่าจะดีกว่าซึ่งผมก็เชื่ออย่างนั้น ส่วนคนที่ใจร้อนอยากรีบเปลี่ยนหรือไม่ขัดเขินที่จะรับทุกสิ่งอย่างแล้วเลือกเอาก็เชิญเถิด จะมองว่าเป็น multi-culture ก็ตามใจ เพราะคนที่ทำหน้าต้านการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้มันเปลี่ยนช้าเมื่อถึงเวลาเช่นผมก็จะทำหน้าที่ต่อไปครับ
สมัยสุทรภู่ หรือขุนช้างขุนแผนนี่ แรงกว่านินนาดาราสมัยนี้เยอะครับ
lewcpe.com, @wasonliw
ถึงวันนี้ผมก็ยังแยกแยะไม่ได้ว่าอะไรคือ "รากเหง้า" แท้ๆ ของเรา อะไรคือสิ่งที่เป็นของ "ไทยแท้ๆ" โดยไม่รับมาจากที่อื่นๆ และดูเหมือนเวลาจะไม่ทำให้ผมเข้าใจมันมากขึ้นเลยครับ เพราะยิ่งเวลาเปลี่ยน ดูเหมือนสภาพสังคม (ภาษา ลักษณะการแต่งกาย ค่านิยม รสนิยม ฯลฯ) มันยิ่งเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แถมเร็วติดจรวด
ครั้งหนึ่งหญิงไทยใส่เกาะอก ส่วนหญิงที่มีลูกบางคนก็เปลื่อยอกเห็นเป็นเรื่องปกติ
ผ่านไปยุคหนึ่งเห็นว่ามันอุจาดตา และไม่ศิวิไลค์ หญิงไทยก็ใส่เสื้อคอกลม ปิดแขน (รู้สึกจะเิริ่มในสมัยร. 5)
กลับมาอีกยุคหนึ่ง หญิงไทยใส่สายเดี่ยว เกาะอก กลับถูกบอกว่าลืมรากเหง้า ทั้งๆ ที่รากเหง้าเราก็เกาะอกเหมือนกัน
ถ้าของเก่าคือรากเหง้า คนรุ่นแก่ๆเล่าให้ฟังว่าสมัยก่อนสงครามโลกชาวบ้านทั่วไปเดินถอดเสื้อทั้งชายทั้งหญิง พึ่งจะมา"บังคับให้ผู้หญิงใส่เสื้อ"เวลาออกจากบ้านในตอนหลัง
นี่คือรากเหง้าสินะ
ผมก็ชอบดูหนังโป๊ แต่ก็ไม่อยากให้หลานแปดขวบมาดูหนังโป๊ ผมคงเป็นพวกสองมาตรฐานงั้นซี
ผมคงผิดที่ไปตัดสินแทนเขาว่า อะไรเหมาะหรือไม่เหมาะกับเขา ผมจึงไม่ควรปิดกั้นเสรีภาพของเขา
แล้วก็ทิ้งแผ่นหนังโป๊ไว้กลางบ้าน ให้เขาเลือกดูตามอัธยาศัย ก็น่าจะดี....
Happiness only real when shared.
ผมคิดว่าเรื่องภาระหน้าที่ต้องผู้ปกครองนี่จะเป็นที่เข้าใจกันดีเสียอีกนะครับ เราไม่ได้เข้าใจตรงกันหรือว่าสำหรับเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะนั้น ผู้ปกครองมีหน้าที่ดูแล
เราเห็นตรงกันว่าเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะนั้นยังไม่ควรรับชมเนื้อหาบางอย่างก็จริง แต่ประเด็นคือเมื่อรัฐบาลไม่มีความสามารถที่จะป้องกันเด็กจากสื่อบางอย่างโดยที่ไม่ส่งผลกระทบต่อผู้ใหญ่ที่มีสิทธิ์รับชม ก็ต้องไม่เซ็นเซอร์ทั้งหมด หนทางที่ดีกว่าอย่างชัดเจนคือการให้ความรู้ผู้ปกครองในการควบคุมการรับชมเนื้อหาของลูกหลาน
นี่เป็นตัวอย่างที่เลว หนึ่งในเหตุผลวิบัติ Fallacy of accident – ละทิ้งข้อยกเว้น
เพราะทุกคนเข้าใจกันดีอยู่แล้วเรื่องการดูแลผู้เยาว์ตาม คห บน
ตั้งใจใช้ตัวอย่างที่เลว ๆ วิบัติ ๆ ครับ เพราะเบื่อการอ้างสิทธิ
เสรีภาพแบบไม่มีขอบเขต
คือไม่ค่อยเชื่ออะครับ ว่าเราจะหลีกเลี่ยงเรื่องการปิดกั้นไปได้
เพราะผมว่าทุก ๆ สิทธิ เสรีภาพ มันก็ต้องมีขอบเขตหรือข้อยกเว้นทั้งนั้น
ไม่แบบใดก็แบบหนึ่ง
ส่วนเรื่อง การดูแลผู้เยาว์นั้น ถ้าเป็นเด็กแปดขวบ คนส่วนใหญ่ในโลก
น่าจะเห็นตรงกัน (แต่เด็กอาจคิดอีกอย่าง) แต่ถ้าเป็นเด็กที่โตกว่านั้น
11 12 13 14 15 การตัดสินของอันไหนควรปิด อันไหนควรเปิด
มันก็จะซับซ้อนขึ้น
คือไม่อยากให้มองว่าการปิดกั้นเป็นเรื่องไม่ดีเสมอไป
เพราะการปิดกั้นที่เรามองว่ามันเลว มันแย่ แต่ในบางเงื่อนไข
หรือบางวัฒนธรรม คนอื่นก็อาจจะเห็นว่าเป็นเรื่องจำเป็นก็ได้...
(ส่วนจะปิดสำเร็จไหมอันนี้คงต้องว่ากันต่อไป)
Happiness only real when shared.
ผมไม่เถียงเรื่องของความเชื่อ และผมไม่มีปัญหาเรื่องการคิดต่าง
แต่ประเด็นที่ผมยกมาคือ fallacy หรือ เหตุผลวิบัติ เป็นการใช้เหตุผลอย่างไม่เหมาะสมจะนำไปสู่ข้อสรุปที่ผิดพลาด นำไปสู่คำตอบที่ไม่สมเหตุสมผล หรือคำตอบที่ได้มาโดยมิชอบ (กึ่งบังคับให้ความเห็นอีกฝ่ายยอมจำนน)
*Fallacy of accident – ละทิ้งข้อยกเว้น
ดังที่กล่าวไปแล้ว คือ ทุกคนเข้าใจกันดีอยู่แล้วเรื่องการดูแลผู้เยาว์
และเพิ่มอีกหนึ่งเหตุผลวิบัติ
*Fallacy of questionable analogy – การเปรียบเทียบอย่างไม่เหมาะสม
คือ
ถ้าทุกคนสนับสนุนการบังคับไม่ให้เด้กดูหนังโป๊แล้ว
ดังนั้นควรสนับสนุนการที่ซาอุบังคับประชาชนไม่ให้ดู facebook
อืม.. ประเด็นคือผมไม่ได้บอกว่า
"ถ้าทุกคนสนับสนุนการบังคับไม่ให้เด้กดูหนังโป๊แล้ว
ดังนั้นควรสนับสนุนการที่ซาอุบังคับประชาชนไม่ให้ดู facebook" นะครับ
แต่ผมมีปัญหากับการใช้เหตุผลของบางคนต่างหากที่ว่า
(1)"การปิดกั้นเป็นสิ่งไม่ดี ดังนั้นเราควรต่อต้านการที่ซาอุฯ ปิดกั้น ประชาชนไม่ให้ดู facebook"
ซึ่ง ผมว่าเป็น Fallacy of accident – ละทิ้งข้อยกเว้น เหมือนกัน (โดยเฉพาะเรื่องศาสนา)
ผมก็เลย ประชด!!!!!!!!
โดยใช้ Fallacy of accident อีกอันมาเทียบว่า
(2)"การปิดกั้นเป็นสิ่งไม่ดี ดังนั้นเราควรต่อต้านการปิดกั้นเด็กจากสื่อลามก"
ซึ่ง เป็น Fallacy of accident – ละทิ้งข้อยกเว้น อีกอันมาเทียบ เพื่อจะให้เห็นว่า (1) นั้นมัน
เป็น Fallacy เหมือนกันนะ
ส่วน (2) นั่นตั้งใจให้เป็น Fallacy อยู่แล้วครับ เพราะจะประชด แต่มันคงไม่เวิร์กจริง ๆ
พาลเครียดกันไปใหญ่ ยังไงก็ขออภัยด้วย
Happiness only real when shared.
การเชื่อว่า ปิดแล้วจะทำให้วัฒนธรรมเดิมยังคงอยู่ เป็นแค่ความเชื่อที่ไม่มีหลักฐานรองรับครับ
เราจะปิดหูปิดตาคนไปได้นานแค่ไหน
ผมไม่เคยเห็นการอนุรักษ์วัฒนธรรมแบบปิดหูปิดตาประสบความสำเร็จได้
มีแต่ว่า พอถึงเวลาที่ปิดไม่ไหว วัฒนธรรมเดิมๆก็โดนเหยียดหยามว่าโบราณ ไร้ค่า ไม่ทันโลก แถมยังบีบบังคับ น่าอึดอัด ควรทำลายทิ้ง
เราควรจะบีบบังคับให้คนนับล้านที่แตกต่างกัน ต้องมาทำอะไรเหมือนๆกัน ในกรอบเดียวกัน
จะทำให้คนโหยหาอิสรภาพได้แค่ไหน จะอดทนกันได้นานแค่ไหน
ความคิดคับแคบแบบนี้รังแต่จะเร่งให้วัฒนธรรมทำลายตัวเอง
มันเป็นการยืดเวลาให้วัฒนธรรมยังคงอยู่ครับ ให้มีโอกาสได้ปรับตัวหรือหาแนวทางป้องกันได้ ถ้าจะให้รณรงค์เพื่อให้รู้สึกลึกซึ้งและหวงแหนผมว่าเหมือนตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ ไม่มีประเทศไหนที่จะมีเม็ดเงินมหาศาลที่จะทุ่มเทได้ขนาดนั้น ในขณะที่คนที่จะรุกล้ำเยอะเหลือเกิน แค่คนละนิดคนละหน่อยจากหลายๆ ประเทศ หลายๆ บริษัท แค่นี้เงินทุนก็สู้เขาไม่ไหวละครับ ถ้าจะทำได้คงต้องแบบจีนนั่นแหละ ปิดให้หมด
ความเชื่อเป็นสิ่งดีครับ ทำให้มนุษย์เกินความกลัวหรือบูชา ยกตัวอย่างพญานาคแม่น้ำโขง เมื่อก่อนเชื่อว่าที่แห่งนั้นศึกดิ์สิทธิ์มีเจ้าที่คุ้มครองอยู่ วันหนึ่งมีฝรั่งสอดรู้ไปพิสูจน์ ปรากฏว่าเป็นสัตว์น้ำชนิดหนึ่ง พอคนรู้เข้าที่นั้นถูกมนุษย์ล่าเอาไปทำอาหารจนหมดเกลี้ยงสูญพันธุ์ หรือการพิสูจน์ว่าพระเจ้ามีอยู่จริงหรือไม่ การที่คนเชื่อแบบนี้ก็ดีครับ ทำให้คนรู้จักเกรงกลัวและละอายต่อบาป อาชญากรรมต่างๆ จะได้ไม่มากมายไปกว่านี้ ทุกวันนี้หลายๆ ประเทศมีปัญหากันมากเพราะความเชื่อเหล่านี้มันหายไป โดยเฉพาะความเชื่อเกี่ยวกับศีลธรรม การปิดก็เพื่อทุกคน ครับ ถ้ามันมีผลกระทบทางลบทุกคนโดนหมด อย่ามองแค่ว่านั่นคือเสรี
ไม่ลองมองมุมกลับดูบ้างล่ะครับ ว่า เพราะเอาความกลัวมาใช้ข่มคน หลอกลวง ลวงโลกไปวันๆ พอถึงเวลาความจริงปรากฏ มันถึงได้เละแบบนี้
เมื่อรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองกลัวมาตลอดมันคือเรื่องลวงโลก สิ่งยึดเหนี่ยวหายไป เท่ากับประเพณีคำสอนทั้งหมดก็พังทลาย
และก็จะไม่มีใครนับถืออีกต่อไป
ไม่ลองมองมุมกลับดูมั่งล่ะครับว่า ที่มัันมีปัญหาทุกวันนี้ ไม่ใช่เพราะคนไม่เชื่อพระเจ้า แต่เพราะคนที่เชื่อพระเจ้า ที่เป็นรุ่นเก่า เอาแต่ยึดติดกับโลกทัศน์เดิมๆ พยายามเอาสิ่งที่ตัวเองหาเหตุผลไม่ได้มายัดเยียดให้คนที่ต้องการเหตุผล
ผมคือคนหนึ่งที่ต้องการเหตุผล ความเชื่อบีบบังคับผมไม่ได้
ไม่ลองมองมุมกลับดูบ้างล่ะครับ ว่าเราจะปิดมันไปได้นานแค่ไหน เราจะปิดได้จริงแค่ไหน
ถึงเวลาที่ไม่สามารถปิดได้จะเกิดอะไรขึ้น
ถ้าคิดแค่ว่า หลอกให้คนเชื่อ แล้วผลออกมาดีก็ดีแล้ว
มันจะต่างอะไรกับการซุกปัญหาไว้ใต้พรม
ผมเคยเป็นคนในศาสนาพุทธ แม้ทุกวันนี้จะเลิกเป็นแล้วแต่ผมก็ยังนับถือคำสอนศาสนาพุทธ
ศาสนาพุทธสอนให้เราไม่ต้องกลัวอะไรนอกจากบาปและผลของบาป ไม่ต้องกลัวเทพ ไม่ต้องกลัวนรก ไม่ต้องกลัวผีสาง
เป็นคนดีเพื่อตัวเราเอง และจะทำดีแก่คนอื่น จะหวังผลตอบแทนหรือไม่ มันก็เพื่อตัวเราเอง
ศาสนาพุทธสอนผมว่า จงอย่าเชื่อ จงคิด จงสงสัย จงเข้าใจ อย่าได้ศรัทธา
ศาสนาพุทธสอนผมว่า ความลับไม่มีในโลก
ผมเห็นว่า การที่คุณเชื่อว่า "ทุกวันนี้หลายๆ ประเทศมีปัญหากันมากเพราะความเชื่อเหล่านี้มันหายไป"
เป็นความเชื่อที่ไม่ได้มีเหตุผลรองรับครับ
แต่ผมคิดว่าคุณคงไม่ใส่ใจ เพราะมุมมองของคุณคงเป็นว่า แค่มีความเชื่อความศรัทธาก็พอ ไม่ต้องใช้เหตุผลก็ได้
อย่างที่คุณพอใจให้คนอื่นอยู่กับความเชื่องมงาย ถ้าทำให้สังคมสงบสุขดี
ส่วนคนอย่างกาลิเลโอจะโดนเผาโดนขังไปอีกกี่คน ก็คงจะให้ช่างหัวมัน
ผมว่ามันแล้วแต่วัฒนธรรมของแต่ละประเทศนะครับ ถ้าใครมาดูหมิ่นสถาบันแรง ๆ แบบ นปช USA เราคงไม่พอใจ
+1
มา Like รูปลิงอย่างที่สุด
เอาตรงๆ แบบไม่เกรงใจนะครับ ..แลดูมนุษย์หลายคนก็ดูพอใจที่จะอยากเป็นลิงนะ แถมชอบที่จะให้คนอื่นๆ เป็นไปด้วยกันด้วย
ทุกวันนี้ผมพยายามมองว่าโลกมัน Globalization คือโลกควรจะกลมกลืนกันเป็นหนึ่งเดียวกัน เพราะมนุษย์ทุกชาติก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน ควรจะแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม แลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน ตะวันตกแลกเปลี่ยนตะวันออก ตะวันออกแลกเปลี่ยนตะวันตก อะไรที่พัฒนากว่าก็เอามาปรับใช้ มากกว่าจะมา Conservative สุดโต่ง ตั้งแง่กับตะวันตกกลัวโดนครอบงำ กลัวจนสุดท้ายก็ล้าหลัง ไม่ทันโลกที่เขาจะกลมกลืนกัน ปิดหูปิดตาอยู่ในกะลาเท่านั้นไป
แต่... เหตุผลข้างบนอาจจะดูดีไปถ้าจะยกมาอ้างกับการกระทำเหล่านี้ จริงๆ การปิดกั้นเหล่านี้มันไม่มีอะไรมาก นอกจาก ...ความมั่นคงของบุคคลกลุ่มหนึ่ง อันนี้หมายถึงชนชั้นปกครองที่ซาอุนะครับ เขาอยู่ได้เพราะศาสนา
+100 ครับ แค่คงได้แค่จินตนาการถึงโลกอันศิวิลัยแบบนั้น
Imagine
Jusci - Google Plus - Twitter
ผมว่าไม่ใช่แค่คนกลุ่มหนึ่งมั๊งครับ แต่มันมีผลกระทบต่อคนทั้งประเทศ ผมเชื่อส่วนตัวว่าถ้าคนเรายังเชื่อเรื่องศาสนาและศีลธรรมคนก็จะอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ความเชื่อเรื่องศีลธรรมก็เหมือนกฏหมายชนิดหนึ่งที่บัญญัติไว้ เพื่อให้การปกครองหรือความเป็นอยู่ไปในทิศทางเดียวกัน หรืออีกฝ่ายที่หลุดจากศีลธรรมไประรานกลุ่มที่มีศีลธรรม
คนที่ไม่ได้ยึดถือ "ศีลธรรมแบบทางการ" อย่างที่รัฐต้องการให้ยึดถือ ก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นคนไประรานคนอื่นเสมอไปนี่ครับ
pittaya.com
ศีลธรรมที่คนกลุ่มหนึ่งยึดถือ อาจจะไม่ตรงกับอีกกลุ่มก็ได้นะครับ
ถึงตอนนั้นใครจะเปนฝ่ายที่หลุดไปจากศีลธรรม?
แล้วศีลธรรมของทางการซาอุ เปนศีลธรรมที่ถูกต้องดีรึเปล่า?
ผู้หญิงที่ถูกข่มขืน ในกฏหมายอิสลามประเทศถือว่าผิดจารีต ต้องลงโทษฝ่ายหญิง เปนศีลธรรมของเขา
แล้วมันตรงกับศีลธรรมของเราใหม?
ตอนนั้นที่กระทรวง ICT ปิดเว็บ Youtube ทั้งเว็บ มีใครเห็นด้วยกับกระทรวง ICT บ้าง/ ผมไม่เห็นด้วย ผมเห็นว่าหน้าไหนมีปัญหาก็ปิดหน้านั้น
2-3 วันก่อนมีข่าวทหารอากาศคนหนึ่งถูกจับกุมเพราะโพสข้อความหมิ่นเบื้องสูงทาง Facebook และไม่ได้เป็นรายแรก ก่อนหน้านี้มีอีกหลายราย ทั้งที่จับได้และจับไม่ได้ ถ้าใช้ตรรกะเดียวกับซาอุ ICT ควรบล๊อกเว็บ Facebook ทั้งเว็บหรือไม่
ป.ล.ปัจจุบัน ICT ก็ไล่บล๊อก Facebook เป็นปกติอยู่แล้ว แต่ไม่ได้บล๊อกทั้งเว็บ
+0.1
ผมเห็นด้วย
แต่ผมก็ไม่ค่อยเห็นด้วยกับสิ่งที่ไอซีทีบล็อกซะเท่าไหร่
ผมมองอีกมุมหนึ่งว่า ไอซีทีไม่รู้จะจัดการเวบนั้นได้อย่างไรในเมื่อได้ขอร้องไปทางผู้บริหารให้เอาออกแล้ว แต่ไม่ได้รับความร่วมมือจึงได้ตอบโต้ด้วยไม้แข็งเพื่อให้รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมันรุนแรงเกินที่จะให้อภัยได้ และให้รู้ว่าถึงแม้ไทยเป็นประเทศเล็กๆ ไม่มีอำนาจเหมือนประเทศอื่นก็ควรจะให้เกียรติกันบ้าง ทีประเทศจีนยังยอมได้เลย บวกกับความฉลาดของเจ้ากระทรวงยังไม่รู้จักเทคโนโลยีและวิธีการดีพอ ถ้ารู้จักอาจไม่ต้องร้องขอยูทูปในครั้งแรกก็เป็นได้
กรณีของ fb หลังจากโดนด่าจนต้องขวนขวายหาความรู้มาได้ระดับหนึ่ง จึงรู้จักบล๊อคเป็นส่วนๆ ที่ทำได้เพราะเริ่มฉลาดขึ้น
ดังนั้นผมจึงมองการกระทำนี้แบบเข้าใจตามวาระที่เกิดขึ้น
ปล.ตามข่าวก็บอกว่าปิดชั่วคราว ขอเวลาศึกษาให้ฉลาดสักหน่อยก่อน
ปิดได้ปิดไป ยิ่งปิด คนก็ยิ่งอยากออก ออกจาคุกได้เมื่อไหร่ ระวังจะรับการเปลี่ยนแปลงไม่ทัน . . .
ผมอ่าน comment แล้วชอบหลายความเห็นนะ
ทำให้นึกถึง iPhone กับ android สุดท้ายใครจะอยู่ใครจะไป ...
ชอบภาพลิง น่ารักดี เข้าใจคิด
ไม่มีประโยชน์ที่จะพูดถึงเสรีภาพถ้าประชาชนยังท้องหิว
บางทีประชาชนที่ท้องหิว ก็ไม่มีเสรีภาพที่จะพูดว่าตนท้องหิว (และสาเหตุที่ทำให้ท้องหิว หนทางที่จะแก้ปัญหาท้องหิว ฯลฯ) นะครับ
ไม่มีขนมปังก็ไปกินเค้กสิ!
pittaya.com
การมอบดาบให้กับคนที่มีความสามารถในการใช้ดาบไม่เพียงพอดาบนั้นก็ทำร้ายตนเองได้ แต่สุดท้ายแล้วการเปลี่ยนแปลงจะต้องเกิดขึ้น จะเลือกให้คนยุคสมัยหนึ่งเป็นผู้ทนรับผลอย่างแรงเพื่อให้มีประวัติศาสตร์เพียงพอในเวลาอันสั้น หรือจะค่อยๆเปลี่ยนแปลงไป
ศีล คือข้อปฏิบัติตนขั้นพื้นฐานในทางพระพุทธศาสนา เพื่อควบคุมความประพฤติทางกายและวาจาให้ตั้งอยู่ในความดีงามมีความปกติสุข เพื่อประโยชน์ขั้นพื้นฐานคือความสุขและไม่มีการเบียดเบียนกันในสังคม
ประโยชน์ของศีลในขั้นพื้นฐานคือทำให้กาย วาจา ใจ สงบไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ทำให้สามารถที่จะทำให้จิตสงบได้ง่ายในการทำสมาธิ ในระดับของบรรพชิต ศีลจะมีจำนวนมาก เพื่อกำกับให้พระภิกษุสงฆ์สามเณรสามารถครองตนในสมณภาวะได้อย่างสมบูรณ์ และเอื้อต่อการประพฤติพรหมจรรย์ในขั้นสูงต่อไปได้
ธรรม หมายถีง สภาพที่ทรงไว้, ธรรมดา, ธรรมชาติ, สภาวธรรม, สัจจธรรม, ความจริง; เหตุ, ต้นเหตุ; สิ่ง, ปรากฏการณ์, ธรรมารมณ์, สิ่งที่ใจคิด; คุณธรรม,ความดี, ความถูกต้อง, ความประพฤติชอบ; หลักการ, แบบแผน, ธรรมเนียม, หน้าที่; ความชอบ, ความยุติธรรม; พระธรรม, ท่านพุทธทาสภิกขุ ให้คำนิยามไว้ในหนังสือของท่านว่า ธรรม มีความหมายที่ยิ่งใหญ่ ไม่สามารถหาคำพูดที่เป็นภาษาของมนุษย์มานิยามได้ แต่ขอนิยามให้เข้าใจพอสังเขปไว้ด้วยความว่า หน้าที่ เพราะไม่มีสิ่งใดในสากลโลกที่ไม่มีหน้าที่
ศีลธรรมในแต่ละศาศนาน่าจะเหมือนกัน แล้วคิดว่าควรรักษาไว้หรือไม่
ศีลธรรมในแต่ละศาสนาไม่ได้เหมือนกันเสมอไปครับ
แม้แต่หลักของศีลและธรรมก็ต่างกัน
ศีลธรรมในศาสนาคริสต์คือการละเมิดพระเจ้า ทำสิ่งผิดธรรมชาติ มีความผิด ต้องโดนลงโทษแล้วต้องตกนรก
ศีลธรรมในศาสนาพุทธคือ เมื่อกระทำไม่ดี นั่นคือไม่ดีต่อเราเอง เปนกรรมของแต่ละคน
ศีละ แปลว่าปกติ ในศาสนาพุทธหมายความถึงเพียงมนุษย์
การทำผิดศีลก็ใช่ว่าจะมีบทลงโทษ พระพุทธองค์แค่เพียงสอนว่า ศีละ คือสิ่งที่เปนปกติมนุษย์ การขาดจากศีลคือเสียความเป็นมนุษย์ และเปนการสร้างกรรม
ตราบใดที่ยังมีกรรมก็ต้องไปเวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ และกรรมไม่ดีก็ทำให้ไปเกิดในภพภูมิที่ไม่ดี
ธรรม ก็มีความหมายตรงตัว หมายถึงสิ่งที่เปนธรรมดา การไม่ทำก็ไม่เป็นสิ่งผิด แค่ผิดธรรมดามนุษย์
มนุษย์มีเมตตา มีความเข้าใจคนอื่น ทำงาน ดูแลครอบครัว มีสติ เปนเรื่องธรรมดามนุษย์
ศีลธรรมในแต่ละศาสนาไม่เหมือนกัน และไม่ได้เข้มงวดเท่ากัน
การรักษาศีลธรรมของแต่ละศาสนาก็ต่างกัน
การที่จะรักษาหรือไม่ก็เปนเรื่องของแต่ละคน บางคนก็ไม่มีศาสนา
บางคนก็มีศาสนาที่ความเชื่อต่างกับศาสนาอื่นมาก
เอาแค่เรื่องเปนเกย์
ศาสนาพุทธไม่เคยมีบัญญัติหรือสั่งสอนนะครับ ว่าเรื่องแบบนี้ผิดธรรมชาติ เปนบาป
ศาสนาพุทธเพียงสอนว่า ไม่แย่งของคนอื่น ไม่ล่วงละเมิดผู้ที่มีเจ้าของหรือผู้ปกครอง
แต่ศาสนาอิสลาม มีโทษถึงประหาร
นี่มันศีลธรรมที่เหมือนใคร?
ผมดูเป็นกรณีกรณีไป กรณี ซาอุควรเปิดมากกว่านี้
เปิดแล้วไม่ได้มีผลเสียหายอะไรใหญ่โต คนไม่ตาย สังคมก็ยังดำเนินต่อไป
กรณีจีนคงต้องปล่อยให้ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไป
กรณีไทยควรเปิดเดี๋ยวนี้ เพราะมีแต่ผลดี
เรามีศักยภาพสูงแต่ถูกล่ามไว้ด้วยการปิดกั้นบางอย่าง
บางคนก็ชอบดูการเปลียนแปลงแบบดราม่า เหตุการณ์ใหญ่ ๆ
ระเบิดปรมาณู ถล่มกำแพงเบอร์ลิน
โลกเรามีการเปลี่ยนแปลงแบบไม่ใช่เหตุการณ์ที่เป็นบทใหญ่ ๆ สั้น ๆแบบฉับพลัน
มันมีการเปลี่ยนแปลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปอยู่มาก และมันมักส่งผลที่ลึกล้ำกว่า
และส่วนมากมักจะมีต้นทุนน้อยกว่ามาก
การที่เราเติบโตมากับวัฒนธรรมภาพยนต์ กับเรื่องเล่านิทานปรัมปรา และยึดติดกับตรงนั้นมักทำให้
เราคิดสั้น
เกี่ยวกับการปกครอง โลกเรากำลังมีเครื่องมือใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นอีกมาก
อย่าไปยึดติดกับรูปแบบเดิม ๆ