ออราเคิลเผยแผนการพัฒนา Java Enterprise Edition (หรือที่เราเรียกกันว่า Java EE) ทั้งรุ่น 7 ในปี 2012 และรุ่น 8 ในปี 2013/2014
Java EE 7 จะปรับปรุงเรื่อง Contexts and Dependency Injection (CDI) ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่ใช้เชื่อมข้อมูลองค์กรเข้ากับกลุ่มเมฆ และจะเปลี่ยนระบบแคชใหม่จากเดิมที่มี JCache ซึ่งเป็นมาตรฐานที่เสนอโดยออราเคิลมานานแล้วแต่ไม่ประสบความสำเร็จนัก กำหนดออกคือไตรมาสที่สามของปี 2012
Java EE 8 จะออกตามหลัง Java EE 7 ประมาณหนึ่งปี จะพัฒนาเพื่อรองรับ cloud มากขึ้น โดยเพิ่มฟีเจอร์ NoSQL เข้ามาสำหรับการประมวลผลขนาดใหญ่ แนวทางการพัฒนา Java EE 8 จะผูกกับ Java SE 8 ที่จะออกก่อนหน้านั้น (ประมาณเดือนตุลาคม 2012) ซึ่งปรับปรุงโครงสร้างให้แยกส่วน (modularization) มากขึ้น
สุดท้าย ออราเคิลอาจปรับช่วงเวลา, รูปแบบ, สถานที่ของงานประชุมประจำปี JavaOne หรือไม่ก็อาจยกเลิกงานไปเลย เหตุเพราะงาน JavaOne 2010 ซึ่งจัดพร้อมกับ Oracle OpenWorld (และต้องยอมยกห้องประชุม Moscone Center ให้กับงาน OpenWorld) มีปัญหามากในเรื่องสถานที่และการขนส่ง
ที่มา - The Register
Comments
ต้นฉบับก็ขยายความคลาดไปหน่อย CDI != Cloud นะ
CDI มันคือแนวคิดที่สามารถให้นักพัฒนาสามารถเชื่อมโยง object ต่างๆ (ผู้ให้/รับบริการ) ได้ในตอนหลังจากช่วงโค้ดผ่านไปแล้ว โดยที่โค้ดฝั่งผู้เรียกใช้/ผู้รับบริการไม่ต้องเขียนโค้ดเพื่อ binding ด้วย ส่วนเรื่องการ binding service ตัว container จะเป็นคนจัดการให้
ทำให้เราสามารถใช้โค้ดเดียวกันเรียกใช้บริการโดยไม่ต้องสนใจว่าไม่ว่ามันเป็น method ธรรมดา, mockup โค้ดสำหรับการทดสอบ, เรียกใช้งานบริการผ่านทาง EJB, หรือจะเป็น RMI, แม้จะเป็น Web Service/REST โดยไม่ต้องแก้โค้ดฝั่งเรียกใช้สักบรรทัด (โอเค binding configuration ต้องเปลี่ยนแน่ แต่วิธีการได้มาซึ่ง service พวกนี้ โค้ดฝั่งผู้เรียกไม่ต้องสนใจ แต่ะจะมาอยู่ในส่วน binding configuration)
ข้อดี ทดสอบง่ายขึ้น, สามารถเพิ่ม/ประยุกต์โค้ดในการใช้งานในอนาคตได้
ตัวอย่างที่ดีคือ Spring framework โดยเฉพาะส่วน Core นั่นแหล่ะครับ
แยก JavaOne ออกมาก็ดีนะ
แฟนพันธุ์แท้สตีฟจ็อบส์ | MacThai.com
มาเร็ว เครมเร็ว ศึกษาไม่ทัน
ก็ไม่หรอกนะครับ รายใหญ่ๆก็ยังอยู่กันที่ Java EE 5 ทั้ง IBM และ Oracle แม้แต่ JBoss ก็ยังไม่ certified Java EE 6 เลย