แอปเปิลเริ่มปล่อย OS X 10.7 Developer Preview หรือที่รู้จักกันในชื่อ Lion ให้กับนักพัฒนาโปรแกรมแล้ว โดยเพิ่มความสามารถใหม่ๆ หลายอย่างเพิ่มเติมจากที่เคยได้สาธิตให้ดูในงานแถลงข่าวเมื่อปีก่อน เช่น Versions, Auto Save, AirDrop และการปรับการใช้งานในหลายโปรแกรม เราลองมาดูกันว่าเวอร์ชันใหม่ของ OS X นี้มีอะไรที่น่าสนใจบ้าง
:: ทำทุกอย่างได้เหมือนเดิม ในแนวทางที่ต่างออกไป ::
ถ้าเปรียบเทียบ OS X ในแต่ละรุ่นแล้ว Leopard เต็มไปด้วยฟีเจอร์ใหม่ๆ ในขณะที่ Snow Leopard เป็นการปรับแก้โค้ดให้ทำงานเร็วขึ้น เสถียรขึ้น และปรับโครงสร้างให้พร้อมกับการทำงานในอนาคต อย่างระบบ 64 bit
ประเด็นสำคัญสำหรับ OS X Lion คือ "เปลี่ยนแปลงการใช้งานระบบ" โดยปรับระบบปฏิบัติการให้เข้าใกล้กับ iOS ที่ใช้อยู่ใน iPhone และ iPad มากขึ้น หลายสิ่งหลายอย่างได้ผ่านการพิสูจน์มาแล้วว่าเป็นวิธีที่เหมาะสมกับระบบปฏิบัติการยุคใหม่ และเป็นมิตรกับผู้ใช้
เพียงแต่ในการทำงานรูปแบบใหม่นั้น เราก็ยังสามารถใช้งานในรูปแบบเดิมๆ ที่เราใช้กันอยู่ได้ เรายังทำงานโดยใช้แค่เมาส์กับคีย์บอร์ด, ลงโปรแกรมจาก DVD, ใช้ Photoshop แบบหลายหน้าต่างได้เหมือนเดิม เพียงแต่ Lion พยายามเสนอการใช้งานใหม่ๆ เข้ามาเท่านั้น
:: ติดตั้ง ::
OS X Lion - Developer Preview ใช้งานได้กับเครื่องแมค Intel Base ใช้เวลาติดตั้งประมาณ 40 นาที หลังจากที่ติดตั้งเรียบร้อยแล้วก็จะพบหน้า Welcome แบบเดียวกับ Snow Leopard
ขั้นตอนการ Setup เครื่องต่างจากเดิมเล็กน้อย มีหน้าจอให้เลือก Disk Encryption เพิ่มเข้ามา สำหรับใครที่ต้องการเข้ารหัสข้อมูลในฮาร์ดดิสก์
ติดตั้งเสร็จทุกอย่างก็ไม่ต่างจากเดิมมาก เปลี่ยนรูปฉากหลังจากเสือหิมะมาเป็นภูเขาไฟฟูจิ ส่วนไอคอนโปรแกรมมีเพิ่ม App Store, Launch Pad, FaceTime เข้ามา และ iChat หายไป แต่ยังเรียกใช้งานได้อยู่
เฉพาะตัวระบบปฏิบัติการกินเนื้อที่ไป 15GB เปิดเครื่องขึ้นมายังไม่ได้ทำอะไร กินแรมไปแล้ว 1.27 GB !! ไม่แน่ใจว่าตอนตัวจริงออกมาจะกินแรมน้อยลงรึเปล่า แต่เป็นไปได้ว่าขนาดแรมที่แนะนำสำหรับ Lion คือ 4GB เป็นอย่างน้อย ?
:: ค่าเริ่มต้นที่ต่างออกไป ::
สิ่งที่น่าสนใจคือแอปเปิลเปลี่ยนแปลงค่าเริ่มต้น (Default Setting) หลายอย่างไปจากเดิม ถึงแม้ว่าเราจะสามารถเข้าไปแก้ค่า setting เหล่านี้เองได้ แต่สำหรับผู้ใช้ทั่วไปแล้ว นี่คือสิ่งที่แอปเปิลอยากให้เป็น
สิ่งที่ต่างกันอย่างเห็นได้ชัดอย่างหนึ่งระหว่าง OS X กับ iOS คือการไม่มี Scroll Bar ไม่ว่าจะเป็นแนวตั้งหรือแนวนอน ข้อดีของการไม่มี Scroll Bar คือจะได้หน้า UI ที่เรียบง่ายดูสะอาดตามากขึ้น แต่ข้อเสียก็คือการลด Visibility ของการดูข้อมูลลง คือเราอาจจะไม่รู้ว่าสามารถเลื่อนจอขึ้นลง ซ้ายขวาได้
ใน Lion เราจะไม่เห็น Scroll Bar ในทุกโปรแกรม วิธีเลื่อนหน้าจอที่ดีที่สุดคือใช้ 2 นิ้ว Scroll ขึ้นลงซ้ายขวาบน Trackpad หรือ Magic Mouse ถึงแม้ว่าคนที่ใช้แมคส่วนใหญ่จะทราบวิธีนี้ และถ้าไม่ชอบเราก็เปลี่ยนค่า Setting ให้มี Scroll Bar โผล่ขึ้นมาได้ แต่การตั้งค่าเริ่มต้นเป็นแบบนี้ก็เสี่ยงต่อการทำให้ผู้ใช้สับสนอยู่เหมือนกัน
ใน OS X รุ่นก่อนๆ เวลาที่เราเปิดโปรแกรมขึ้นมา จะมีจุดสีขาวข้างใต้ไอคอนของโปรแกรม สำหรับ Lion จุดสีขาวนั้นจะหายไป
ในมุมมองผู้ใช้ทั่วไป ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรู้ว่าโปรแกรมไหนทำงานอยู่บ้าง และให้ความสนใจเพียงหน้าต่างของโปรแกรมที่ทำงานอยู่เท่านั้น ตัวอย่างที่ชัดเจนคือการทำงานบน iPhone และ iPad
เข้าใจว่าถ้า Lion พยายามจะลอกระบบใน iOS มาจริง โปรแกรมที่ถูกเปิดและไม่ได้ใช้งานเป็นเวลานาน อาจจะถูกปิดโดยอัตโนมัติเมื่อแรมไม่พอ แต่หลักการนี้จะทำได้ก็ต่อเมื่อทุกโปรแกรมทำระบบ Auto Save แล้ว
เมื่อเปิดเครื่องขึ้นมาแล้ว Widget ทุกตัวจะถูกโหลดขึ้นมาทันที ข้อดีคือทำให้เมื่อเราเข้าไปหน้า Dashboard ก็จะสามารถใช้งาน Widget ได้ทันทีไม่ต้องรอ ข้อเสียก็แน่นอนว่าเ้ปลืองแรม สำหรับคนที่ไม่ได้ใช้ Dashboard บ่อยๆ
เวลาที่ Shutdown หรือ Restart เครื่อง จะมีให้เลือกว่าจะให้จำโปรแกรมและหน้าต่างที่เปิดไว้ทั้งหมดรึเปล่า พอเปิดเครื่องกลับมาอีกครั้งทุกอย่างจะถูกเปิดให้เหมือนเดิมก่อนที่เราจะปิดเครื่อง พูดภาษาวินโดวส์มันคือ Hibernate นั่นเอง
ผมลองทดสอบเปิดค้างไว้ 7 โปรแกรม 13 หน้าต่าง พอปิด-เปิดเครื่องขึ้นมา ก็พบว่าใช้งานได้ดี โปรแกรมทุกตัวถูกเปิดขึ้นมาหลังจาก Login เข้าเครื่อง ตำแหน่งและขนาดของหน้าต่างก็ยังเท่าเดิม อยู่ตำแหน่งเดิมก่อนจะปิดเครื่อง
Resume ทำงานได้เร็วกว่า Hibernate บนวินโดวส์อยู่พอสมควร แต่ก็มีบั๊กเยอะเหมือนกัน ที่น่าสนใจคือ Lion ให้เราเลือกปิดเครื่องแบบ Resume เป็นค่า Default ซึ่งถ้ามันทำงานได้ไม่ดีก็น่าสยดสยองมาก (ลองนึกภาพเวลา Shutdown วินโดวส์ทุกครั้งเป็นแบบ Hibernate สิครับ)
:: Auto Save ::
น่าจะเป็นฟีเจอร์ที่น่าสนใจที่สุดใน Lion และเหนื่อยที่สุดสำหรับนักพัฒนาโปรแกรม โดยระบบ Auto Save ของแอปเปิลไม่ใช่การกดปุ่มเซฟให้เราอัตโนมัติ แต่เป็นการจัดเก็บเฉพาะส่วนที่ถูกแก้ไขในโปรแกรมเป็นระยะๆ ทำให้ไม่เปลืองเนื้อที่ฮาร์ดดิสก์ ซึ่งถ้าจะเปรียบเทียบง่ายๆ ก็คือการที่เราสามารถกด Undo และ Redo ได้ไม่รู้จบนั่นเอง
หลังจากที่โปรแกรมเซฟความเปลี่ยนแปลงอัตโนมัติแล้ว ก็มีระบบที่เรียกว่า Versions ให้เราย้อนกลับไปดูการเปลี่ยนแปลงในเอกสารได้อย่างอิสระ หน้าจอคล้ายกับ Time Machine
ถ้าว่ากันตามคอนเซ็ปต์แล้ว นี่ถือว่าเป็นสวรรค์ของผู้ใช้เลยทีเดียว ลองนึกภาพว่าเราสามารถย้อนกลับไปดูการแก้ไขต่างๆ ในการแต่งรูปภาพ ทำพรีเซ็นเทชั่น หรือตัดต่อวิดีโอได้ตลอดเวลา แต่งานหนักก็ตกไปอยู่กับนักพัฒนาโปรแกรมที่ต้องคิดเผื่อเรื่องนี้ด้วย
:: Internet Accounts ::
เป็นฟีเจอร์ที่เอามาจาก iOS อย่างชัดเจน คือใส่ User Account เพียงจุดเดียว แล้วนำค่าไปใช้ในโปรแกรมอื่นๆ เช่น Mail, iCal, iChat เท่าที่ลองใช้กับ Gmail ก็ดูทุกอย่างราบรื่นดี อ่านเมล์ได้ ดูตารางประชุม หรือคุย Google Talk ผ่าน iChat ได้เลย
ที่น่าสนใจอีกอย่างคือถ้าเรา Login Gmail ผ่าน Safari จะมีหน้าต่างขึ้นมาถามว่าจะให้ติดตั้ง Account นี้ลงใน Internet Account หรือเปล่า เป็นความใส่ใจในจุดเล็กๆ แต่ก็มีประโยชน์ดี
:: Mail 5 ::
หน้าตาเหมือน Mail บน iPad เรียบง่ายขึ้น, สะอาดตาขึ้น, ทำงานแบบเต็มหน้าจอได้, ย้าย Folder ต่างๆ มาอยู่ข้างบน, ลดจำนวนปุ่มลงเหลือไม่กี่ปุ่ม, ปรับปรุงหน้าตา Conversation ใหม่ (อธิบายยาก ลองดูรูปจะเข้าใจง่ายกว่า)
อีกส่วนที่ปรับปรุงอย่างชัดเจนคือปุ่มค้นหาทางขวาบนที่ทำงานเร็วขึ้นมาก
:: ส่วนอื่นๆ ที่น่าสนใจ ::
:: สรุป ::
:: อนาคตของ User Interface ::
เมื่อ 4 ปีที่แล้วในงาน D5 บิล เกตส์และสตีฟ จ็อบส์ได้ขึ้นไปให้สัมภาษณ์บนเวทีเดียวกัน ครั้งนั้นวอล์ต มอสเบิร์กถามความเห็นของทั้งสองคนเกี่ยวกับ User Interface ที่ควรจะเป็นในยุคหลังจากนี้อีก 5-6 ปี บิล เกตส์ให้ความเห็นว่ามันควรจะเป็น UI ในแบบ 3 มิติ ใช้การป้อนข้อมูลแบบเสียงหรือการสัมผัสบนอากาศ (มันคือ Kinect)
จ็อบส์ให้ความเห็นที่ต่างออกไป คือจ็อบส์ไม่คิดว่าสิ่งที่เราได้ใช้บนพีซีมาตลอดจะต้องเปลี่ยนแปลงอะไร โดยเปรียบเทียบว่าเรายังต้องการขับรถที่มี 4 ล้อ ไม่ใช่ 6 ล้อ เรายังต้องการหมุนพวงมาลัยกลมๆ ไม่ใช่ขับรถด้วยจอยสติ๊กส์ ที่สำคัญกว่าคือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในยุค post-PC devices (จ๊อบส์ใช้คำนี้ครั้งแรกเมื่อ 4 ปีก่อน) ว่าเราจะได้เรียนรู้อะไรจากมัน แล้วนำมันกลับมาใช้ในพีซีได้มากน้อยแค่ไหน (มันคือ iPhone -> iPad -> OS X Lion)
แน่นอนว่าเรายังสามารถลงโปรแกรมโดยซื้อแผ่น DVD มาจากร้านค้าได้ เรายังใช้เมาส์เลื่อน Scroll Bar ขึ้นลงได้เหมือนเดิม แต่ถ้าการมาของ App Store ทำให้วันนึง 80% ของผู้ใช้ ลงโปรแกรมผ่าน App Store กันหมด การมาของ Multi-Touch Trackpad กับ Magic Mouse ทำให้ไม่มีใครไปเลื่อน Scroll Bar กันแล้ว ก็เป็นไปได้ว่าสิ่งเดิมๆ ที่เคยมีมา อาจจะไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป
ตอนนี้อุปกรณ์แทบทุกชิ้นของแอปเปิลก็ทำงานบน iOS หมดแล้ว ทั้ง iPhone, iPad, iPod Touch, iPod Nano หรือแม้แต่ Apple TV หลายคนอาจจะมองว่าแอปเปิลมองข้ามแมคไปในช่วงหลัง แต่ถ้าดูจากความสามารถที่มีใน Lion ก็จะรู้สึกได้เลยว่า OS X และ iOS ขยับเข้ามาใกล้กันมากขึ้นทีละนิดๆ จนไม่แน่ว่าอนาคตอาจจะกลายเป็นระบบปฏิบัติการเดียวกันไปเลยก็ได้ .. ใครจะรู้
ที่มา - Khajochi Blog
Comments
Safari ที่ผมได้ลองน่าจะใช้ 2 นิ้วนะครับ
ชอบ Background จริงๆ :)
kurtumm
สามนิ้วก็ตั้งได้ครับ
คุณ khajochi เลือกใช้ Scroll แบบใหม่ (เลื่อนแบบไอโฟนบน 10.7) หรือกลับไปแบบเดิมครับ?
@TonsTweetings
แบบใหม่ครับ (ใช้เวลาทำให้ชิน 1 วันถ้วน)แต่ปรับนิดนึงคือมันมีให้เลือกแบบ scroll inverse คือเอาสองนิ้วเลื่อนลง = scroll ขึ้น อันนี้รับไม่ได้เท่าไหร่
แฟนพันธุ์แท้สตีฟจ็อบส์ | MacThai.com
อ่อ ผมพูดถึง Inverse Scrolling ครับ.. ผมว่าเป็นการตัดสินใจที่ค่อนข้างเสี่ยงมาก ๆ ของแอปเปิลเลย เพราะผมเองกว่าจะคุ้นนี่ 3-4 วันเต็ม ๆ
@TonsTweetings
ผมเปลี่ยนกลับไปใช้ 10.6.6 ก็เพราะเรื่องนี้เลยทีเดียวล่ะครับ(ตอนแรกไม่รู้ว่ามันเปลี่ยนได้) พอกลับมาแล้วกลายเป็นว่าติดแบบ 10.7 ซะงั้น 555
ชอบรีวิวนี้จัง อ่านแล้วเพลิน เขียนสนุกดีครับ
+1
ถ้าใช้กับ notebook Windows เปลี่ยน Hibernate ไปเป็น Sleep นานแล้วนะครับ(เห็นว่าใช้กับ Macbook Air เลยคิดว่าน่าจะเทียบ Resume กับ Sleep
Russia is just nazi who accuse the others for being nazi.
someone once said : ผมก็ด่าของผมอยู่นะ :)
ถ้าเอาละเอียดคือ Hybrid Sleep ครับ ก็คือมันคือ Hybernate + Sleep น่ะล่ะ
ซ้ำ
Russia is just nazi who accuse the others for being nazi.
someone once said : ผมก็ด่าของผมอยู่นะ :)
ไม่เคยใช้ Mac เลยอยากถามว่าปกติ Mac ใช้อะไรตอนไม่มี resumeครับ
My iOS apps
My blog
ส่วนตัวใช้ sleep เพราะมันไวมากๆ ไม่กินแบตเลยด้วย เด๋วนี้นานๆทีจะได้ shutdown ไม่ดีเอาซะเลย
ใช้ macbook แค่ปิดหน้าจอลงมา จบเลย ไวดีครับ
twitter.com/djnoly
ปกติพับหน้าจอลงเลย ไม่รู้ว่ามันเข้าไป mode อะไร
ครับอ่านในข่าวเห็นบอก resume คือ hibernate เลยสงสัยว่าปกติการพับจอของ mac คืออะไรถ้าเป็น sleep มันก็ต้องการไฟเลี้ยงตลอดหนะสิครับแล้วมันอยู่ได้นานไหมครับ
My iOS apps
My blog
พับจอทั้งวัน แบตแทบไม่ลดอ่ะครับ เปิดแล้วตื่นในทันที่ด้วยครับเจ๋งมาก
ชอบไฟสถาะนะอ่ะ เวลาสลีพ เหมือนคนหายใจ
พับหน้าจอคือ sleep ครับ ต้องการไฟเลี้ยงนิดหน่อย คนใช้แมคส่วนใหญ่จะไม่ชอบปิดเครื่อง ใช้วิธีพับจอเป็น sleep ตลอด คิดว่า sleep mode ในแมคกับในวินโดวส์น่าจะไม่ต่างกัน
ที่ผมเข้าใจ hibernate คือการเซฟข้อมูลในแรมลงฮาร์ดดิสก์แล้วปิดเครื่องไปเลย ไม่ต้องใช้ไฟครับ พอเปิดเครื่องมาทุกอย่างก็เหมือนตอนก่อนปิดครับ เลยคิดว่าน่าจะเหมือน resume ในแมค lion
แฟนพันธุ์แท้สตีฟจ็อบส์ | MacThai.com
ต่างกันนิดหน่อย ตามคอมเมนต์ผมด้านล่างครับ :P
Mac -> Sleep แล้วแอบ Hibernate ด้วยในตัว ถ้าไฟหมด เสียบปลั้กเปิดมาใหม่ก็เหมือนก่อน sleep
Windows -> Sleep แล้วถ้าแบตหมดหายเกลี้ยง ครับ
บล็อกของผม: http://sikachu.com
ตอนนี้บน windows vista และ 7 จะเพิ่มส่วนของ hybrid sleep เข้ามา เวลาที่พับจอลงเครื่องจะ sleep แต่ก็มีการบันทึกข้อมูลจากแรมลงฮาร์ดดิสก์ด้วย เผื่อกรณีไฟเลี้ยงหมด
sleep = ตื่นเร็ว (อ่านข้อมูลจากแรม) แต่ต้องใช้ไฟเลี้ยง
hibernate = ตื่นช้า (อ่านข้อมูลจาดฮาร์ดดิสก์) แต่ไม่ต้องใช้ไฟเลี้ยง
พับจอไปเลยทิ้งไว้ทั้งวัน จะลดอยู่ไม่เกิน 10% ครับ(ไม่เคยนับ) แต่โดยปกติแล้วในชีวิตประจำวัน ผมแค่พับจอตอนย้ายจากที่บ้านไปที่ทำงาน และตอนเอากลับ ดังนั้นก็แทบไม่กินแบตเลยครับ เพราะว่าเดินทางอย่างมากก็ 2 ชม.
ถ้าจำไม่ผิดจะลดประมาณชั่วโมงละ 1 %
พับจอคือ Safe Sleep ครับ คือว่าเป็นการ sleep แล้วก็เขียนข้อมูลใน RAM ลง HDD ด้วย ... ถ้าลองสังเกตเวลาพับฝาลงไปแล้วไฟมันยังไม่ดับ นั่นหล่ะครับคือมันกำลังเขียนลง HDD อยู่ ถ้าอยู่ดีๆ ไฟใน battery หมด ข้อมูลใน RAM ก็ไม่หายเพราะมันเก็บไว้แล้วครับ
ส่วน Resume ที่ยกมา คาดว่าเป็นการต่อยอด Safe Sleep อีกทีครับ คือแทนที่เขียนใส่ดิสก์เสร็จจะ Sleep ก็เป็น Halt เครื่องแทน ... ผมว่าตัวผมเองอยากได้ feature นี้ตั้งแต่ Bootcamp มาแล้วนะครับเนี่ย (เพราะเวลาปิดแล้วไปเปิด Windows กลับมาต้องเปิดโปรแกรมใหม่) กว่าจะได้เห็นต้องรอถึง Snow Leopard โอว ..
บล็อกของผม: http://sikachu.com
เข้ามาคอมเม้นท์ว่ารูป Wallpaper สวยดีครับ ^^
รูปดีฟอลต์วอลล์เปเปอร์อยากได้เป็นน้องแมวเหมียวมากกว่า ><
เขียนบทความได้ดีครับ ไม่หนัก ไม่น้ำ อ่านเพลินครับ +1
+1
+32
ต้องเพิ่มรูปประกอบสวยไปด้วย +1
มันเคยเป็นสิ่งเดียวกัน iOS based on Mac osx
มันแยกออกจากกันไป 4ปี และมันกำลังจะกลับมารวมกัน
เหมือนถ่านไฟเก่าเลย :D
เห็นด้วยตรง สรุปสุดท้าย ว่า iOS กับ OSX สักว่าอาจจะบรรจบกัน
ดูแล้ว iOS ยังมีของเล่นอีกเยอะ ยิ่ง ipad เนี่ย ความเป็น OSX ยิ่งเข้ามาเรื่อยๆ
ซ้ำครับ
สวยครับ Wallpaper นะ ^^
สะกดผิดครับ
ระบบพรีวิวให้ spotlight น่าใช้ดีจัง
แก้แล้วครับ ขอบคุณครับ :)
แฟนพันธุ์แท้สตีฟจ็อบส์ | MacThai.com
4 ปีที่แล้วใน D5!! ทำให้รู้ว่าบริษัทพวกนี้เขาวางนโยบายกันมาเป็นปีๆ จริงๆ
ไม่แสดงผลว่าโปรแกรมไหนเปิดอยู่
จะดีหรือ จะแย่เนี่ย
ipod , ipad , MAC+PC นี่น่าจะเป็นเรื่อง Resolution มังครับ
Scroll Bar ผมไม่ได้ใช้เลื่อนมานานแล้ว แต่ใช้ดูว่าตอนนี้เราอยู่ตรงไหน แล้วใน Lion จะดูยังไงละนี่
เวลา เราเลื่อนมันจะโผล่ขึ้นมา เหมือนใน iphone ครับ
Review ดีมากเลยครับ ทำให้ผมไม่อยากใช้ Lion เลย ขอบคุณ :)
ถ้าจะให้ MacOS เหมือน iOS มากขึ้น ต้องรอให้ Geohot มา Jailbreak อิอิอิ
มีทั้ง Cydia และ Installous พร้อม Source อื่นๆอีกมากมาย
จะโคตรเหมือนมาก
แต่ตอนนี้ Geohot ไม่รู้เป็นยังไงบ้าง ในใจลึกๆก็แอบเป็นกำลังใจให้อยู่นะครับ
ตัวผมเองได้แผ่นมาเหมือนกันครับ ... แต่เค้าให้เซ็น NDA ไว้หรือเปล่่าอ่ะครับ ? (ถ้าลง Blog หรืออะไรแบบนี้ได้จะได้เอามาเขียนถึงบ้างน่ะครับ)
ขอบคุณครับ สวัสดีครับ
จริง ๆ มีนะครับ ก่อนลง Code Redeem ไป ..
@TonsTweetings
ได้ลองใช้ Mission Control หรือยังครับ เห็นเป็นฟีเจอร์หลักเหมือนกัน
ลองแล้ว แต่ว่ายัง งงๆ อยู่
ลองแล้วครับ แต่รู้สึกไม่แปลกใหม่ก็เลยไม่ได้เขียนในบทความ
แฟนพันธุ์แท้สตีฟจ็อบส์ | MacThai.com
รีวิวเยี่ยมมากเลยครับ : )
SNSD :)
บทความดีมาก
อ่านสนุก อยากลุกมาคอมเม้นท์ เป็นกำลังใจ ;)
my blog
แย่มาก ไม่โพส link wallpaper แชร์ด่วนเลย
จัดให้ครับ
1920*1080 แต่ไม่ค่อยเหมือนผู้เขียนข่าวนะครับ พอถูไถให้ได้
และก็มี.. (แถมครับ อิอิ ตัวเพลงใหม่นี้กำลังจะออกเดือนหน้า ^0^)
Mr.Taxi1
Mr.Taxi2
ขอบคุณมากคับ
ในรูป แต่ละคน หน้าเหนื่อย ตาโหล กันทุกคนเลย
เขียนได้ดีครับ อ่านเพลินมาก และ Apple ยังมั่นคงในปรัชญาการทำงานของตัวเอง การสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้ ยังมี user อีกมากครับ ที่เขาไม่ได้ต้องการอะไรมากมาย ไม่ต้องการระบบที่ซับซ้อน และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ การมาของ iphone -> ipod คือคำตอบสำหรับ user เหล่านี้
รุ่นปัจจุบัน
alias hibernateon="sudo pmset -a hibernatemode 5"
เอาไปใส่ใน .bash_profile แล้ว
$ . ./bash_profile
$ hibernateon
password:
$
แล้วพับฝามันจะเป็น hibernate :)