ในไตรมาสที่ผ่านมา แอปเปิลได้มีเงินสดเพิ่มขึ้นมากว่า 6.1 พันล้านดอลลาร์ ทำให้แอปเปิลมีเงินสดเก็บไว้รวมแล้วทั้งหมดเกือบ 6.6 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยเงินสดจำนวนนี้มีมูลค่ามากกว่ามูลค่าในตลาดของโนเกีย, Research In Motion และ Motorola Mobility รวมกัน และนี่ก็มีค่าเท่ากับครึ่งหนึ่งของมูลค่าบริษัท (EV ไม่ใช่มูลค่าในตลาด) ของกูเกิล
โดยเงินสดจำนวนนี้มากพอที่จะทำให้ออฟฟิศ CFO ของแอปเปิลกลายเป็นสถาบันการลงทุนที่ใหญ่กว่าสถาบันอื่น ๆ ของโลก และหากแอปเปิลไม่มีรายได้แม้แต่น้อย แอปเปิลยังสามารถที่จะอยู่รอดด้วยการใช้เงินสดก้อนนี้เลี้ยงบริษัทไปเรื่อย ๆ (ในด้าน R&D และ SG&A) เป็นเวลากว่าเจ็ดปี หรือจนกว่ากลางปี 2018
หากมาดูจากการเติบโตของเงินสดที่แอปเปิลถือไว้ในบริษัท จะพบว่ายอดเงินจำนวนนี้เพิ่มขึ้นเกือบสิบเท่าในเวลาเพียงแค่หกปีกว่า (นับตั้งแต่ปี 2005) โดยจากจำนวนเงินสดทั้งหมดนี้ แอปเปิลเลือกที่จะถือเป็นเงินสดแท้ 19% ส่วนที่เหลือนั้นอยู่ในรูปของการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
ที่น่าตลกนิด ๆ คือนี่คือฐานะการเงินของบริษัทที่เกือบจะล้มละลายเมื่อ 15 ปีที่แล้ว
ที่มา - 9to5Mac
Comments
เพียงแค่หกปีกว่าครับ
ตรงที่มีแสง
OMG!
น่าสนใจ
สตีฟจ๊อบ ยอดคนจริงๆ
もういい
คนไทยก็ยอดผู้บริโภค
คนไทยที่เห็นเยอะๆ แค่ 2% เองนะ ตลาดยังโตได้อีกเยอะ
อยากรู้จัง ยุคหลัง ลุงจ๊อบ จะเป็นไงเนี่ย
จบแบบ 3 ก๊กครับ โจโฉโดนตระกูลสุมาฆ่าแล้วก็ครองราชเอง #ตึงโป๊ะ
ระวังสปอยสามก๊กนะครับ เผื่อคนที่ยังไม่เคยอ่าน
เยี่ยมครับ ขอยืมคำพูดเพื่อนผมมาหน่อย
"สงครามยังไม่จบ อย่าเพิ่งนับศพทหาร"
บทความนี้ชี้ให้เห็นคือ ธุรกิจ รวมถึงชีวิตคนเรา มีขึ้น มีลงครับ ดูอย่าง Apple หรือ Steve เองเค้าก็เคยเรียกได้ว่าเคยเสียอะไรไปหลายอย่าง ทั้งเคยโดนไล่ออกจากบริษัทตัวเองมาแล้ว แต่ด้วยความพยายามของเขา การไม่ยอมแพ้กับชะตา เอาความสามารถเข้าสู้ จนมันพิสูจน์อะไรออกมาจากความสามารถของเขา ด้วยหลายๆสิ่งครับ
ขออ้างอิงไปสู้ นักลงทุนผู้ประสบความสำเร็จที่ชื่อ Warren_Buffett เขาเป้นเจ้าของบริษัทสายการบินเจ๊ทส่วนตัว และเป็นบุคคลที่รวยที่สุดในโลก เค้าเคยกล่าวเอาไว้ว่า ตอนที่เค้ายังเด็กและจน เค้าเลือกไม่ได้ เค้าต้องใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย ทานอาหารธรรมดา อยู่บ้านเล๊กๆ และ วันนี้เค้ากลายเป้น คนที่รวยที่สุดในโลก วันนี้เค้าเลือกได้แล้ว ถ้าเค้าจะต้องการอะไรก็ตาม แต่สิ่งที่เค้าเลือก คือยังคงเลือกที่จะใช้ชีวิต เรียบง่าย ทานอาหารธรรมดา และอยู่บ้านเล๊กๆที่อบอุ่นเหมือนคนชั้นกลางทั่วไป
อยากให้คนไทย ที่กำลังท้อแท้หรือกำลังค้นหาตัวตนของตัวเอง ได้เอาเป้นตัวอย่างครับ และความเป้นคนรวย ขายของได้เยอะ ไม่ได้หมายความว่า เราต้องใช้เงินเยอะฟุ่มเฟือย มีบ้านหลังใหญ่ๆมีรถเฟอร์รารี่ครับ
เงินสดนี่แหล่ะครับ คือสิ่งที่แสดงถึงความมั่งคั่งเป็นจริงที่สุด
+1 สำหรับให้กำลังใจคนท้อแท้
ขอบคุณสำหรับโพสต์ดีๆ ครับ
ขอบคุณครับ :)
กด Like ให้เลยครับ ให้ข้อคิดดีมาก ๆ
ครึ่งนึงของ Google นี่ไม่น่าจะจริง
ไม่จริงเท่าไหร่ครับ แต่ก็เกือบๆเลย
Mkt. Cap หรือมูลค่าตลาดของ Google อยู่ที่ 171.31 Billions
ขณะที่ ปริมาณเงินสด+เงินลงทุนระยะสั้น+เงินลงทุนระยะยาว ณ สิ้นเดือนมีนาคมของ Apple ก็อยู่ราว 65-66 Billions ตามข่าวครับ
เทียบกันแล้วรายการเงินสดบวกเงินลงทุนของ Google ตอนนี้มีราว 37 Billions อันนี้ก็ห่างกันระดับเท่าตัวเช่นกัน
ราคาหุ้นยังเป็นแค่มายา (เพราะเป็นราคาที่ตลาดประเมินให้ ไม่มีการรับรู้กันจริงๆ) แต่เงินสดเนี่ยของจริง...
ไม่เห็นจะ "เกือบๆ" ตรงไหนเลยครับ
Mkt CAP google 171
ส่วนเงินสด Apple 66
66/171 = 38.6%
50-38.6 = 11.4% นี่ไม่น่าเกือบเลยนะครับ
ปล. ผมคำนวนตามปกติอะนะครับไม่ได้มีความรู้เรื่องทางการเงินหรอก
EV ไม่ใช่ market cap ครับ (ผมอธิบายไม่เคลียร์เอง)
@TonsTweetings
Market Cap = ราคาหุ้นในตลาด x จำนวนหุ้นทั้งหมด ครับ
ส่วน EV ในข่าวน่าจะเป็น Equity Book Value
Equity Book Value = Par Value +Paid in Capital + Retain Earning+Others
หรือพวกค่า PB หรือ Price / Book นั่นก็คือราคาในตลาดเทียบกับ มูลค่าจริงๆ ของหุ้นอาจจะพอบอกได้ครับว่าสัดส่วนราคาจริง มีสัดส่วนเป็นกี่เท่า ของราคาในบัญชี ณ ปัจจุบัน
เงินก็เยอะแล้ว ทำสินค้าให้ถูกกว่านี้หน่อยสิ ฮาาาาาาาาาาาาา
ผมว่าคนซวยคือคนที่รับหุ้นไปไม้หลังๆนะ ดูอย่าง nokia , nintendo สิเมื่อก่อนเคยคาดหวังกันขนาดไหน บ.เกี่ยวกับเทคโนโลยีเนี่ยมันไม่ยั่งยืนจริงๆ
บริษัทเขาทำได้ถูกคับเลือกถือเป็นเงินสดทั้งแท้ ทั้งเทียม แม้ราคาหุ้นไม่สูง(เมือเทียบกับหุ้นระดับเดียวกัน)แต่ฐานทางการเงินมีความมั่งคงสูงมาก
ส่วนตัวผมคิดว่าเขาควรจะต้องรีบลงทุนครับ เพราะว่าเงินสดถือไว้ค่ามันก็ลดลงเรื่อยๆ (หรือไม่เขาก็กำลังจะลงทุนแล้วละ)
แต่คงไม่บังอาจไปสอน CFO เขาหรอกครับ ฮ่าา
Like
ถ้าบริษัทไหนถือเงินสดไว้เยอะๆ ผมก็ไม่ปลื้มเหมือนกัน
เงินสดมันไม่งอกเหมือนเงินลงทุนน่ะครับ
ผมงงว่าถือเงินสดขนาดนี้ทำไมเขาไม่เอามาใช้ซื้อหุ้นคืนแทน ลงทุนในบริษัทอื่นไม่น่าจะได้ผลตอบแทนสูงกว่าของตัวเอง ยกเว้นถ้าใช้เหตุผลกระจายความเสี่ยง หรือที่ไม่ซื้อหุ้นคืนเพราะรู้อะไรภายในหรือเปล่า? o.O"
ขนาดเงินปันผลบริษัทก็ไม่จ่ายครับ บริษัทสไตล์นี้มักสะสมเงินสดไว้เผื่อกรณีฉุกเฉินที่ต้องการใช้เงินก้อนมหาศาลในการลงทุนกับโครงการใหม่ๆ เพราะอนาคตเอาแน่ไม่ได้
แต่ผมว่าการลงทุนที่ผ่านๆมาของแอปเปิ้ลนี่เป็นสัดส่วนที่ต่ำมากถ้าเทียบกับเงินสดที่ถือครองเลยนะครับ ลองหาข่าวเร็วๆดูก็เจอแค่ ลงทุนในชิ้นส่วน 3,900 ล้าน (6%) ลงทุนในศูนย์เก็บข้อมูล 1,000 ล้าน (1.5%) ที่เหลือก็ยิบย่อย ควรที่จะเผื่อฉุกเฉินจริงๆครับ แต่ไม่น่าเผื่อสูงขนาดนี้ในความเห็นผม หรือว่าแกเดาออกว่าจะถูกฟ้องเรื่องเก็บข้อมูลพิกัดผู้ใช้แต่แรกอยู่แล้วหว่า -.-)a
เวลากิจการทำอะไรที่แปลกๆ ขัดความรู้ึสึกของเรา สมมติฐานหนึ่งที่พออ้างได้คือเขาเห็นอะไรมากกว่าที่เราสามารถมองเห็นครับ
...อาจจะเผื่อไว้จ่ายตอนโดนฟ้องอย่างว่าก็ได้ lol
+1
ผู้ลงทุนไม่ยอมขาย
ส่วนใหญ่โครงการเสนอซื้อหุ้นคืนจะให้ราคาดีกว่าราคาตลาดในปัจจุบันพอสมควรครับ ทำให้มีอุปทานที่จะขายเกิดขึ้นเพราะอยากได้กำไรชัวร์ๆก่อนตอนนี้ ส่วนคนที่ไม่ยอมขายก็จะได้อัตราผลตอบแทนต่อหุ้นที่สูงขึ้นในอนาคตแทนครับ ประเด็นคือคุณจ๊อบส์นโยบายแกชัดเจนมาก นักลงทุนหลายคนก็วิเคราะห์ไว้ค่อนข้างแรง เช่นอันนี้ครับ http://goo.gl/eQhxx
ปัญหาคือบริษัท IT ไม่ค่อยชอบให้ Dividend น่ะสิ (รอมานานละ)
ตอนนี้เริ่มอยากไล่ซื้อหุ้นโนเกีย เพราะผมเชื่อว่ามูลค่าจริงมันสูงกว่า Market Cap มาก ๆ ๆ ๆ ที่สุด แต่ไม่รู้ว่าตอนนี้โนเกียอยู่จุดต่ำสุดหรือยัง :(
@TonsTweetings
เงินเยอะจัด เพราะไม่รู้จะเอาไปทำอะไรดี มากกว่า ฮ่าๆ
ถ้าเป็นไปตามข่าวลือ กำลังเตรียมเงินไว้ซื้อโซนี่
ถ้าเป็นจริงนี่ช็อคทั่วโลก
อารยธรรมล่มสลาย
ผมว่ามันจะเป็นอะไรที่ยอดมาก บริษัทที่เน้นดีไซน์เป็นหลักอย่าง Sony กับเน้นความแปลกใหม่แบบ Apple
ชื่อ : Not Available at this Moment (N/A)
อยากให้ apple ซื้อ Rim กับ Sony อ่ะ
ถ้าapple ซื้อ sony ไป แบบนี้app store พี่แกก็ล่มติดต่อกันสิครับ :P
ว้าว Apple iPlaystation
โดน ถล่มกระจาย แต่ถ้าเอาไปจริงๆ กลัวตลาดจะ เชื่องช้าหนะสิ
เอาไว้จ่ายค่าปรับตอนโดนฟ้องเรื่องเก็บข้อมูล Location ของ iOS4 ครับ :P
โอ้วพระเจ้า เงินคือพระเจ้า พระศาสดาของเรา คือผู้ใกล้ชิดพระเจ้า
ล้อเล่นนะครับ ;P
แต่ชื่นชมครับ ในแง่คิดหลายอย่าง ทุกอย่างล้วนมีเหตุ มีผลของมัน
ผลที่ออกมาเป็นแบบนี้ เหตุของมันย่อมน่าสนใจไม่น้อย
เอาไปซื้อ AMD บริษัทในฝันของผมจะได้ มีประสิทธิภาพต่อกรกับ อินเทลซักที
น่าเสียดาย ปู่บัฟเฟตแกไม่สนใจบริษัทไอที ไม่งั้นคงเสร็จไปแล้ว แล้วเงินสดที่มีเยอะๆก็จะกลายเป็นปันผลให้กับปู่แก
คงจะสะสมไว้ Takeover กิจการ