เว็บ WikiLeaks เปิดเผยรายงาน [ที่อ้างว่าเป็น] รายงานของทูตสหรัฐฯ ที่พูดคุยกับกลุ่มธุรกิจของสหรัฐฯ ในเชียงใหม่เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ถึงโอกาสทางธุรกิจของสหรัฐฯ ในประเทศไทย
รายงานพูดถึงแนวทางพัฒนาอุตสาหกรรมไอทีของสหรัฐฯ โดยทั่วไปว่าต้องมีการสนับสนุนภาคการศึกษากับภาครัฐฯ ให้มากขึ้นโดยเฉพาะการร่วมมือในการสร้างแรงงานมีฝืมือที่ได้รับใบรับรองต่างๆ เพราะแม้เมืองไทยจะมีแรงงานมีฝืมือจำนวนมากแต่กลับขาดการรับรองมาตรฐานอย่างเป็นระบบ ส่วนหอการค้าสหรัฐฯ (The American Chamber of Commerce in Thailand - AMCHAM) เน้นว่าประเทศไทยต้องปลดล็อกโครงสร้างพื้นฐานทั้งแบบมีสายและไร้สาย รวมถึงการเปิดใช้งานโครงสร้างสายไฟเบอร์ระดับประเทศที่รัฐวิสาหกิจถือครองไว้
แต่จุดสำคัญที่เป็นประเด็นในรายงานฉบับนี้กลับเป็นประเด็นของการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ โดยที่รายงานระบุว่า Corporate Affairs Director ของไมโครซอฟท์ไทย (ตรวจสอบไม่พบตำแหน่งนี้ตรงๆ) ระบุว่าปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์เป็นปัญหาใหญ่ของไทย แม้ช่วงหลังประเทศไทยจะมีการแก้ปัญหานี้อย่างจริงจังและอัตราการละเมิดก็ลดลงอย่างต่อเนื่องถึงร้อยละ 2 ต่อปีตั้งแต่ปี 2006 แต่เขาก็กังวลต่อแนวทางการสนับสนุนซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สของรัฐบาลไทยเพื่อลดปัญหาละเมิดลิขสิทธิ์แทนที่จะสนับสนุนซอฟต์แวร์เพื่อการค้า
ทางฝั่ง BSA (Business Software Alliance) ก็แสดงความเห็นในแนวทางเดียวกันว่ารัฐบาลไทยไม่ควรสนับสนุนโอเพนซอร์ส เพราะซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สช่วยแก้ปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ได้น้อยมาก (insignificant impact) และการมุ่งไปยังซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สยังเป็นการหยุดการเติบโตของซอฟต์แวร์เพื่อการค้าซึ่งทำลายความสามรถในการเข้าสู่ตลาดบริการอย่างเต็มความต้องการของตลาด นอกจากนี้ BSA ยังเน้นถึงความสำคัญของการปกป้องข้อมูลว่าไทยต้องการกฏหมายปกป้องข้อมูลให้ดีกว่านี้
ในรายงานยังระบุว่าไอบีเอ็มประเทศไทยกำลังจะเปิดสำนักงานในเชียงใหม่เป็นแห่งแรกนอกกรุงเทพฯ และประเทศไทยมีปัญหาคือผู้ร่วมสัญญาให้บริการกับรัฐจะต้องรับความเสียหายที่เกิดขึ้นอย่างไม่จำกัด ซึ่งทาง SIPA ก็ยอมรับว่าปัญหานี้ก็เป็๋นปัญหาสำหรับบริษัทไอทีของไทยขนาดเล็กเองเช่นกัน
ที่มา - WikiLeaks - 10CHIANGMAI18
Comments
เพิ่งทราบว่ามันคุยกันทุกเรื่องจริงๆ แล้ว Wiki ก็มีเก็บไว้ทุกเรื่องด้วย -*-
เราต้องยอมรับการเปลี่ยนแปลงแล้วสินะ เฮ้อ
"แต่เขาก็กังวลต่อแนวทางการสนับสนุนซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สของรัฐบาลไทยเพื่อลดปัญหาละเมิดลิขสิทธิ์แทนที่จะสนับสนุนซอฟต์แวร์เพื่อการค้า"
มองได้ 2 อย่าง คือเราไม่มีผู้ผลิต local ที่ทำซอฟแวร์ได้ดีกว่าฝั่งเมืองนอก มันก็ควรแล้วที่จะไปใช้ open source แทนที่จะเสียเงินออกนอกประเทศและได้ productivity ที่พอๆ กัน อย่างพวก open office, linux, gimp
อีกมุมคือ บางทีมันก็ทำให้งานในประเทศไม่เกิด หรือเกิดเฉพาะกลุ่ม support ซอฟแวร์ประเภทนี้ (ซึ่งรายได้ไม่เยอะ) อย่างกรณีญี่ปุ่นเค้าจะสนับสนุนให้บริษัทในประเทศทำซอฟแวร์ขึ้นมาแข่ง แล้วรัฐจะเชียร์ของบริษัทในประเทศแทน ซึ่งสร้างรายได้ให้เกิดการหมุนเวียนในประเทศได้มาก
แฟนพันธุ์แท้สตีฟจ็อบส์ | MacThai.com
ย่อหน้าสุดท้ายจะทำให้เกิดปัญหาน่าเหนื่อยใจอีกอย่างครับ การใช้ของไทยทำให้โดนหลายคนเขม่น (อาจถึงขั้นดูถูก) และการที่รัฐเชียร์ให้ใช้ของในประเทศตัวทางรัฐก็โดนได้เช่นกัน
ดูเหมื่อนว่า Microsoft กับ BSA กำลังกังวลว่าจะขาดรายได้มากกว่านะ
คิดเหมือนกันเลยครับ
+1 น่าจะเป็นเพราะเรื่องเสียตัวผลประโยชน์ มากกว่า
กะเอาตังมากกว่ามั้งครับ (ไม่สนับสนุน Open source)
ถ้าเค้าสนับสนุนให้เราหันไปใช้ opensource สิครับแปลก ผมเคยรู้ราคา software ที่ ms ขายมหาวิทยาลัยให้ใช้ได้ทุกตัวไม่จำกัดจำนวน มันถูกจนผมสงสัยว่า opensource จะเกิดได้ไงถ้าสถานศึกษาใช้ ms กันหมด
ตรงที่มีแสง
+1 campus license
แต่มันก็ยังพอมีที่ๆ opensource ยังยืนอยู่ได้ แม้อาจหมายถึงว่าอยู่บนสภาพแวดล้อมของ windows ก็เถอะ!
จำได้ว่าเมื่อก่อนให้ใช้ฟรี แต่ตอนนี้เก็บตังค์ก็ยังยอมจ่ายแฮะ เรียกว่าจ่ายเป็นไม้กันหมาไว้ จริงๆควรจะเก็บแพงๆไปเลย Open source จะได้เกิดซะที
ประมาณว่ามองแต่มุมของตัวเอง ..อุอุ
กรรม ไม่สนับสนุน OSS งี้จะให้คนเงินเดือน 12000 กินข้าวแกงจานละ 35
ซื้อ Win 7 Home Basic ราคา 2750 ใช้สินะ
Ubuntu ฟรีๆ ไม่ต้องไปใช้มันหรอก เพราะมันฟรีสินะ ไม่กระตุ้นเศรษฐกิจสินะ
คนเงินเดือนหมื่นสองคนดังกล่าว ถ้าซื้อคอมเครื่องเป็นหมื่นได้ก็ไม่น่ามีปัญหากับสินค้าลิขสิทธิ์อื่นๆ ครับ
ผมมีนะครับ ซื้อเครื่องล่าสุดมาว่าจะลงวินโดวส์ พอเห็นราคากับฟีเจอร์แล้วก็ถอย
lewcpe.com, @wasonliw
คนเงินเดือนหมื่นสองคนดังกล่าว อาจจะซื้อคอมเครื่องเป็นหมื่นแบบเงินผ่อน ผ่อนเดือนละพันสองพันแบบปากกัดตีนถีบก็ได้นะครับ
ถ้าเคสแบบนี้ มีปัญหากับราคาสินค้าลิขสิทธิ์แน่ๆ
ส่วนกรณีของข่าวนี้ ผมว่าเขาคุยกันแบบพ่อค้า ผลประโยชน์ของตนเป็นที่ตั้ง แต่ถ้าจะมองอีกมุมนึงก็คือถ้าสนับสนุน open source software เต็มเหนี่ยวแล้ว อุตสาหกรรมซอฟท์แวร์ในประเทศจะตกที่นั่งลำบากหรือเปล่า แต่ถ้าแนวทางการการสนับสนุน open source ได้ประโยชน์ต่อภาพรวมของประเทศมากกว่า ก็ถือว่านโยบายรัฐมาถูกทางแล้ว
ผมขอพูดแบบไร้เยื่อใยเลยนะครับ "รายได้ต่ำ รสนิยมสูง" ไม่ควรทำครับ
ไม่ใช่ไม่มีสิทธิ์นะครับ แต่ควรรู้จักประมาณตน
ปล.ผมว่าผมพูดหลงประเด็นไปหน่อยครับ เข้าใจว่าทุกคนกำลังพูดถึงประเด็นที่ว่าไมโครซอฟท์ไม่สนับสนุนโอเพ่นซอร์ส แต่ประเด็นของผมไปอญุ่ที่ซอฟแวร์เถื่อนซะงั้น
ผมอ่านยังรู้สึกว่าคุณไม่สนับสนุนให้ใช้ opensource นะ
ตรงที่มีแสง
คงไม่ถึงขั้นว่าสนับสนุนครับ แต่ยินดีที่จะใช้ แต่เลือกได้ก็จะ "ยัง" ไม่ใช้ครับ (ไม่ถึงขั้นที่ว่าแนะนำให้คนที่รู้จักว่า เฮ้ย! ใช้ Opensource ดีกว่า)
ไม่ได้ต่อต้านแต่อย่างใด
แปลว่าคนรายได้เดือนละหมื่นสองไม่สมควรจะซื้อคอมพิวเตอร์หรือครับ ? แม้แต่เครื่องละหมื่นกว่าบาทที่ลง DOS มาให้
ถ้าอยากจะหาเรื่อง เอาเลยครับ ผมเขียนไว้หมดแล้วว่าผมคิดยังไง ถ้าคุณเลือกที่จะพยายามไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมต้องการสื่อ ผมคงไม่พยายามไปแก้ไขความคิดของคุณที่มีต่อผมครับ
ไม่ได้เอาเรื่องครับ ไม่ได้ใช้อารมณ์นะครับ แต่ผมสงสัยที่ว่าคนที่รายได้หมื่นสองแล้วซื้อคอมพิวเตอร์ใช้เนี่ย เราควรจะสนับสนุนให้ใช้ OSS มากกว่าไม่ใช่หรือครับ แทนที่จะไปบอกว่าเครื่องละหมื่นซื้อได้ซอฟท์แวร์ก็ต้องซื้อได้
ขออภัยครับ ผมกำลังโมโหตัวเองอยู่ งวดนี้ผมเขียนอธิบายสิ่งที่ตัวเองคิดได้ไม่ดีเท่าที่ควร
ขอแก้ตัวใหม่ครับ ประเด็นของผมเป็นเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์ครับ ไม่เกี่ยวกับ OSS เลย ซึ่งเรื่องมันเกิดจากว่า มีหลายคนที่เอาเรื่องซอฟแวร์แพงมาอ้างเพื่อจะใช้สินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ ผมเลยมองว่ามันเป็นความมักง่ายเกินไป เพราะว่าถ้าคุณมีอำนาจทางการเงินพอที่จะซื้อเครื่องมาใช้ ผมก็เห็นสมควรว่าเค้าเหล่านั้นก็ควรที่จะซื้อซอฟแวร์ที่ถูกกฏหมายมาใช้ด้วย
เรื่อง OSS ไม่ใช่ประเด็นที่ผมกำลังต้องการสื่อถึงครับ เพราะว่างานของหลายๆ คนมันไม่ได้อยู่บน OSS และองค์กรไม่มีพลังมากพอที่จะเสียทรัพยากรในด้านต่างๆ เพื่อที่จะมาฝึกคนให้ใช้ OSS ครับ
ฉะนั้นแล้ว ถ้างานคุณต้องใช้ซอฟแวร์ที่เป็น commercial และคุณมีเครื่องคอมฯ ส่วนตัว คุณก็ควรที่จะซื้อสินค้าลิขสิทธิ์มาใช้งาน เพราะสินค้าเหล่านั้นสร้างรายได้ให้คุณ มันไม่ยุติธรรมที่คุณจะทำกำไรจากมันอย่างเดียว แล้วไม่ยอมใช้สินค้าลิขสิทธิ์โดยอ้างว่ามันแพงครับ
** หมายเหตุ
ขออภัยอีกครั้งครับที่ใช้อารมณ์ หงุดหงิดตัวเองจริงๆ
เข้าใจแล้วครับ ผมเห็นด้วยกับความเห็นของคุณครับ คงเป็นเพราะไปเมนท์ต่อจากเรื่องที่เค้าโวยว่าไม่สนับสนุน OSS ทำให้ผมตีความความเห็นคุณผิดไปครับ ขออภัยด้วยครับ
ผมชอบทุกครั้งที่เห็นคนขอโทษ ขออภัยอย่างจริงใจในนี้นะครับ (อย่างน้อยก็ด้วยสำเนียงจริงใจ) หลาย ๆ ครั้งผมจะเห็นเป็นปล่อยผ่านเลย (อาจจะเพราะไม่ได้เข้ามาดู) หรือขอโทษแบบให้จบ ๆ ไปมากกว่า
ขอบคุณมากครับ
เรามาล่ารายชื่อส่งให้ Microsoft Thailand แล้วขอลดราคา OS ดีไหมครับ(ก็ในเมื่อสถานศึกษาเค้ายังลดราคาให้ได้เลยเนาะ) ทุกคนที่อยากจะใช้ OS Windows จะได้ใช้ OS ได้ในราคาที่ซื้อหาได้ และพอใจและใช้ลิขสิทธิ์ถูกต้องด้วย ส่วนใครที่สะดวกใช้ Linux ก็ใช้งานต่อไปแล้วแต่ใครจะถนัด..เนาะ ?
"เพราะสินค้าเหล่านั้นสร้างรายได้ให้คุณ มันไม่ยุติธรรมที่คุณจะทำกำไรจากมันอย่างเดียว แล้วไม่ยอมใช้สินค้าลิขสิทธิ์โดยอ้างว่ามันแพงครับ"
เห็นด้วยกับประโยคนี้ครับ...
มีคำถามอยากถามเพิ่มเติมว่า ถ้าอยากใช้โปรแกรม commercial มาใช้แบบไม่ commercial ควรต้องจ่ายในราคา commercial หรือเปล่า
ต้องดูที่ licensed ครับ :) อย่าง office ก็มี home + student licensed
เครื่องมือสองสภาพพร้อมใช้งานได้เลยราคาต่ำกว่า 5,000 มีแยะนะครับ
อย่างน้อยๆ ก็ได้ได้ประมาณ Pentium 4 2.8 GHz RAM 512 HDD 40 LCD 15"
เมื่อก่อนผมยังเคยซื้อเครื่องมือสองไม่เอาจอ ประมาณสองพันกว่าบาทมารัน Linux ทิ้งไว้ที่บ้านเลย
(แต่ตอนนี้เลิกแล้ว ค่าไฟกระฉูด)
ไปเดินดู jinan expo ที่ฟอร์จูน 5000 บาทตอนนี้ได้ c2d ด้วยครับ 555
ถูกซะ - -"
ผมไม่มีปัญหากับคนที่ใช้ซอฟแวร์ทางเลือกครับ
ถ้าไม่มีเงินแล้วใช้โอเพ่นซอร์สแทนก็ถือว่าเป็นการตัดสินใจของเขาเหล้านั้น
แต่ถ้าใช้เป็นข้ออ้างในการใช้ซอฟแวร์เถื่อน ผมว่ามันก็เห็นแก่ตัวไปหน่อย
ผมรู้ว่าผมอาจจะพูดออกนอกประเด็นของ คห. นี้ไปหน่อยครับ
แต่ผมว่าเพราะแบบนั้น ก็ถูกต้องแล้วที่รัฐบาลควรสนับสนุน oss ไม่ใช่หรือครับ? ใครมีเงินจะซื้ออะไรก็ซื้อไป แต่ถ้าไม่มีก็มีของที่แนะนำ หรือสรรหามาให้ใช้ และการที่ใช้ oss มันก็มีแนวทางการหารายได้ของมันอยู่เช่นกันนะครับ
และผมว่ามันดีซะกว่าการที่ทุกวันนี้ เวลาไปเรียน อ.ก็มักจะสอน หรือ ให้ใช้โปรแกรมลิขสิทธิ์แพง ๆ ที่ถ้าจบไป ไม่รู้ว่าตัวเองจะมีปัญญาหามาใช้ หรือ ที่ทำงานจะมีให้ใช้ (แบบถูกลิขสิทธิ์) หรือเปล่าด้วยซ้ำ
อย่างไปเรียนคอมฯ เอะอะก็ AutoCAD, Photoshop, DreamWeaver, Nero, MS Office ฯลฯ แม้แต่ไฟล์ zip ยังให้ใช้ winzip เลยมั๊ง เค้าเรียนพวกนี้มา จบมาก็ต้องมาหาของพวกนี้ใช้ แต่ปัญหาที่ทำให้แหล่ง oss,freeware ในไทยมันไม่โตจากที่ผมสัมผัสมา เพราะความเข้าถึงยากของมือใหม่ด้วยนะ
อืม... ถ้าเป็น AutoCAD นี่พูดยากครับ มันเฉพาะทางจริงๆ แล้วผมก็ไม่คิดว่าจะมีโอเพนซอร์สตัวไหนที่ใช้แล้วมี productivity เท่ามันเลย
ส่วนโปรแกรมอื่นๆ อย่าง Photoshop นี่ผมใช้ Gimp นะ DreamWeaver ยอมรับว่าเคยใช้ตอนรุ่น MX 2 แบบเถื่อนๆ หลังจากนั้นมาก็ใช้ Notepad++ มาโดยตลอดครับ
ผมไม่พูดประเด็น OSS แล้วละกัน รู้สึกว่าผมยิ่งพูดยิ่งดูเหมือนแก้ตัวว่าไม่ได้ต่อต้าน
ถ้าเป็น AutoCAD นี่ผมว่ายากครับ... ก็คงต้องซื้อ License ไป แต่ซื้อเพราะทำธุรกิจครับ จริงๆ มันก็มีทดแทนนะในราคา 10% ของ AutoCAD แต่ก็เป็นที่ User อีกแหละ... จะต้อง AutoCAD ๆ ๆ ๆ ปัญหานี้นี่วนเวียนแบบนี้แหละครับ!!! (สำหรับ AutoCAD นะ)
AutoCAD, Photoshop, Indesign ฯลฯ ต้องยอมรับล่ะครับว่ามันเป็นโปรแกรมเฉพาะทาง ทำมาเพื่อใช้หากินจริงๆ ถ้าคุณไม่ได้ใช้ฟีเจอร์ขนาดนั้น ก็ใช้ OSS หรือว่าตัวอื่นแทนได้เยอะครับ Basic มันก็ใกล้เคียงกันหมด เปลี่ยนนิดหน่อยเอง
ปัญหาใหญ่อยู่ที่ความคิดล้วนๆ ไม่ปรับตัว ไม่คิดว่าละเมิดลิขสิคเท่ากับการขโมยของ มองประโยชน์กับราคาไม่สัมพันธ์ ถ้ามันมีครบตามที่ว่า คงไม่มีใครใช้ PSD เพื่อย่อรูป Crop กันแหงๆ (เห็นส่วนมากที่ลงๆกันก็ใช้แค่เนี่ย)
อีกอย่างหน่วยงานรัฐก็เฮงซวย เอกสารเผยแพร่ทำไมไม่ใช้ไฟล์มาตราฐานที่ทุกคนเปิดได้ เอะอะก็ office รุ่น XXX ฟ้อนท์ Angsana
เข้าใจว่าหน่วยงานรัฐถูกบังคับให้ใช้ Font ของ SIPA หมดแล้ว เอะอะก็ TH Sarabun
ก็เพราะมันไม่ติดลิขสิทธิ์นี่ครับ ผมว่าก็ดีแล้วนะ
ผมว่าดีนะครับ
มันไม่ง่ายเลยที่จะทำ GIF ให้มีขนาดน้อยกว่า 20kB
กลุ่มธุรกิจคุยกัน ก็ต้องมองเรื่องธุรกิจเป็นธรรมดา
+1 จะให้กลุ่มธุรกิจมาสนับสนุนของฟรีก็ใช่เรื่อง
"ไม่ต้องซื้อของอั๊วหรอก ใช้ของฟรีไปเถอะ รัฐเค้าสนับสุน"
คงจะไม่ใช่ = ="
มันก็ถูกแล้วนะ อ่านแล้วสบายใจว่ารัฐบาลเราก็สนับสนุน open source พอควรจน microsoft รู้สึกแบบนั้น
จะมองว่าเป็นเรื่องปกติทางการทูตระหว่างประเทศก็ได้ ยังไง intellectual property ก็เป็นสินค้าส่งออกที่ทำรายได้ให้สหรัฐฯ เยอะ ก็ต้อง lobby ให้ประเทศอื่นสนับสนุน
pittaya.com
ผมว่ามันควรจะสนับสนุนควบคู่กันนะ คนไม่มีเงิน ก็ใช้ Freeware/OSS ไป แต่ถ้าต้องการความสามารถที่มากกว่า หรือการ Support ที่ดีกว่า ก็ต้องจ่ายเงินซื้อของแท้ แฟร์ๆ ดี
แต่ตัวที่จะทำให้ทั้ง 2 อย่างนี้ไม่เกิด ก็คือซอฟต์แวร์เถื่อนนี่แหละ คนใช้คอมทั่วไปเข้าใจว่าเวลาซื้อคอมมาต้องมี Windows + Office + Photoshop + ... แถมมาเหมือนของฟรี
แต่ก็อยากให้ส่งเสริมอุตสาหกรรม(หัตถกรรม?)ซอฟต์แวร์ขายบ้าง ไม่ใช่พอคนไทยจะเขียนโปรแกรมขายปุ๊บ ก็โดนด่าว่าขายแพง ยังงั้นยังงี้ ทำยังกับโปรแกรมเมอร์เสกโค้ดออกมาจากอากาศได้ -_-"
เหตุผลที่คนว่าแพงเพราะว่าเราเอาที่คนไทยเขียนไปเทียบกับของฝรั่งที่่ขายทั่วโลกหนะครับ ขนาดตลาดมันต่างกันเยอะ แล้วก็ software ของไทยค่าแรงก็ถูกกว่าฝรั่งด้วย คนเลยยิ่งรู้สึกว่าแพงไปใหญ่
ตรงที่มีแสง
ถ้ามีเงินก็สามารถซื้อซัพพอร์ทของโอเพ่นซอร์สที่ดีกว่าได้เหมือนกัน
"ไมโครซอฟท์และ BSA กังวลต่อแนวทางโอเพนซอร์สของไทย" ผมว่า เค้ากังวลเรื่องรายได้ของพวกเข้ามากกว่านะ แต่ละข้อเสนอนี่เอนเอียงไปในทางนี่เราต้องไปซื้อซอฟท์แวร์หมดเลย
สระอาหายครับ
รบกวนใส่ปี (2553?) ด้วยได้มั้ยครับ
กฎหมาย ครับ
ให้ไปใช้ Freeware กับ Opensource น่าจะยากสำหรับหลายๆงาน เพราะเท่าที่ผมใช้มา โปรแกรมหลายตัวจะแพ้ Commercial software หมด ทั้งเรื่องความยากง่ายในการใช้งาน ความสามารถของตัวโปรแกรม Bug ฯลฯ มีแค่จำนวนหนึ่งที่พอสู้ไหว
อันนี้คือประสบการณ์ที่ผมเจอมานะคับ
อย่างเช่น OS สำหรับ PC ที่ผมเคยลองมามี Ubuntu (รุ่น 10.X มั้ง) จุดแรกเลยที่ผมว่ามันสู้ Windows ไม่ได้คือเรื่องฟอนต์ไทย ยิ่งใน Web Browser อย่าง Firefox นี่เห็นได้ชัด (แถมได้ข่าวว่า Chrome มีบั๊กภาษาไทยแบบรุนแรงอีก) ฟอนต์ไม่สวย อ่านลำบาก บางคนอาจจะคิดว่ามันคือปัญหาเล็กน้อย แต่ผมว่าสำหรับคนทั่วไป (รวมทั้งผม) มันคือปัญหาใหญ่พอตัวทีเดียว เรื่อง Look & Feel อีก (ที่ดูโบราณมาก Android 2.3 เป็นต้นมายังทำได้สวยกว่าตั้งเยอะ) แถมเวลาต้องทำอะไรๆแบบ Advance ต้องเปิด Terminal ตลอด แถมด้วย Software อื่นๆที่สู้ Commercial software หลายๆตัวของ Windows ไม่ได้
สรุปฝั่ง OS ผมว่าตอนนี้ยังไงก็คงหลีกหนี Windows (และ Mac?) ไม่พ้น
ผมว่าปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ตอนนี้น่าจะมาจากรายได้ของคนไทย, ช่องทางการซื้อ, ความคิดเห็นเรื่อง Software และราคา
เรื่องรายได้และราคา Software ผมว่าถ้าสามารถซื้อ PC ราคา 15,000 บาทขึ้นได้ด้วยการเก็บเงินเพียงไม่กี่เดือน ก็น่าจะเก็บเงินซื้อ Windows ได้นะคับ (อย่าไปบ้าเอา Edition สูงๆ ก็พอ) แต่หลายๆคนมักจะคิดว่า มีของฟรีให้ใช้ (แบบผิดๆ) จะไปเสียเงินซื้อทำไม ความคิดแบบนี้ไม่ใช่แค่เรื่อง Software แต่รวมถึงเรื่องอื่นๆ อย่างเพลง หนัง ฯลฯ
ผมว่าทางแก้ปัญหาที่ดีที่สุดคือ รัฐบาลทำให้ประเทศเจริญ
ตรงที่มีแสง
ผมว่าเรื่อง Font ไทยใน Browser บน Linux นี่เป็นปัญหามากเลยนะ เพราะขนาด Default Font มันใหญ่กว่าบน Windows มาก ทำให้บางเว็บนี่ Layout เพี้ยนไปเยอะ แถมตอนทดสอบเว็บนี่ก็ยากด้วย
ไม่รู้เหมือนกันว่าคนทำเว็บส่วนใหญ่เขากำหนด Font ใน CSS ยังไง ปกติน่าจะเป็น Tahoma,Thonburi,sans-serif รึเปล่า? แล้วถ้าเว็บที่ Fox Layout ไว้ ดูดีบน Windows แต่มาเปิดบน Linux แล้วเพียนนี่เขาแก้ปัญหากันยังไง ==? ส่วนตัวอยากให้มีการทำ Standart Thai Font สำหรับทุก OS เลย เวลาเปิดเว็บจะได้หมดปัญหาพวกนี้ซะที
อีกอย่าง Google Docs ใน Linux มันมีปัญหาเวลาพิมพ์ภาษาไทย ตัว Cursor มันอยู่ผิดที่ผิดทาง ไม่ว่าจะตั้ง Font เป็นอะไรก็ตาม ทำงานลำบากมากมาย =="
รู้สึกว่า default คือ loma ครับ
มาเรื่องเว็บเบี้ยวนะครับ คุณทันสมัยที่ firefox เปิดเว็บอะไรก็เบี้ยวไหมครับ เพราะคนเขียนไม่ได้ทดสอบบน firfox เลยเป็นแบบนั้น เช่นเดียวกันกับ linux ครับ ถ้าสังเกตุเว็บภาษาอังกฤษหรือพวก wordpress ก็ไม่เบี้ยวครับ ปกติเวลาแก้ layout ผมจะเช็คเว็บบน windows ubuntu firfox chrome ipad ครับ
ส่วน google doc นี่ไม่เคยลองครับ ไม่แน่ใจว่านี่คือ bug เก่าของ chrome หรือเปล่า
ตรงที่มีแสง
ประเด็น Open Source vs. Commercial (จริงๆ ไม่ถูกนักเพราะโอเพนซอร์สจำนวนมากมีไว้ "ขาย") นั้นผมยืนยันตามคุณครับ ว่าส่วนมากใช้ยากกว่า
ความง่ายมีราคาของมัน ถ้าคุณเชื่อว่า Office ราคา 6,000 - 20,000 กว่า วินโดวสร์ราคา 1,000`- 8,000 บาท มันคุ้มค่า ซื้อเลยครับ ผมยืนยันในฐานะโปรแกรมเมอร์ว่าราคาพวกนี้มันไม่ได้แพงอะไร คุณไม่มีทางจ้างโปรแกรมเมอร์มาทำซอฟต์แวร์ระดับนี้ได้แน่ๆ
โอเพนซอร์สเป็นทางเลือกเมื่อคุณไม่ต้องการความสะดวกระดับนั้น (สมัย dos ก็ใช้งานกันมาได้?) พร้อมจะเรียนรู้ อยากสร้างความรู้ในหน่วยงานเพื่อลดค่าใช้จ่ายในระยะยาว
นอกเรื่องตามที่คุณว่า คุณรู้ได้อย่างไรว่า "พีซี 15,000 ใช้เวลาไม่กี่เดือน" หรือครับ และผมยืนยันว่าการอ้างว่า "ซื้อ XXX ราคา YYY ยังซื้อได้ ก็น่าจะซื้อ ZZZ ได้" เป็นการอ้างที่ไม่สมเหตุสมผล ผมใช้หูฟังราคาเกือบหมื่นเพราะผมรู้สึกพอใจกับมัน ไม่ได้หมายความว่าผมต้องซื้อแอมป์ตัวละ 15,000 มาขับมัน หรือต้องฟังเพลงแต่แผ่น audiophile มาฟัง คนซื้อพีซีราคา 15,000 ถ้าเขาเรียนรู้ใช้ลินุกซ์ นอกจากจะไม่เสียค่า OS ราคา 1,000 ถึง 8,000 อาจจะได้ความรู้ไปคอนฟิกเซิร์ฟเวอร์หาเงิน ไปสอนคนอื่นใช้โอเพนซอร์สตัวอื่นๆ ฯลฯ อีกก็ได้ครับ
lewcpe.com, @wasonliw
เห็นด้วยเรื่อง x y z ครับ
และเรื่อง oss เหมือนที่ผมเขียนไว้ข้างบนว่า "มันเข้าถึงยาก" สำหรับมือใหม่ (การพยายามจะหาข้อมูล การพยายามจะใช้มัน การพยายามจะแก้ปัญหา ฯลฯ) ซึ่งส่วนหนึ่งก็อาจจะมองได้ในแง่ที่ว่าอยากได้ของถูกก็ต้องเหนื่อยหน่อย ลำบากหน่อย มันก็พอได้ แต่บางคนอาจจะข้ามมันไม่ไหวเท่านั้นเอง จากที่ผมสัมผัสมา
อย่างน้อยผมอยากให้อย่างน้อยก็เลือกใช้แค่บางส่วนก่อนก็ได้ เพราะจริง ๆ Freeware, oss บางตัวก็เพียงพอกับการใช้งานบางอย่างแล้ว ทุกวันนี้ก็ยังดันทุรังใช้ LibreOffice และพยายามให้คนอื่นที่ทำงานใช้อยู่เหมือนกัน winzip winrar นี่ไม่ได้ใช้มานานแล้ว
ประเด็นคุณคือมองมุมมองของคุณ lew มอง user ถูกต้อง ? user เรียนรู้คอนฟิกเซิร์ฟเวอร์หาเงิน เพื่อ ?
user ต้องการแค่ใช้งานคอมพิวเตอร์ อะไรที่มันง่ายกว่า user เลือกอันนั้นครับ opensource ยังเข้าถึง user ได้ไม่มากเพราะความที่ใช้ยากกว่า สมัยก่อนอ้างว่า ใช้ DOS ได้...สมัย DOS ทุกบ้านมี คอมพิวเตอร์ เหมือนปัจจุบันไหมครับ และสมัย dos เองก็ไม่มีอะไรที่มันเข้าถึงง่ายและแพร่หลายเท่า dos อีกแล้ว ผู้มีคอมพิวเตอร์ในยุคนั้นเป็นคนที่มีฐานะพอซื้อหามาใช้ได้ ไม่ได้มีทุกบ้านทุกตำบลเช่นทุกวันนี้ ฉะนั้นการอ้างว่าสมัยก่อนยังใช้ DOS ได้ก็ไม่ต่างกับการอ้างว่า "ซื้อ XXX ราคา YYY ยังซื้อได้ ก็น่าจะซื้อ ZZZ ได้ " ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปมากแล้ว แต่ผมเองก็ชื่นชม opensource ที่มันใช้ง่ายขึ้นเรื่อยๆ ครับ
ผมอธิบายจากประสบการณ์ของผม "เพื่อชี้ว่าการ (เสียเวลา) เรียนรู้มันมีคุณค่า" นะครับ user ไม่ต้องมาเรียนรู้ลินุกซ์ หรือคอนฟิกเซิร์ฟเวอร์แน่นอน
ผมยืนยันเช่นเดิมครับ ว่าถ้ายินดีจ่ายเพื่อ "อะไรที่มันง่ายกว่า" แล้วคุ้มก็จ่ายเลยครับ ผมไม่เห็นว่าจะมีปัญหาอะไร ในกรณีที่คุณว่า ถ้าคนที่ไม่สามารถเรียนรู้ระบบที่มันยากกว่าได้ เขาก็ไม่เหลือทางเลือกอื่นนอกจากการจ่ายค่าไลเซนส์ ซึ่งหลายครั้งก็คุ้ม ผมเห็นหลายคนยอมจ่ายค่า Mac OSX หรือ iOS เพราะมันทำให้เขาใช้งานทำงานได้ดีกว่า ผู้ใหญ่หลายคนจ่ายค่า iPad ทั้งที่ netbook ถูกกว่ามากเพื่อ iOS แล้วเขาใช้งานได้ มันก็คุ้มที่จะจ่าย
แต่ถ้าไม่มีเงินจ่ายค่าไลเซนส์ ก็แน่นอน คุณไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากโอเพนซอร์สที่คุณต้องลำบากกับมัน ความมั่งคั่งน้อยกว่าทางเลือกก็น้อยกว่าอันนี้ปรกติของโลก แต่การที่ user ต้องเสียเวลาเรียนรู้โอเพนซอร์สก็เป็น "คุณค่า" กลับไปยังตัว user เองแล้วครับ ว่าไม่ต้องเสียค่าไลเซนส์ ไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ ว่ากำลังละเมิดลิขสิทธิ์
lewcpe.com, @wasonliw
ลองทำแบบนี้ดูนะครับ คุณลองมองไปบนถนน แล้วลองดูสิครับว่า มีอะไรอยู่บนนั้นบ้าง บางคนขับรถเก๋ง (ทั้งเบ๊นซ์หรู ๆ หรือ รุ่นถูก ๆ) บางคนขับมอเตอร์ไซค์ บางคนนั่งรถเมล์ บางคนนั่ง Taxi บางคนซ้อนพี่วิน บางคนขี่จักรยาน บางคนนั่งตุ๊กตุ๊ก/สามล้อ บางคนเดินอยู่ริมฟุตบาท บางคนนั่งรถตู้ บางคนนั่งรถไฟฟ้า ฯลฯ สาเหตุที่ทำให้แต่ละคนเลือกวิธีการเดินทางแตกต่างกันก็เพราะปัจจัยต่าง ๆ ที่แตกต่างกัน ความต้องการแตกต่างกัน
แต่ทุกคนที่กล่าวมาไปถึงจุดหมายของเค้าได้เหมือนกัน? ทั้ง ๆ ที่ถ้าได้นั่งเฉย ๆ มีคนขับรถให้สบาย ๆ แอร์เย็น ๆ น้ำเย็น ๆ ให้กิน มีทีวีให้ดู มีเพลงให้ฟัง เบาะนุ่ม ๆ (หรือแม้แต่มีสาวน่ารัก ๆ นั่งอยู่ข้าง ๆ ด้วย) ทำไมเค้าไม่ทำแบบนั้นกัน? (แค่ยกตัวอย่างลักษณะที่คนน่าจะชอบ แต่ละคนอาจชอบไม่เหมือนกันอีก)
ไม่ว่าจะเป็นแนวทางไหนมันก็มีข้อจำกัดของมัน มีข้อดี-ข้อเสียทั้งนั้น
-ถ้าคุณมีรถเก๋ง คุณก็ต้องมีเงินซื้อ มีตังค์เติมน้ำมัน มีตังค์จ่ายประกัน แต่อยากไปไหน เวลาไหน ไปช้า ไปเร็ว ก็ไปตามใจฉัน...
-ถ้าคุณนั่งรถเมล์ คุณก็ต้องรอ ไปเบียดกับคนอื่น ทำอะไรก็ไม่สะดวก แต่ค่อนข้างถูก และอาจจะปลอดภัยหน่อย (บางสายมั๊ง)...
-คุณขับจักรยาน คุณก็ไม่ต้องเติมน้ำมัน รถพังก็ซ่อมไม่กี่บาท แต่ก็อันตราย และเหนื่อย...
ฯลฯ
เรื่องอื่น ๆ รอบตัวเราก็ล้วนเป็นแบบนี้ทั้งนั้น ที่อยู่อาศัย โทรศัพท์ การแต่งตัว การกินอาหาร ฯลฯ
รวมถึงในเรื่องซอฟต์แวร์ มันก็มีทางเลือก
1.ซอฟต์แวร์ฟรี แน่นอนไม่เสียตังค์ แต่คุณก็อาจจะต้องพยายามที่จะเรียนรู้มัน หรือสรรหาวิธีการที่จะได้มันมาใช้ และมักจะไม่รับรองผล...
2.ซอฟต์แวร์ดี ๆ (และเสียตังค์) ถ้าคุณมีเงินซื้อ คุณก็ซื้อได้ ได้ฟังก์ชั่นตามที่คุณต้องการ และมักจะมีคุณภาพดีกว่าของฟรี และใช้ง่ายกว่า...
ลองดูสถานการณ์งาน 3G ลด 50% เป็นตัวอย่างก็ได้ครับ คุณอยากได้ของลดราคา ก็ต้องเหนื่อยมาต่อคิวกันหน่อย ถ้าคุณมีตังค์จะซื้อราคาเต็มก็ไม่มีใครว่าไงครับ
อันนี้ อธิบายได้ชัดเจนมากครับ
อะไรที่ผมซื้อได้ และเลี่ยงไปใช้ Freeware ไม่ได้ ผมก็ซื้อคับ (ทั้งเครื่องผมตอนนี้มี Software ผิดลิขสิทธิ์อยู่เพียงตัวเดียว คือ Visual Studio 2010) ตัวผมนั้นพร้อมจะเรียนรู้อะไรใหม่ๆ แต่บางอย่างมันก็ไม่ไหวคับ เช่น Bug ของ Software และ Feature ที่ต้องการไม่มี (แบบไม่มีทางอื่นให้ทำโดยได้ผลลัพธ์เดียวกันด้วย) หรืออาจจะยากจนเกินไป ฯลฯ
"พีซี 15,000 ใช้เวลาไม่กี่เดือน" ผมบอกว่า ถ้าสามารถทำได้คับ ไม่ได้บอกว่า การเก็บเงิน 15,000 บาทสามารถทำได้ง่ายๆด้วยเวลาเพียงไม่กี่เดือน
"ซื้อ XXX ราคา YYY ยังซื้อได้ ก็น่าจะซื้อ ZZZ ได้" อันนี้ก็แล้วแต่คนนะคับผมว่า แต่ความคิดของผมคือแบบที่ผมบอกไป
ผมแค่มองในภาพรวม User ทั่วๆไปของไทย เพราะส่วนมากจะไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง เพราะขี้เกียจเรียนรู้ ยาก (คนส่วนมากเท่าที่ผมเห็นไม่เก่งคอมจริงๆ ใช้เป็นแต่ Basic) ฯลฯ ขนาดแค่ให้ย้ายจาก Windows XP ไป 7 ยังไม่อยากจะย้ายกันเลย MS Office นี่ก็เหมือนกัน ย้ายจาก 2003 มา 2007/2010 ก็ไม่อยากจะย้ายกัน ให้ย้ายจาก Windows ไป Linux นี่คงยิ่งแล้วใหญ่
ทางแก้ปัญหาสำหรับผมก็แบบที่บอกตอนแรก รัฐบาลทำให้ประเทศเจริญ พอเจริญ รายได้คนไทยเทียบเท่ากับประเทศที่พัฒนาแล้ว (อย่างเช่นญี่ปุ่น) เดียวความคิดคนก็จะเริ่มเปลี่ยนไปเอง ยอมซื้อ Windows ใช้ในราคาสี่พันกว่าบาท ยอมซื้อ WinRAR ในราคาเกือบพัน ฯลฯ
ผมเห็นแย้งว่าถ้าความคิดคนเปลี่ยนไปแล้วประเทศถึงจะเจริญได้ครับ
ถ้าเรายังไม่เปลี่ยนความคิดของคน ประเทศก็เจริญยากครับ
ถ้าเรายังใช้แต่ของผิดลิขสิทธิ แล้วนักพัฒนาในประเทศจะเอาเงินที่ไหนมาพัฒนาล่ะครับ
onedd.net
ให้เปลี่ยนความคิดคนเรื่องนี้ผมว่ายากคับ ผมว่าอันดับแรกรัฐต้องพัฒนาประเทศก่อน เช่น ให้ทุกจังหวัดเจริญ ไม่ใช่แค่เมืองหลวง ให้รายได้ของประชากรเยอะก่อน เดียวอะไรๆก็คงจะดีขึ้นเองแหละคับ ระหว่างนั้นนักพัฒนาในประเทศก็อยู่แบบเดิมไปก่อน พออย่างอื่นเจริญหมด เดี๋ยวปัญหาเรื่องนี้ก็หมดไป
ผมไม่แน่ใจว่าถ้าคนมีรายได้เยอะกันหมดแล้วจะซื้อซอฟต์แวร์แท้กันหมดหรือเปล่า ลองดูโปรแกรมบนมือถือก็ได้ขนาดราคาไม่แพงเท่าไหร่ คนที่ซื้อมีเยอะเท่าไหร่คนที่ให้ที่ร้านลงให้มีเท่าไหร่
ถึงต้องเปลี่ยนความคิดคนไงครับ
เปลี่ยนให้รู้จักเคารพสิทธิของคนอื่น เหมือนกับที่เราบอกว่าอย่าขโมยของน่ะครับ
onedd.net
เพ้อเจ้อแล้วครับ
คุณมีวิธีอะไรที่เป็นรูปธรรมในการเปลี่ยนความคิดคนได้ครับ เอาไฟฟ้าช็อทสมองเหรอ?
คุณจะไปยัดเยียดศีลธรรมของคุณให้กับคนอื่นได้ยังไง เอาจริงๆ คุณไม่มีสิทธิ์ด้วยซ้ำ ทุกคนมีเสรีภาพที่จะมีความคิดแบบไหนก็ได้
สิ่งที่ทำได้คือการจัดสภาพแวดล้อม ให้คนเราเข้าใจได้เองว่าต้องกระทำแบบไหน สิ่งสำคัญไม่ใช่ความคิดแต่เป็นการกระทำ ไม่ว่าจะคิดดีหรือคิดชั่ว แต่ถ้าสิ่งแวดล้อมมันสนับสนุนให้ทำดี คนชั่วก็จะทำดีได้
และเมื่อใครๆก็ทำดี ทำดีแล้วได้ดี เมื่อนั้นแหละคนเราถึงจะเริ่มอยากคิดดี อยากเปลี่ยนความคิด
จิตสำนึกมันไม่ได้เกิดขึ้นมาเอง และมันยัดเยียดกันไม่ได้ด้วย มันเกิดจากการตระหนักว่าเมื่อคิดแบบนี้แล้วจะได้ผลประโยชน์ คิดแบบนี้แล้วดีต่อชีวิตมากกว่า เหมือนความเกรงใจ มันไม่ได้เกิดจากการนั่งท่องว่าความเกรงใจเป็นสมบัติของผู้ดี แต่มันคือการตระหนักรู้ว่าคนอื่นจะไม่พอใจเมื่อเราทำอะไรบางอย่างกับเขา
แต่การที่คนเราจะเอาใจเขามาใส่ใจเราได้ คนๆนั้นก็ต้องเคยผ่านเหตุการณ์และสภาพแวดล้อมบางอย่างที่ทำให้ตระหนักรู้ แต่ก็ต้องมีชีวิตที่ปกติสุขมากพอที่จะใส่ใจคนอื่นได้ เพราะถ้าลำบากจนไม่รู้จะทำยังไง คนๆนั้นก็ยังต้องคิดถึงตัวเองก่อนอยู่ดี
ที่คุณบอกมามันไม่ใช่วิธีการเปลี่ยนความคิดเหรอครับ
ถ้าใช่ก็ขอบคุณครับที่ช่วยอธิบายให้ผม
onedd.net
ในระยะหลังๆ คนที่เล่นเกมก็เริ่มซื้อแผ่นแท้เหมือนกัน คิดว่าหลังๆ มานี้คนก็เริ่มเข้าใจถึงความสำคัญของการอุดหนุนแผ่นแท้ แต่บางครั้งเหตุผลก็อาจจะเป็นเพราะว่าเป็นแฟนของค่ายนี้ของเกมนี้ด้วยจึงทำให้ลงทุนซื้อแผ่นแท้ แต่โปรแกรมจะมีคนที่ซื้อแผ่นแท้ด้วยเหตุผลนั้นหรือเปล่าก็ไม่รู้
เขาจะบอกว่าเปลี่ยนไม่ได้น่ะครับ lol
ถ้าคุณเรียกสิ่งนี้ว่าการเปลี่ยนความคิด การที่รัฐบาลจะต้องพัฒนาประเทศและสร้างความเจริญให้ได้ก่อนมันก็รวมอยู่ในนั้นด้วยครับ
ดังนั้นการที่คุณออกมาพูดว่าต้องเปลี่ยนความคิดก่อนก็เป็นสิ่งที่ Paradox และเพ้อเจ้อ
ถ้าเป็นเรื่องพัฒนาคน ผมเห็นคุณไธน่ามักจะโทษปัจจัยภายนอกก่อนเสมอ ในขณะที่ผมเห็นว่าคนยากจน ปากกัดตีนถีบหลายคนก็สอนให้ลูกๆ เป็นคนดีของสังคมได้ ผมว่าการที่ใครจะสอนลูกให้เป็นคนดี ไม่เห็นจะเกี่ยวข้องกับคนอื่นเลยครับ
หลายประเทศที่เราเห็นว่าเจริญแล้วก็ยังมีฆาตกรต่อเนื่อง มีเด็กเก็บกด มีโจร มีขโมย ทั้งๆ ที่ิอัตราค่าครองชีพ และความเจริญทางวัตถุก็สูงกว่า มีรัฐบาลที่ดูแล้วน่าจะดีกว่า ในแบบที่เรียกว่าบ้านเราเทียบไม่ได้ด้วยซ้ำ
ในโลกนี้มันจะมีคนที่ เพราะรวยเลยไม่ต้องเลว รวยแต่ก็ยังเลว จนแต่ก็ไม่ชั่ว และจนเลยต้องชั่ว ปะปนคละเคล้ากันไปเสมอครับ อย่างน้อยการทำให้คนมีกินมีใช้ ก็จะลดคนที่ทำเลวไปประเภทนึง
ในขณะที่คุณเห็น [คนยากจน ปากกัดตีนถีบหลายคนก็สอนให้ลูกๆ เป็นคนดีของสังคมได้] ในสังคมก็ยังมี [คนยากจน ปากกัดตีนถีบ] อีกหลายๆคน ที่สอนลูกให้เป็นคนดีไม่ได้ และ [คนยากจน ปากกัดตีนถีบ] อีกหลายๆคนที่ไม่มีเวลาที่จะสอนลูกด้วยซ้ำ
บางคนไม่ยากจน แต่ที่เขาไม่ยากจนก็คือทำงานที่ต้องปากกัดตีนถีบ งานอาจจะได้เงินดีแต่เป็นงานหนักที่กินเวลา และถ้าตกงานไปก็หาใหม่ไม่ได้ ออกไม่ได้ เลิกไม่ได้ ซึ่งนี่เป็นแพทเทิร์นของชนชั้นกลางทั่วไปที่ไม่มีเวลาสั่งสอนลูก ไม่มีเวลาให้ครอบครัว
คนเราทำอะไรตามสิ่งแวดล้อมครับ คนที่เป็นคนดีในวันนี้ ถ้าไปอยู่ในสังคมที่ความดีไม่มีประโยชน์และหนีไม่ได้ เขาก็มีแต่ทางเลือกแค่ว่า เสียอะไรในชีวิตไป กับปรับตัวตามนั้น
ถ้าคุณไปอยู่ในเมืองที่ตำรวจเป็นพวกเดียวกับมาเฟีย คุณจะยึดถือความดีได้อยู่รึเปล่า
คำว่าสิ่งแวดล้อม ปัจจัยภายนอก ไม่ได้มีแค่สภาพเศรษฐกิจ แต่สภาพเศรษฐกิจก็เป้นส่วนสำคัญในการที่จะทำให้คนในสังคมไม่เป็นคนเลว การที่คนเรามีค่านิยมบูชาความสบายก็เพราะตัวเองลำบาก เป็นทุกข์ ไม่พอใจ และเราจะไปยัดเยียดพระพุทธศาสนาให้คนอื่นก็ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง คนเราควรได้มีชีวิตของตัวเอง ได้มีหนทางของตัวเอง การมีสังคมขึ้นมาแล้วมีคนตกเป็นเหยื่อของสังคม ถูกขูดรีดจากระบบ คือเรื่องที่ถูกต้องรึเปล่า แล้วจะให้คนทำใจสบายๆ ยอมรับมัน ปล่อยวาง ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไรทั้งนั้น งั้นรึ?
แน่นอนว่าความเจริญทางวัตถุเพียงอย่างเดียวไม่ได้ทำให้คนในสังคมเป็นคนดีขึ้นมาทันตาเห็น แต่ถ้าจะบอกว่าทำให้คนเป็นคนดีโดยไม่พึ่งความเจริญทางวัตถุ ผมว่าเป็นเรื่องที่เพ้อเจ้อ และพวกที่อ้างความเจริญทางจิตใจ เนื้อแท้คือเป็นเผด็จการทางความคิด ที่คิดแต่จะยัดเยียดความดีของตัวเอง คิดแต่ว่าทุกคนควรจะคิดเหมือนเรา แล้วจะเป็นคนดีเหมือนเรา
แล้วมันเท่าบ้านเรารึเปล่าล่ะครับ? เอาหารจำนวนประชากรด้วยนะ แล้วไปเทียบกับประเทศที่แย่กว่าเราด้วยก็ดีว่าอัตราส่วนมันแค่ไหน
บ้านเราใช่ว่าจะไม่มีเด็กเก็บกด ไม่เคยมีฆาตกรต่อเนื่อง ไม่มีฆ่าข่มขืน ซะที่ไหน และโจรขโมยบางส่วนก็เกิดจากสภาพเศรษฐกิจที่กระจายทรัพยากรไม่ทั่วถึง ข้าราชการที่หละหลวม นี่ก็เป็นสิ่งแวดล้อมทั้งนั้น
ที่คุณพูดมาก็เห็นว่ามันวนเวียนอยู่รอบตัวคน ยังไม่เห็นเกี่ยวกับอะไรอย่างอื่นเลย ส่วนอัตราส่วนโจรมันบอกได้ด้วยเหรอครับว่าเกี่ยวข้องกับความเจริญ
บ้านเมืองเจริญแล้วแต่ยังมีคนเป็นโจรนั่นแสดงว่าเป็นที่ตัวคนไม่ใช่หรือครับ ทำไมไปเอาอัตราส่วนมาตีความแทน
ความเจริญเป็นปัจจัยครับ สาเหตุหลักคือการอบรมสั่งสอนเลี้ยงดู เพราะคนถูกความเจริญครอบงำ และมีความเจริญของคนอื่นเป็นตัวเปรียบเทียบก็เลยทำเลว คนรวยที่เลวๆ ยังมีเลยครับ
อย่าบอกนะครับว่าคนรวยที่เลวๆ อัตราน้อยกว่าคนรวยที่ดีๆ
โอเค ผมเข้าใจละ
ผมควรจะใช้ว่า คนไทยเปลี่ยนความคิด มากกว่า เปลี่ยนความคิดของคนไทย ถึงจะถูกสินะ
ตรงนี้ผมมองว่าถ้ารอให้ประเทศพัฒนาแล้วหวังว่าปัญหาจะหายน่ะมันไม่แน่นอนว่าจะหายจริง เอาเข้าจริงก็อ้างนู่นอ้างนี่ใช้ของผิดกฎหมายอยู่ดี
แต่ถ้าเราให้ความสำคัญกับสิทธิทางปัญญามากกว่านี้ หรือให้คนไทยสนับสนุนผลิตภัณฑ์ในประเทศมากกว่านี้มันก็น่าจะดีกว่ารอให้ประเทศเจริญก่อนไม่ใช่หรือ
ส่วนเรื่องทำยังไงก็อาจจะต้องเริ่มที่การบังคับใช้กฎหมายซึ่งตรงนี้ก็จะขึ้นกับนิยามของแต่ละคน และคุณก็อาจจะบอกผมว่าก็เป็นเรื่องการพัฒนาประเทศได้อีกอยู่ดี
onedd.net
ก็ยิ่งต้องกลับไปคำถามเดิมแหละครับ
คุณมีวิธีการอะไรที่เป็นรูปธรรมในการที่จะทำให้ "คนไทยเปลี่ยนความคิด" ได้ล่ะ?
ตรงกันข้ามเลย คุณจะรอให้คนเปลี่ยนความคิดให้ได้อย่างที่คุณต้องการมันต้องใช้เวลากี่ชาติ ไม่มีวัน คนเราจะเปลี่ยนความคิดตามสิ่งแวดล้อม สภาพสังคม ระบบในเวลานั้น คุณพูดแต่ว่าจะส่งเสริม แล้วใครเขาจะทำตามคุณ ขนาดในหลวงท่านแนะแนวทางปรัชญามากมาย คนที่เอามาดัดแปลงแล้วพูดออกสื่อเอาหน้าก็ไม่เห็นจะทำตาม
ผมว่าคุณไม่เข้าใจอะไรเลย การพัฒนาความเจริญก็เป็นก้าวแรกที่สำคัญ เป็นพื้นฐาน เป็นสิ่งที่ใช้ลบข้ออ้างว่าไม่มีเงินดังนั้นออกเงินซื้อไม่ได้ ไม่มีเงิน ไม่รวย ดังนั้นถ้าเลี่ยงที่จะจ่ายได้ก็เลี่ยง เมื่อข้ออ้างหมดไปข้อหนึ่ง แรงจูงใจที่จะซื้อก็จะเพิ่มขึ้น และถ้ามีแรงอื่นๆมาสนับสนุน มันไม่ใช่ว่า ทำแล้วได้ทันที แต่มันคือการปรับทุกส่วนให้พร้อม เหมือนคุณสร้างปิรามิด มันไม่ใช่แค่วางหินซ้อนๆกัน วางสามเหลี่ยมบนยอดแล้วเสร็จ มันต้องมีทั้งการปรับฐาน การสร้างนั่งร้าน ปูพื้น ทำเส้นทางขนวัสดุ ทุกอย่างเป็นเรื่องสำคัญจะขาดขั้นใดขั้นนึงไม่ได้
การออกกฏหมายเข้มงวดไปเรื่อยๆ โดยที่ประเทศไม่มีความเจริญ มันก็กลายเป็นประเทศที่อยู่ยาก กฏหมายมีช่องโหว่ก็ทำให้คนเอาเปรียบกัน กฏหมายมันก็มีขอบเขตของมันไม่ใช่เครื่องมือที่แก้ไข ภาษิตจีนมีว่า ยิ่งมีกฏหมาย ยิ่งมีโจร เลยด้วยซ้ำ
สิ่งที่ยากที่สุดในโลกนี้คือใจของคน คนมีหลากหลายเป็นร้อยเป็นพัน เราควบคุมไม่ได้ ยัดเยียดไม่ได้ ตรงกันข้าม เศรษฐกิจ สาธารณูปโภค สิ่งจำเป็นพื้นฐาน สิ่งแวดล้อม สังคม สามารถควบคุมได้ด้วยรัฐบาล การบริหาร นิติศาสตร์ การออกแบบระบบ เราทำให้คนทุกคนเป็นคนดีไม่ได้ แต่เราทำให้ทุกคนคิดอยากทำดีได้
ถ้าหากการทำดีมีผลตอบแทน แม้แต่คนเลวก็จะทำดี แต่ถ้าการทำดีไม่มีอะไรตอบแทน แม้แต่คนดีก็ไม่อยากเปลืองตัว
ผมคงไม่ต้องบอกวิธีเป็นรูปธรรมนะครับ เพราะนี่ไงครับ ผลของการส่งเสริม แล้วใช้เวลากี่ชาติ ถึงจะดูไม่มาก แต่ก็ทำให้ BSA กังวลได้ ถ้าบอกว่ามันช้า ใช้เวลานาน ก็ไม่เป็นไรผมรอได้ ยังไงผมก็ไม่ได้หวังว่าปัญหานี้จะหมดไปในเวลาสิบปีอยู่แล้ว :)
หลังๆ ผมเห็นว่าคนรอบข้างเริ่มเปลี่ยนความคิดจาก ใช้ของผิดลิขสิทธิตลอดมาเป็น เราได้ประโยชน์จากการใช้มัน ก็น่าจะจ่ายเงินซื้อบ้างเยอะนะครับ แล้วมันไม่ได้ใช้เวลามากเลย ตรงนี้ผมไม่ใช่เพราะประเทศเราเจริญขึ้นหรอกครับ แต่น่าจะเพราะมีช่องทางการจ่ายเงินที่ดี แล้วก็ราคาสมเหตุสมผลมากกว่า ดังนั้นถ้าจะให้ผมยกตัวอย่างวิธีการเริ่มที่ง่ายที่สุดก็จะเพิ่มหรือทำช่องทางการจ่ายเงินให้ง่ายและสะดวกกว่าบัตรเครดิตนั่นแหละครับ
ถึงจะบอกว่าทั้งประเทศจะคิดแบบนั้นไม่ได้หมดก็ตามไม่ต้องถึงขั้น 30-40% เอาแค่ 5-10% ก็น่าจะดีกว่านี้แล้วไม่ใช่เหรอครับ ให้เปลี่ยนหมดทุกคน ทั้งประเทศ 100% ผมว่ามันเพ้อฝันจริงๆ นั่นแหละ ซึ่งผมก็ไม่ได้หวังถึงขั้นอยู่แล้วเช่นกัน
ส่วนเรื่องกฏหมาย ไม่ได้หมายถึงให้ออกใหม่ครับ แต่หมายถึงที่มีอยู่ให้ใช้อย่างเข้มงวด ไม่งั้นคนก็จะคิดว่าผิดแล้วก็ยัด ไม่มีปัญหา
แน่นอนว่าการพัฒนาประเทศมันก็จำเป็น ผมก็เชื่อว่าโจรเยอะส่วนหนึ่งก็เพราะประเทศมันไม่เจริญ แต่ถ้ามัวแต่คิดว่าถ้าประเทศเจริญแล้วโจรจะน้อยลงไปเองมันก็น่าจะไม่ใช่ความคิดที่ถูกนี่ครับ
onedd.net
คิดเหมือนผมครับ แล้วถ้าสมมติถึงเวลาที่ประเทศเราเจริญไปแล้ว แล้วยังมีโจรอยู่ล่ะ
ถึงเวลานั้นค่อยมาแก้ที่ตัวคนเหรอครับ? (ถามคุณไธน่า)
ผมตอบตามความคิดเห็นของผมนะครับ ความเจริญมีส่วนอย่างมากที่จะเพิ่มโอกาสให้คนไม่ทำผิดและนี่ก็คือความจริงครับ ผมยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น กรณีหญิงขายบริการบางคนที่อ้างว่าต้องการนำเงินไปรักษาแม่ที่ป่วย
A: ทำไมถึงต้องมาเป็นหญิงบริการ?
B: ต้องการนำเงินไปรักษาแม่ที่ป่วย
A: ทำอาชีพอื่นไม่ได้เหรอ?
B: ทำไงได้ก็ดิฉันเรียนมาน้อย บ้านจนค่ะ ไม่มีตังเรียนต่อ งานดีๆ ได้ตังเยอะๆ ใครจะมาจ้างคะ
A: อืม....
ที่เขียนมานี่ไม่ได้ปฏิเสธความคิดนี้นะ เพราะได้ยินบ่อยเหมือนกัน เพราะว่าจนเลยต้องทำอะไรอย่างนี้ เพราะว่าจนเลยต้องปล้น ต้องขโมย บางคนที่ปล้นธนาคารอาจจะต้องการเอาเงินไปรักษาคนสำคัญของเค้าก็ได้
แต่มองอีกมุมนึง มันเป็นเพราะว่าสังคมไม่ให้โอกาสหรือมีช่องทางกับคนที่ low profile หรือเปล่า
คนที่จบต่ำ ทำอาชีพอะไรได้ไม่มากนัก เคยคิดอยู่เหมือนกันว่าถ้าสมมติว่าอาชีพเขียนการ์ตูนเกิดบูมขึ้นมา ถ้าใครเขียนดังขึ้นมาก็มีรายได้เข้ามาเยอะ คนที่ไม่ได้จบสูงก็มีโอกาสทำเงินมากๆ อยู่
แต่ตอนนี้ที่เป็นคือไม่มีช่องทางไม่มีโอกาสที่ให้คนที่ low profile ทำเงินได้เยอะๆ เลย เมื่อเค้าตันในชีวิต ก็ต้องมาทำสิ่งเหล่านั้น
อาชีพที่พอนึกออกตอนนี้ก็มีนักกีฬา ที่ฮิตๆ กันก็มวย
" แต่มองอีกมุมนึง มันเป็นเพราะว่าสังคมไม่ให้โอกาสหรือมีช่องทางกับคนที่ low profile หรือเปล่า คนที่จบต่ำ ทำอาชีพอะไรได้ไม่มากนัก "
ไม่ใช่ไม่อยากให้โอกาสหรอกครับ แต่เพราะถ้าให้โอกาสแล้วมันทำให้เขาเหล่านั้นตกอยู่ในความเสี่ยง ก็ไม่มีใครกล้าที่จะเสี่ยงด้วยใช่มั้ยล่ะครับ เพราะเหตุนี้สังคมมันถึงต้องมีการพัฒนาโดยให้ทุกคนไม่เดือดร้อนในปัจจัยพื้นฐานก่อนยังไงล่ะครับ
กลับไปอ่านสิ่งที่คุณหาว่าผมเขียนวนเวียนซะใหม่แล้วคุณจะพบคำตอบครับ
คารวะหนึ่งทีครับ
นานๆ จะเห็นตอบบรรทัดเดียว แถมช่วงนี้บังคับไม่เกินแปด :)
onedd.net
ผมเคยเห็น คนดีที่ไม่ขึ้นกับสภาพแวดล้อมครับ
Visual Studio 2010 ใช้รุ่น Express ก็ได้นะครับ ไม่มีความจำเป็นต้องละเมิดลิขสิทธิ (ยกเว้นแต่คุณต้องใ้ช้ความสามารถระดับโปรนั่นอีกเรื่องนึง ซึ่งความจำเป็นของคุณอาจจะมี (แต่ผมไม่มี 555)) แต่จริง ๆ โปรแกรมหากินหลักนี่ผมว่าคุณควรจะซื้อนะ :-)
ประเทศเจริญต้องเริ่มที่คนครับ ผมไม่คิดว่า ต่อให้รัฐบาลสามารถเพิ่มรายได้ของคนไทย จะทำให้ความคิดคนไทยเปลี่ยนแปลงได้ ผมเชื่อว่าคนจะรวยจะจนก็ยังคงเอาเปรียบคนอื่นอยู่เป็นเรื่องปรกติ
ทุกวันนี้ผมก็เจอทั้งคนที่รวยกว่า และจนกว่า เอาเปรียบผม เป็นเรื่องปรกติ ทั้งเด็ก และผู้ใหญ่ เมื่อวานผมโดนเด็กอายุต่ำกว่า 15 (น่าจะราว ๆ 8-10ขวบ) กรรโชกทรัพย์ที่สี่แยกตรงคลองเตย วันนี้ผมโดนคนขับ Honda Accord (ซึ่งแพงกว่ารถผมเท่าตัว) ขับละเมิดสัญญาณลูกศรบนพื้นถนน (ในขณะที่ผมต้องทนรอรถติดอยู่ ... ถูกเอาเปรียบมั้ย??)
ผมไม่เชื่อว่า ถ้าคนไทยมีรายได้มากกว่านี้ 10 เท่าตัว เหตุการณ์ในงาน 3G ของ DTAC จะไม่เกิด
คนเรามันจะเอาเปรียบคนอื่นมันไม่ใ่ช่เพราะความจำเป็นครับ มันเพราะความเห็นแก่ตัวต่างหาก ซึ่งผมบอกได้ว่ามันเป็นสิ่งที่มีอยู่ในทุกคน มันเป็นสัญชาติญาณการอยู่รอด แต่มันขึ้นอยู่กับว่าใครมีมากน้อย ผมเชื่ออีกอย่างว่าขนบธรรมเนียมประเพณีเป็นสิ่งที่สอนให้เราเป็นอย่างที่เป็น และผมเชื่อลึก ๆ ว่าประเพณีไทยสอนให้คนเป็นคนเห็นแก่ตัวครับ (อันหลังไม่มีหลักฐานจะอธิบายครับ เอาเป็นว่าเป็นความเชื่อส่วนตัวละกัน)
มันอยู่ที่ว่าเราจะมีกลไกรับมือกับความเห็นแก่ตัวตรงนี้อย่างไรต่างหาก
ผมใช้ Visual Assist X (ของแท้) เลยใช้ Express ไม่ได้ อีกอย่าง Express มันไม่มี Resource Editor (ผม C++ แบบ Native นะคับ ไม่ใช่ .NET)
อย่างที่ผมบอกแหละคับ ซื้อได้ผมก็ซื้อ ถ้ายังซื้อไม่ได้ก็ลองหาทางใช้ของฟรีดู ถ้าใช้ไม่ได้ ถึงจะใช้ของเถื่อน (ตอนนี้ตัวผมยังไม่มีปัญญาจ่ายเงิน 18,000 บาท)
ความคิดผมคือ พอรายได้คนไทยเพิ่มขึ้น ความคิดต่างๆจะเริ่มเปลี่ยนไป เริ่มจะเห็นการใข้ของผิดลิขสิทธิ์ไม่ดี (และดูไม่เท่ห์?)
ผมก็ยังคงยืนยันคำเดิมคือ เมื่อประเทศพัฒนา ปัญหาหลายๆอย่างจะหายไป ผมคิดแบบนี้ละ
ถ้าลองมองมุมกลับ ที่เราเห็นอีกอย่างคือ App บนมือถือราคาถูก - ถูกมาก ๆ (บางตัว 20-30 บาทเอง) เราก็ยังคงเห็นคนที่โหลดผ่าน Repository เถื่อน (บน Cydia) อยู่ ส่วนนึงเพราะไม่มีระบบการจ่ายเงินรองรับ (Apple รับเฉพาะบัตรเครดิต) แต่อีกส่วนนึงก็เพราะว่าคนมองว่า การเสียเงินซื้อในขณะที่มีวิธีที่ได้มาฟรี เป็นเรื่องโง่เขลา
นี่ยังไม่นับไอ้ App ถูกต้องที่ละเมิดเงื่อนไขของ Apple (ที่ให้โหลดตามร้าน) นะ ผมไม่มั่นใจว่าเข้าข่ายหรือเปล่า แต่ส่วนตัวคิดว่าเข้า
ที่พูดมาไม่ได้พูดถึงประเทศไทยที่เดียวหรอกครับ ที่ไหนก็เป็น มันเป็นธรรมชาติมนุษย์น่ะครับ
ปล. ส่วนตัวผมมองว่า VA เป็นเรื่องที่... ไม่ได้สำคัญอะไรเท่าไหร่ที่จะถึงขั้นจะต้องใช้ตัว VS2010 pro แต่ Resource Editor นี่ก็ใช่ครับ ... ตอนแรกผมนึกว่าเป็นเรื่องพวก Source Control ซะอีก 555
ผมไม่ได้เข้ามาว่าอะไรนะครับ
ผมเชื่อว่าโปรแกรมเมอร์ส่วนใหญ่บ้านเราก็เริ่มจากของเถื่อนทั้งนั้น ผมเองก็เถื่อนมาตั้งแต่ VB4 ตอนนี้มีรายได้ก็อุดหนุนไมโครซอฟท์ไปหลายรายการครับ
แต่ตอนนี้มีอย่างเดียวที่ใช้ไม่ยอมเสียเงินคือ VB Express 2010 ครับ เพราะว่าความต้องการในงานของผมมันไม่เยอะเท่าของคุณ
สรุปสั้นๆ มีโอกาสอย่าลืมอุดหนุนสินค้าถูกกฏหมายนะครับ
ไปสมัคร WebsiteSpark แล้วโหลด Visual Studio มาใช้เสีย ฟรี ไม่เสียตัง ถูกกฏหมาย
ส่วนเรื่องที่บอกว่าคนไทยขี้เกียจจึงขโมย ทำให้คนไทยรวยขึ้นเพื่อจะได้เลิกขโมย ผมว่ามันฟังดูไม่เข้าทีนะ อย่างน้อยก็ผมไม่ขี้เกียจไม่ขโมย
แต่พูดก็พูดนะ ...
ของที่ถูกต้องนี่บางทีก็หาซื้อยากกว่าของละเมิดลิขสิทธิหลายเท่าเลยครับ ทุกวันนี้ผมไม่สามารถหาแผ่น CD ของ โจ-ก้อง [รวมกันเฉพาะกิจ] ได้หลังจากเดินหามาหลายที่แล้ว (ออกตั้งแต่ผมอยู่ม.ต้นอ่ะครับ) แต่ถ้าจะหา MP3 นี่มันง่ายกว่าเยอะเลย
บางทีผมก็อยากรณรงค์ว่า อะไรที่ไม่คิดจะขายแล้วก็แจกได้นะ แต่ก็คิดว่าถ้าทำงั้นแล้วคนก็คงไม่ซื้อแล้วรอรับของแจกอย่างเดียวล่ะมั้ง
พูดเรื่องเพลงแล้วช้ำใจครับ
ต่างประเทศแบนไทยเกือบหมด ห้ามซื้อเพลงผ่านระบบออนไลน์ จะซื้อต้องซื้อเป็น CD, DVD แล้วให้ส่งมาที่ไทย
แต่ผมก็ลองสั่งนะครับ ปรากฏว่าไม่ส่งมาไทยเพราะว่าไทยมีตัวแทนจำหน่ายของค่ายนั้นๆ ครับ แต่ไม่มีเพลงที่ผมต้องการ
เรื่องแอพ (เกม) มือถือก็ช้ำใจครับ T-T
Jusci - Google Plus - Twitter
ระบบ AppStore กำลังจะแก้ปัญหาซื้อ Software ยาก ซึ่งจะทำให้ปัญหาเหลือแค่การตัดสินใจว่าจะจ่ายเงินซื้อหรือไม่แค่นั้น(รวมถึงมีปัญญาหรือไม่นะ) แนวโน้มการจ่ายเงินแบบเช่ากำลังจะมาด้วยสำหรับ Software ระดับสูง ๆ
ที่ทำงานผมตอนนี้ Linux server 2 ตัว
สำหรับเครื่องลูก WindowsXP (ไลเซ่นส์), LibreOffice, IrfanView, Firefox, ThunderBird, PDFCreator, FoxitReader, LexitronDict, CCleaner, GOM Player, 7zip
ตัวที่ยากที่สุดในการเปลี่ยนแปลงคือ LibreOffice/OpenOffice นรกสำหรับไอที เหนื่อยมาก จิตตก หลังจากที่ใช้มาได้พักใหญ่ๆๆๆๆๆ ผู้ใช้บอกว่าไม่ยากแต่มันสับสนกับของเดิม (คุ้นเคยกว่า)
แต่มันใช้ยากกว่าจริงๆ ยอมรับ
ปัญหาของ Linux หลักๆ คือ UX ห่วย
ลอง Lotus Symphony ดูครับ เผื่อจะง่ายขึ้นบ้าง
Jusci - Google Plus - Twitter
ออกอาการห่วงเงินเข้ากระเป๋าอย่างชัดเจน ถ้า Opensource ตอบสนองต่อความต้องการของผมได้ก็จะใช้งาน แต่ถ้ามีบั๊กประปรายจุกจิกหรือมัวแต่มายุ่ง terminal อยู่อีกคงต้องขอไปใช้ซอฟท์แวร์สำเร็จรูปที่พร้อมและตอบสนองต่อผมดีกว่า
ปล.ผมใช้มันทั้งคู่แหละ
ซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สช่วยแก้ปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ได้น้อยมาก (insignificant impact)
อันนี้น่าจะจริงของเขานะ
twitter.com/djnoly
ส่วนตัว Open Source หลายตัวใช้แล้วรู้สึกดีกว่า Commercial Product อีกนะ
ส่วนตัว ผมใช้ open source กับ freeware บางตัวเพราะมันไม่ต้องแค้กกก ดูหนัง ดูรูป ไรท์แผ่น เขียนโปรแกรม พยายามหาตัวลงง่ายๆ (แต่ต้องบอกอย่างอายๆ ว่าผมมีพอร์ทเทเบิลแอฟในเครื่องสองตัว ..ก็คนมันขี้เกียจแค้กกก)
ถ้าลองมองในอีกมุมนึง การเน้น software opensource มากๆ ทำให้ธุรกิจ software ไม่ค่อยกระเตื้อง เพราะไม่ค่อยมีการจ้างงานเท่าไหร่เนื่องจากว่าการทำ software opensource อย่างนึงที่ต้องยอมรับคือไม่ค่อยได้เงินจากการทำเท่าไหร่ ส่งผลให้ไม่ค่อยมีการจ้างงาน
ธุรกิจถ้ามีเงินดี การจ้างงานก็เพิ่ม เมื่อมีงานเยอะๆ ก็มีการพัฒนาโปรแกรมไปเรื่อยๆ โปรแกรมใช้งานดีๆ ก็จะมีขึ้นมาเรื่อยๆ ดูอย่างโปรแกรม 3D บริษัทที่ทำโปรแกรม 3D ขายต้องมีการปรับปรุง feature ใหม่ขึ้นมาเรื่อยๆ ปรับปรุงการทำงานให้ดีขึ้นเรื่อยๆ เพราะว่าจะได้ดึงให้ลูกค้าซื้อมาใช้ ไม่งั้นลูกค้าก็จะไปซื้อของคู่แข่งมาใช้แทน คือมันจะมีแรงบีบทางธุรกิจให้พยายามปรับปรุงโปรแกรมขึ้นไปเรื่อยๆ ด้วย สุดท้ายก็จะได้โปรแกรมดีๆ ออกมา
open source มันก็ดีในมุมมองคนใช้เพราะว่าไม่ต้องเสียเงิน แต่ถ้าลองในมุมมองระบบธุรกิจ ก็อาจจะเห็นเป็นอีกอย่างก็ได้
ผมจบโทจากการรับงาน Open Source ล้วนๆ เลยครับ Linux, LAMP, Drupal เงินทุกบาทที่ลงมาเป็น "ค่าจ้าง" ทั้งหมด อาจจะช่วยกับเพื่อนทำบ้างก็ยังคงเป็นค่าจ้าง ไม่มีค่า License หลุดออกต่างประเทศไทย
Open Source ไม่ใช่ของฟรีครับ ไม่สามารถเปลี่ยนมาใช้ โดยพูดว่า "เปลี่ยน" เฉยๆ ได้ กระบวนการทั้งหมดมีค่าใช้จ่าย มีการจ้างงาน และมีกำไรครับ ไม่งั้นไม่มีใครทำ
โปรแกรมเมอร์ในลินุกซ์เองส่วนมากก็ถูกจ้างมาครับ บริษัทมีผลประโยชน์บางอย่างในลินุกซ์ ต้องการให้ลินุกซ์มีบางฟีเจอร์ก็จ้างโปรแกรมเมอร์เข้าไปเสริม
อย่างใน Drupal ถ้าเข้าไปดูจะพบว่าโมดูลจำนวนมากได้รับการสนับสนุนโดย "บริษัท" บริษัทเหล่านี้หาเงินจาก Drupal แล้วอาจจะจำเป็นต้องสร้างโมดูลใหม่ๆ แต่ไม่อยากดูแลโค้ดต่อในระยะยาว ก็เปิดซอร์สเพื่อให้ชุมชนดูแลกันต่อไป (รับงานได้เงิน, เปิดซอร์สได้หน้า, ลดค่า maintainance)
ระบบพวกนี้ไม่ใช่ระบบการกุศลครับ มีเงินหมุนเวียนเป็นระบบเศรษฐกิจอีกแบบที่เราอาจจะนึกภาพกันยากหน่อยเพราะไม่มีซอฟต์แวร์เป็นกล่องๆ ขายกันตามร้าน
lewcpe.com, @wasonliw
จริงครับ
เห็นด้วยครับ โอเพ่นซอร์ส != ฟรี
เรื่องนี้ผมว่าลางเนื้อชอบลางยาครับ
ในตอนนี้ผมว่า "ความรู้" นี่แหละครับที่เป็นอุปสรรคของโอเพ่นซอร์สในตอนนี้
ถ้าองค์กรใช้ Linux เป็นเซิร์ฟเวอร์ก็คงต้องหาลูกจ้างที่มีความรู้เฉพาะทางมาดูแลอีก ผมไม่ใช่บอกว่ามันไม่ดีนะครับ แต่ด้วยความที่บุคลากรของไทยยังมีน้อยที่จะมีความรู้ความเข้าใจ ทำให้ค่าจ้างแพงขึ้นไปอีก
ผมชอบที่คุณ lew พูดไว้ข้างบน "ความง่ายมีราคา" .... นั่นแหละครับ... จ่ายค่าความง่าย แล้วก็หาบุคลากรมาใช้งานมันก็ง่ายด้วย
คุณ lew พอมีเรื่องเกี่ยวกับ business model ของโอเพนซอร์ส หรือเคยเขียนบล็อกเกี่ยวกับเรื่องนี้มั้ยครับ ผมสนใจครับ
เห็นคุณ lew เขียนมาอย่างนั้นก็รู้สึกสนใจในเรื่อง business model ของโอเพนซอร์สเหมือนกันครับ
อย่างนึงที่นึกได้คือได้ค่า implement ในการนำเอาโปรแกรมไปใช้กับธุรกิจ
ผมขอเสริมว่า มันมีโอกาสมากกว่านั้นอีกครับ
ทางผม อาจพูดไม่ได้ว่าทำงานกับ OSS ล้วน เพราะบางอย่าง ผู้ว่าจ้าง/บริษัทว่าจ้าง/ลูกค้า ไม่ยินดีที่จะเปิด Code ต่อต้นน้ำ สำหรับผมไม่ได้มองเรื่องค่า License หลุดออกนอกประเทศไทย แต่ผมเน้นที่ทุกสตางค์ของผมคือการทำเงินเข้าประเทศไทย บริษัทผมเป็นเงินเข้าประเทศมากกว่า 90% ของรายได้ทั้งหมดทุกปี ส่วนอีกไม่ถึง 10% ที่เป็นรายได้จากในประเทศนั่นคือลูกค้าเก่าแก่ยาวนาน
OSS เปิดโอกาสทางธุรกิจในอีกวิธีคิดหนึ่ง ซึ่ง... พูดเป็น Model สั้นๆ ได้ยากเพราะไม่ใช่สิ่งที่ผมถนัดเล่า แต่บอกได้ว่า ถ้าคุณมีความเป็น Geek อยู่ในตัว มีทั้งหัวพ่อค้าที่ดีพอ มี Vision ที่ไม่อยู่กรอบความคิดแบบ CSS คุณจะมองเห็นสิ่งที่ผมเห็นและทำมันได้ ตลาดที่ผมอยู่ ยังมีที่ว่างอีกมากครับ ขนาดที่ผมต้องปฏิเสธงาน และมีคิวงานรอถึงทำจนตลอดชีวิตก็ไม่หมด (ด้วยจำนวนบุคคลากรที่มีอยู่ตอนนี้) ดู Project ต่อไปที่ผมจะเริ่มต้นปีหน้า ลูกค้ารอมาถึง 10 ปีพอดี กว่าผมจะเริ่มเปิด Project ได้ เนื่องจาก "ตัวหมาก" ไม่ครบครับ หมายถึง กว่าจะสรรหาบุคลากรได้ครบพอที่จะเปิด Project ได้ ก็ 10 ปี
ในมุมนี้ ผมบอกได้ว่า OSS Staff นั้น มีค่าแรงสูงกว่ามาก จำนวนบุคลากรน้อยกว่า งานในตลาดน้อยกว่า แต่เมื่อเทียบสัดส่วนกับ Demand แล้ว มี % ความต้องการสูงกว่ามาก ในขณะที่ CSS ทั่วไป มีแรงงานในตลาดเหลือใช้ ราคาค่าแรงถูก แข่งกัน แย่งงานกัน เกินกว่าจำนวนงานจะมีให้ทำนัก งานชั้นดีๆ ในระดับลึก ก็อยู่ในมือของผู้ผลิต CSS กันหมด
พูดเฉพาะในธุรกิจ ผมกลับไม่เห็นว่า การเปลี่ยนมาใช้ OSS เป็นเรื่องยาก เพราะผมทำสำเร็จมาตลอด ผมบอกได้ว่า มันไม่ได้อยู่ที่ User ครับ มันอยู่ที่ Owner/Chairman ครับ สั่งเปลี่ยนก็คือเปลี่ยน ก็เท่านั้น เพราะ บริษัท คือเผด็จการครับ
ปัญหาอยู่ที่ เราทำให้ Owner/Chairman ทั้งหลายของแต่ละบริษัท รู้เรื่อง IT ตื้นลึกหนาบางแค่ไหน? และที่สำคัญ จะทำให้เขายอมลงมารู้ได้หรือเปล่า?
ความเห็นส่วนตัวของผมในเรื่องการผลักดัน OSS หากมีใครถามคือ... เราไม่จำเป็นต้องให้ความรู้ครับ, ไม่จำเป็นต้องผลักดัน User, ไม่จำเป็นต้องไปแตะต้องคนเหล่านั้นเลยครับ
แค่รัฐไปให้ความรู้ Owner/Chairman ก็พอครับ ผลักดันคนกลุ่มนี้ เขียนแผนให้พวกเขาเห็น พวกนี้ Vision ดีอยู่แล้ว เถ้าแก่กันทั้งนั้น เพียงแต่ เขาไม่รู้ ครับ
แค่นี้ User ในระบบจะเปลี่ยนเอง, Demand ตลาดจะเปลี่ยน, การศึกษาก็จะเปลี่ยนตาม โดยไม่ต้องไปแตะต้อง User เลย ทุกคนเรียบจบมาเพื่อทำมาหากินกันทั้งนั้นครับ ถ้านายจ้างส่วนใหญ่จะเอา Spec ไหน สถาบันก็เร่งปั้มแต่คนพวกนั้นออกมาครับ
คนระดับนั้นครับ ที่ผู้ผลิต CSS ทั้งหลาย เลี้ยงดูปูเสื่ออย่างดีเสมอ เพื่อไม่ให้ไปรู้อะไรที่ทำให้พวกเขาเกิด Vision
+1024
ถ้าทำให้หัวส่ายได้ ยังไงๆ หางก็ต้องกระดิกสินะ
ผมขอถามเป็นความรู้ครับ
ในกรณีของบริษัทที่ต้องติดต่องานกับลูกค้าโดยใช้ file format ที่ไม่ได้ support โดย OSS นั้นมีแนวทางอย่างไรพอจะพูดตรงนี้ได้มั้ยครับ
นอกจาก AutoCAD แล้ว การส่งเอกสารระหว่างประเทศเริ่มเป็น pdf นานมากแล้วครับ เริ่มประมาณ 15 ปีที่แล้วได้ (ผมประมาณจากช่วงปีที่ทางผมต้องปรับตัวตามฝรั่ง)
ผมขอยกคำตอบที่ผมเคยถูกถามมาใส่นะครับ ไม่อยากพิมพ์ซ้ำครับ
<-- ส่วนที่ยกมา ----------------------------------------------------------------------------->
เราเป็นบริษัทข้ามชาติครับ ปัญหาแบบนั้นเราไม่มี เพราะโดยธรรมเนียมปฏิบ้ติปกติแล้ว เขาส่งข้อมูลกันเป็น PDF เป็นเรื่องปกติครับ เห็นจะมีแต่คนไทยเท่านั้น ที่ส่งไฟล์กันเป็น Source format เลย
ปัญหาที่ถามมานี้ จึงเป็นปัญหาเฉพาะตัวของคนไทยจริงๆ ครับ แม้แต่ Laos และ Cambodia ก็ไม่มีปัญหานี้กันมาก ถ้าให้ผม เดา สาเหตุ ผมเดาไว้ 2 ประการ
ในการทำงานข้ามชาตินั้น นอกประเทศไทย ไม่ว่างจะส่ง Quotation, PO หรืออะไรต่างๆ เราส่งเป็น PDF กันหมดแล้วตามแบบ International มาเป็นเวลา 12 ปีแล้วครับ อะไรที่เป็นทางการ ต้องส่งด้วย email ของบริษัทเท่านั้น จึงจะมีผลบังคับและเป็นหลักฐานระหว่างกันได้ เพราะ email ของบริษัทเราและคู่ค้า ย่อมจะมี Automatic copy ไว้เสมออยู่แล้ว ข้อนี้เห็นจะมีแต่ประเทศไทยจริงๆ ครับ ที่มีปัญหา จึงทำให้เมืองไทยยังต้องมี Hard copy วิ่งกันให้วุ่น
<-- จบที่ยกมา ----------------------------------------------------------------------------->
ทีนี้สำหรับแนวทางตามที่ถาม หากทางผมเจอกรณีนั้นจริงๆ (ซึ่งก็มีอยู่จริง) มีวิธีแก้ไข 2 กรณีครับ
1) คิดค่าบริการลูกค้าเพิ่มขึ้น เพราะต้นทุนในการ Support ลูกค้าเพิ่มขึ้น ให้ลูกค้าเลือกเอาเอง ว่าจะสื่อสารโดยใช้ Open Format ในราคาเดิม หรือจะใช้ Close Format ในราคาที่ต้องเพิ่มอย่างน้อยก็ประมาณเท่ากับ 20,000 บาทไทยเป็นขั้นต่ำ
ถ้าลูกค้าเลือกอย่างหลัง เราจะเอาราคาที่เพิ่มนั้น ซื้อเครื่อง Computer ที่ Spec ต่ำสุด และซื้อ Licensed เฉพาะของ CSS นั้นเพื่อเปิดไฟล์นั้นดูเท่านั้นครับ
ทั้งหมดนี้ ลูกค้าจะได้ทราบทั้งหมด เพื่อเลือกครับ และที่ผ่านมา แต่โดยปกติลูกค้าจะส่ง Labtop พร้อมคนถือของตัวเองมาประจำการที่บริษัทผมโดยไม่ทันต้องได้เสนออะไรออกไปครับ
2) มีเป็นกรณีที่ "คู่ค้า" ต้องการเป็น Excel ครับ เช่น ธนาคาร เพื่อจ่ายเงินเดือนแรงงาน อย่างธนาคารการค้าต่างประเทศลาว จะรับเป็น Excel นั่นไม่ใช่เพราะ Software ของธนาคารเป็น Excel นะครับ ในกรณีแบบนี้ Excel ไม่ได้มี Credit ขนาดนั้น แต่เป็นเพราะ Software ของธนาคารสามารถ Import ไฟล์ Excel เข้าสู่ฐานข้อมูลได้ เพื่อโอนเงินตามคำสั่งเราเข้าสู่บัญชีของแรงงานทั้งหลาย
กรณีนี้ ก็ทำแบบเดียวกันกับธนาคาร คือเราก็ Export ของเราไปเป็น Excel ไงครับ ให้เป็น Excel 97 Version เลยด้วย เพื่อความแน่นอนว่า คู่ค้าเปิดไฟล์ได้แน่นอน ต้องเลือกให้เก่าไว้ก่อน และยิ่ง Version เก่าก็ยิ่งง่าย Developer เราใช้เวลาเขียน Plug-in ตัวเองแค่ 3 นาทีก็เสร็จแล้ว เพราะ OSS มี Support เต็มไปหมด แค่หยิบมาประกอบกันเท่านั้นครับ
ในกรณีที่ 2 นี้ ยังเกิดขึ้นได้จากสัญญาระหว่างงานด้วย เช่นเมื่อคู่ค้าต้องการให้คล่องตัวต่อเขาจริงๆ การรองรับ CSS Format จะถูกระบุใน Contract ด้วย ซึ่งการปฏิบัติต่อกันก็จะเป็นตามข้อ 1 คือ เพิ่มราคาเพื่อ Support เขา หรือเขาส่งเครื่อง/คนของเขามาประจำการ คือสรุปง่ายๆ คือ มี Exchange Operator ครับ
เรื่อง File format ไม่ใช่ปัญหาทางการค้าเลย แต่ถ้าคิดแบบ OSS ได้ จะเห็นว่า เป็นเรื่องของการ "ขายบริการ" ดังที่ผมได้แนะนำไปแล้วว่า "ถ้าคุณคิดนอกกรอบ CSS แบบเดิมได้ คุณจะมองเห็นโอกาสใหม่ๆ ครับ"
แค่เอามันขึ้นมาบนโต๊ะตั้งแต่แรก จากที่พวกคุณมองมันเป็นปัญหา มันกลับกลายเป็นโอกาสทางการค้าในทันทีครับ
ผมไม่เก่งเรื่องพูดเป็น Model อะไรนั่นนะครับ รู้แต่ว่าตัวเองมองออก และเห็นมันเป็นเรื่อง "หมูๆ" แต่ไม่รู้จะเผยแพร่ใน Format ที่ "นักวิชาการ" ถนัดนั่นยังไง (ไอ้ Business model นั่นแหละ ที่ผมเล่าใน Format นั้นไม่ได้ครับ)
ขอบคุณครับ ข้อมูลเป็นประโยชน์มากๆ เลยสำหรับผม
เหมือนผมให้คุณทำหน้าที่ consultant ยังไงไม่รู้ แต่ก็ขอหน้าด้านถามต่อเลยละกันครับ
พอดีว่าลูกค้าผมต้องทำการคีย์ข้อมูลลง Excel ไฟล์แล้วส่งข้อมูลมาให้ผม process เพื่อโยนข้อมูลเข้าระบบผม ในกรณีของผมลูกค้าเป็นผู้เลือกที่จะใช้ Excel ไฟล์เอง แล้วผมก็ต้องส่งจ่อให้ Third part ด้วยแบบนี้มีวิธีแก้ไขปัญหาอย่างไรครับ
ถ้าไม่สะดวกจะตอบ ผมเข้าใจครับ แต่ขอหน้าด้านถามไว้ก่อนครับ เพียงข้อมูลด้านบนที่ให้มาก็เป็นประโยชน์มากแล้ว
ขอบคุณอีกครั้งครับ
ขอบคุณคุณจักรนันท์ด้วยคนครับ
และก็รอฟังคำตอบด้วย scope งาน คล้ายๆ ที่ผมทำอยู่ มาเก็บข้อมูลบ้าง ^^
ยินดีตอบครับ ไม่สะดวกตอบตามความใจร้อนเท่านั้น เพราะผมตอบได้ตามเวลาว่างเอื้ออำนวยน่ะครับ บางครั้งก็ต้องรอกันนานหน่อย
และก็ต้องขออนุญาตคุณ mk และคุณ lew ไว้เลย สำหรับที่กำลังจะตอบคุณ PaPaSEK และคุณ superballsj2 ผมไม่แน่ใจว่ามันจะหลุดแนวทางของ blognone.com ไปหรือเปล่า? หากเกินประสงค์ของเจ้าของบ้าน ก็ขอให้เตือนผมได้เลยนะครับ
ผมจะตอบแบบสั้นๆ ก่อนนะครับ ไม่แตกเทคนิคลงไปมาก
จากที่ถามมา ด้วยคำถามเปิดกว้างมาก ดังนั้น ผมขอสมมติสภาพแวดล้อมในการตอบออกเป็นกรณีเหล่านี้ก่อนนะครับ
ในขณะที่ข้อมูล Excel ถูกสร้างขึ้นมา สภาพแวดล้อมที่ 1 ถึง 3 คือ Offline environment นะครับ สภาพที่ 4-5 คือ Online environment นะครับ
สำหรับ Offline Env. นั้น เงื่อนไขเดียวที่ต้องขอให้คู่ค้าทำคือ Save ใน Version เก่าๆ หน่อย เพื่อความแน่นอนครับ
กรณี Offline ทั้งหมด ต้องกำหนด Form ที่ชัดเจนกับคู่ค้า ว่าแต่ละ Row แต่ละ Column จะใส่อะไรกัน ส่วนทางผม ผมจะเตรียม Import application ง่ายๆ ไว้เลย ที่จะอ่าน Excel ตาม Form นั้น Query เข้า Database ครับ ซึ่งเขียนด้วย C ง่ายๆ เลย ทำงานบน Command line แล้วเตรียม API ใน Level ต่างๆ ไว้ให้คนอื่นเอาไปต่อยอดต่อไป ไม่ว่าจะเป็น PHP หรือ Java โดยมี Code เพียงแค่มา Execute เจ้าโปรแกรม Import ที่เขียนด้วย C ไว้นั่นเอง
นี่จะตอบโจทย์ Offline ทั้งหมดได้เลยครับ
สำหรับที่ส่งมาทาง email ผมก็จะสร้าง mailbox ไว้บน Server เฉพาะให้คู่ค้าส่งไฟล์ข้อมูลมาเลย แล้วก็มีรหัสตรวจสอบความถูกต้องของที่มา email ให้เรียบร้อย เขียน Code ให้ทำการ decode เอา Attach file ออกมา แล้วก็ส่งต่อให้ Query Application ที่เขียนไว้แล้วนั่นต่อไป แล้วทำการ email ส่ง Result ให้คู่ค้าทราบต่อไป
ในกรณีที่ Upload ทาง Web ก็ทำนองเดียวกับ email ครับ
ทั้งหมดจึงเป็น Automatic ครับ ถ้าคู่ค้าส่งใส่สื่อต่างๆ มา เราก็มา Upload เข้า Server เราเอง หรือส่ง email เข้า MailBox เฉพาะที่เตรียมไว้เอง
ทีนี้มากรณี Online บ้าง อันนี้ยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่ เพราะผมเคยเจอกรณียุ่งยากมากๆ มาแล้ว คือมีหลายระบบในเครือข่ายมาก
สำหรับ Windows Client ผมอาศัย ODBC ครับ แล้วทำ Excel Form ให้เขากรอกเลย และที่กรอกก็ Query เข้า Server เราเองเลยโดยตรงครับ
ถ้า Online ผ่าน Internet ก็ต้องมี Datapilot login ขึ้นมาหน่อย
เอาล่ะ ขอตอบเป็นเชิง Concept ก่อน ยังไม่ลงเทคนิคเชิงลึก เพราะถ้าจะถามต่อ ก็ขอให้ช่วยจำกัด Environment ในคำถามลงอีกหน่อยครับ ไม่งั้นได้ตอบกันยาวเกินไป และไม่รู้จะเริ่มตอบตรงไหนด้วย มันกว้างเกิน
อีกอย่าง รอดูเชิงก่อน ว่าเจ้าของบ้านเขาจะเอ็ดเอาหรือเปล่า? ก่อนจะกลายเป็น Reply ถามตอบปัญหาทางเทคนิคไปเต็มตัว
ผมว่าสหรัฐเค้าคุยกันเองคุยกันแบบนี้ก็ถูกแล้วครับ ถ้าสนับสนุน opensource มากขึ้น ประเทศรายได้ลดลง ก็ถูกแล้วครับที่เขาวิเคราะห์คุยกันแนวนี้
That is the way things are.
ถ้ามองในระดับผู้ใช้งานทั่วไป ณ จุดนี้ ผมยังมองว่า การสนับสนุนสินค้าลิขสิทธิ์บางอย่างยังเป็นเรื่องที่ห่างตัวผมจริงๆ ตราบใดที่ยังมีของฟรีอยู่ผมก็ยังอยากจะประหยัดอยู่ดี ยกเว้นว่ามันจะดีจริงๆและผมต้องชอบและต้องจำเป็นต้องใช้จริงๆด้วยผมถึงจะสนับสนุนสินค้านั้นๆ ยกตัวอย่างง่ายๆ แผ่นเกมแท้อย่าง DOTA2,Diablo3 ที่กำลังจะออกไม่กี่เดือนนี้หรือ Starcraft2 ที่ออกมานานแล้ว ผมก็คงจะสนับสนุนของแท้แน่นอน คือผมมองว่าการสนับสนุนของแท้เนี่ยเราต้องชอบและอยากที่จะจ่ายเงินให้กับ Feature เสริมที่จะได้มาจากการจ่ายเงินด้วย ในเมื่อการตรวจลิขสิทธิ์ในระดับ user ยังไม่มีความชัดเจน ผมหลีกเลี่ยงการเสียเงินได้ก็ต้องทำ เหมือนพวกนักธุรกิจที่หลีกเลี่ยงภาษีแหละ
ส่วนเรื่อง Opensource นั้นก็จริงนะ สนับสนุนไปก็ช่วยได้น้อยมากๆ ยกตัวอย่างเอาง่ายสุด โน๊ตบุ๊คที่ไม่แถมวินโดส์มาซื้อมาลงอะไรกัน แล้วไอ้ที่ลงนั้นโหลดมาจากเว็บไหน แค่นี้ก็ชัดแล้วครับ
เปลี่ยนพฤติกรรมคนไทยนั้นเปลี่ยนยากครับเพราะคนไทยชอบของฟรีครับ ถ้าจะให้เปลี่ยนต้องเอาอะไรมาบังคับให้ชินและเมื่อไหร่ที่คนไทยชินกับอะไรแล้วเดียวก็จะดีขึ้นเอง
+1
ผมรู้สึกว่า คนไทยซื้อของตามค่านิยมเกินไป
ex ก็อีงาน dตac 3g expo นั่นแหละ มีปัญญาซื้อ iพhone แต่ไม่ซื้อ software
คนไทยไม่มีค่านิยมซื้อของแท้มากเท่าที่ควร อาจเป็นเพราะมาจากครอบครัวคนจีน อะไรประหยัดได้ก็ประหยัด
ส่วนตัวผมเห็นว่า ราคามันเกินไปนะ และความอยากได้ก็ไม่ได้ถึงขนาด
"โอ้วว พระเจ้ามาวิน win7 มันเมพขนาดต้องไปชาบู" ด้วยตังหลายพัน
แล้วถ้ามีตังล่ะซื้อไม๊ คำตอบคือซื้อครับ
แล้วคนส่วนใหญ่มีตังขนาดนั้นไม๊ ผมกล้าตอบเลยว่า ไม่
หายากนะที่จะบอกว่า
"เดือนนี้ผมต้องไปผ่อนชำระค่า photoshop ก่อนนะที่รัก เย็นนี้กินแกลบก่อนละกัน"
ใช้คำว่าค่านิยมคนจีนออกจะเหมารวมไปหน่อยนะครับ :P
เอาเป็นว่า คนจีนสัก 99.5% ละกันครับ :-) (ผมรวมอยู่ด้วยนะ)
รบกวนช่วยพิมพ์ให้มันอ่านง่ายกว่านี้นิดนึงได้มั้ยครับ ไม่ต้องเล่นกับตัวอักษรมาก
อยากอ่านความเห้นของคุณครับ แต่แก่แล้วสลับไปมาลำบาก
เห็นใจอุ๊ยเต๊อะละอ่อนรูปงาม
เป็นคนเหนือหรือครับเนี่ย
สมุทรปราการโดยกำเนิดครับ แล้วแต่วันว่าอยากสำเนียงไหนครับ
ผมเคยจ้างคนมา config Slackware วันเดียว 5000 ครับ
มีคนอีกเยอะครับที่ทำอาชีพกับ Opensource แล้วมีรายได้ดีด้วย ตอนนี้พี่แกคิดค่าซัพพอร์ทปีละสองพัน แต่มีลูกค้าพันกว่ารายแล้ว
ผมว่าราคามันแพงไปนะ
อยู่อเมริกา ซอฟต์แวร์ 20 เหรียญ = คิดเป็นค่าอาหารประมาณ 2-3 วัน
อยู่เมืองไทย ซอฟต์แวร์ 6000 บาท = ค่าอาหารเดือนกว่า
ถ้ามันยังหาของฟรีได้ง่ายอยู่ใครมันจะซื้อของแท้(สำหรับผู้ใช้ตามบ้านทั่วไป) สำหรับ windows ถ้าขายราคาสัก 600 มันก็น่าเสียตังค์ซื้อนะ
ถ้าคุณใช้ SW เดือนกว่าก็ไม่ต้องซื้อหรอกครับ ตัว Trial ก็ใช้ได้เดือนกว่าเท่ากัน แต่ถ้าใช้หาเงิน ถ้าคุณทำรายได้จากมันไม่คุ้ม ก็ควรหาตัวอื่นแทน
ทำไม TV, คอม, มือถือ เครื่องเป็นหมื่นซื้อได้ ทั้งๆที่อายุการใช้งานพอๆกับ SW แถมบางอย่างอยู่ได้น้อยกว่าด้วย
ปัญหาใหญ่คือ เวลาซื้อไม่ได้เอาผลที่ได้จากมามันมาเป็นตัวตั้ง แต่ดันเอาความรู้สึกว่ามันจับต้องไม่ได้ กับราคามาตัดผิดแบบผิดๆ เลยรู้สึกว่ามันแพงมากกว่า
ปัญหาคือเขาไม่ขาย 600 ครับ ต่ำสุดที่วินโดวส์ขายอยู่ที่ประมาณ 990 บาท
และเขาก็มีสิทธิ์ตั้งราคาแบบนั้น
lewcpe.com, @wasonliw
ผมเชื่อ ผมก็เป็นโง่เป็นควายแล้วครับ ถ้าโอเพนซอร์สมันเกิด ซอฟแวร์พวกนี้ก็ขายไม่ได้ และคนไทยก็จะเพิ่งพัฒนาอุตสาหกรรมซอฟแวร์ไม่มีทางที่จะแข่งขันได้ในระดับโลกหรอก
ถ้าโอเพนซอร์สมันเกิดจริงๆในบ้านเรา อุตสาห์กรรม IT บ้านเราจะมีศักย์ภาพพอที่จะไปแข่งขันในระดับโลก มันไม่อยากจะให้บ้านเราเจริญก้าวหน้า มันก็เลยพูดแบบนี้ แต่เสียใจที่คนไทยไม่โง่
ถ้าไม่อยากจะให้คนไทยละเมิดลิขสิทธิ์ ก็ลดๆ ราคามาหน่อย ตราบใดอัตราแลกเปลี่ยนเงินไทย ยังด้อยกว่าเงินดอลล่าห์ ก็ไม่มีคนไทยที่ใหนมันจะมีรายได้ขนาดไปซื้อซอฟแวร์ลิขสิทธิ์หรอกครับ
มันพูดอย่างกับคนไทยเรามันโง่ซะขนาดหนัก
I need healing.
คือถ้าทำเป็น Thi Edition แล่้วราคามันต่ำกว่าจริงนี่ผมว่าหลายๆคนน่าจะยอมรับได้นะครับ แต่ที่เห็นๆราคามันเท่ากันหรือแพงกว่าด้วยซ้ำ (ค่าแปล?)
ที่ผมเห็นด้วยนิดๆกับพวกใช้ของเถื่อนคือทำไมซอฟท์แวร์หลายๆตัวที่ขายอย่างถูกกฏหมายในไทยมันแพงกว่าอเมริกาจังเลย (ถึงต้องซื้อทางเน็ตอย่างเดียว)
ผมเห็นฝรั่งเดินซื้อแผ่นผีที่ pantip ครับ :-)
คำแปลบางทีแปลแล้วทำให้สับสนมากกว่าเดิมครับ
เรื่อง "ฝรั่ง" นี่ ต้องคลี่ออกมาอีกเหมือนกันครับว่าฝรั่งไหน :P
ถ้าเข้าใจไม่ผิด ปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟท์แวร์ ยังมีปัญหาอยู่ในชาติแถบรัสเซีย และประเทศอื่นๆ ในระดับเดียวกันอยู่ครับ จะเห็นได้ว่า พวกของ pirate ต่างๆ ที่ปล่อยออกมาตามเน็ตนั้น รัสเซียมีเอี่ยวด้วยแค่ไหน
แต่ก็ต้องเข้าใจความคิดของคนรัสเซีย ว่าเขามองและทำอะไรเป็นสีเทา ไม่ได้ขาวจ๋าดำจ๋าแบบบางชาติ
แต่ "ฝรั่ง" อเมริกันนี่ สุดยอดเรื่องการเคารพลิขสิทธิ์เลยครับ ลิขสิทธิ์ซอฟท์แวร์นี่เคารพกันสุดๆ เลย มันจะอยู่ในจิตสำนึกของอเมริกันชนทุกคนเลยว่าต้องไม่ละเมิด และการละเมิดนี่เป็นเรื่องน่าละอายมากสำหรับสังคมอเมริกา แทบไม่มีให้เห็น พอๆ กับสังคมไทยที่ว่าการจูบกันกลางที่สาธารณะเป็นเรื่องน่าบัดสีบัดเถลิงอะไรอย่างนั้น ไม่มีคนไทยเขาทำกัน (ขณะที่คนชาติอื่นๆ อาจจะไม่เข้าใจ ....เช่นกัน สำหรับเรื่องนี้ คนไทยก็ยังอาจจะไม่เข้าใจว่าทำไมต้องซีเรียสเรื่องลิขสิทธิ์ซอฟท์แวร์ขนาดนั้น)
และด้วยสภาพสังคมแบบนี้ ทำให้คนที่คิดจะละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟท์แวร์ ก็จะถูกขัดเกลาจากคนในสังคมด้วยกันไปเอง ปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์ซอฟท์แวร์ในอเมริกาจึงต่ำมาก (คงเป็นเพราะอิทธิพลของบิล เกตต์ ด้วยที่เป็นคนจุดประเด็นเรื่องนี้เมื่อหลายสิบปีที่แล้ว)
พี่สาวผมเรียนที่อเมริกา ตอนไปใหม่ๆ หอบโน็ตบุ็คไทยๆ ลงวินโดวส์เถื่อนไว้ ไปถึงนั่นยังรู้สึกละอายจนต้องซื้อ license ใหม่เลยครับ ส่วนโปรแกรมที่จำเป็นต่อการเรียนอื่นๆ โหลดเอาจากเว็บของมหา'ลัยเอา มีไว้ให้หมดเลย
หากเห็นคนปล่อยบิทที่มาจากอเมริกา อาจจะพอคาดเดาได้ว่าเป็นคนชาติอื่นๆ ที่อาศัยอยู่ในอเมริกาครับ แต่ตัวอเมริกันชนเองแทบไม่ทำกันแล้ว
อเมริกันไม่ได้เคารพลิขสิทธิ์ทุกคนครับ แต่เคารพ "กฏหมาย" โอเพนซอร์สเกิดขึ้นครั้งแรกๆ ก็เพื่อต่อต้านลิขสิทธิ์ (ถึงได้ใช้คำว่า Copyleft เพื่อล้อเลียนและแสดงความ "ตรงกันข้าม" กับ Copyright) แต่เขาเคารพกฏหมายครับ กฏหมายเป็นตามนั้นเขาก็ใช้กฏหมายเหมือนๆ กันสร้างกฏในรูปแบบของพวกเขาเอง (เช่น GPL ที่บังคับให้ "แบ่งปัน")
กฏหมายหลายฉบับในสหรัฐฯ โดนหยามเหยียด โดนด่า และโดนต่อต้านให้มีการเปลี่ยนแปลงเสมอ เช่นกฏหมายสิทธิบัตร, กฏหมาย DMCA ในทางหนึ่งสส. คนไหนดันฉบับไหนขึ้นมาก็จะโดนเรียกกฏหมายฉบับนั้นตามสส. คนนั้นไปเลย ถ้าดีก็ชมกันชั่วลูกชั่วหลาน ถ้าด่าก็ด่ากันจนอยู่ไม่ได้
lewcpe.com, @wasonliw
ผมกลับสนใจย่อหน้าสุดท้ายมากกว่า
" และประเทศไทยมีปัญหาคือผู้ร่วมสัญญาให้บริการกับรัฐจะต้องรับความเสียหายที่เกิดขึ้นอย่างไม่จำกัด"
จริงที่สุด
ผมกลับมองว่า
BSA กล่าวถูกต้องแล้วครับ สถานการณ์ตอนนี้คือ
วงการที่รุ่ง คือ outsource
แต่ฝั่งที่พัฒนา ซอพแวร์ ในบ้านเราจะตาย เป็นการทำลาย อุตสาหกรรมไทย ซอพแวร์ บ้านเราด้วยนะครับ
ถ้าดูจาก app มือถือ ที่ขายได้ ผมบอกได้เลยว่า programmer บ้านเราเข้าขั้นเก่งกันเลยทีเดียว
แต่เราไม่ได้มองจุดนั้น เพราะตอนนี้ เราไม่มีบริษัท ซอพแวร์ไทย มีแต่ต่างชาติ แล้วเราไม่เคยให้โอกาส บริษัท ซอพแวร์เรามาก่อน
"WikiLeaks: ไมโครซอฟท์และ BSA กังวลต่อแนวทางโอเพนซอร์สของไทย"
บอกไปเลยครับ ไม่ต้องมากังวลเราหรอก ... เราจะเลือกแนวทางที่เป็นประโยชน์กับประเทศไทยมากที่สุด
สมมติเหตุการณ์ ช กำลังจะ บ๊ะบ๊ะ สาว
ญ : ตัวรักเค้ามั้ย
ช : เค้ารักตะเองน๊ะ (จะบอกว่าไม่รักได้ไง เด๋วก็อดสิ ทั้งๆที่จริงๆ ก็แค่หวัง บ๊ะบ๊ะ)
ก็เค้าทำธุรกิจอ่ะ ก็ต้องหาทางขายของ จะพูดตรงๆว่า อย่าสนับสนุน OSS เลย เราจะได้ขายได้ มันคงไม่ได้ ก็ต้องพูดแบบนี้แหละ "เค้าเป็นห่วงตะเองน๊าาาา"
ถ้าเขากังวลแสดงว่าเรามาถูกทางแล้ว
บางครั้ง ก้อดคิดไม่ได้ว่า
บางคน ใช้ M$ office(เถื่อน) เพื่อพิมพิ์ เอกสาร พื้นฐาน ไม่จำเป็นต้องใช้ ความสามารถ ของ ซอฟท์แวร์ เต็มที่แต่อย่างใด
และ อดคิดไม่ได้ว่า บางคน ใช้ Photoshop (เถื่อน) เพื่อ ตกแต่งรูป เพียงเล็กน้อย เท่านั้น
ใช้อะไรเกินตัว เพราะว่า หาได้ง่ายๆ ใน ราคา เถื่อน
ถ้าไม่มีจริงๆ คิดว่า งานเหล่านี้
oo.o gimp ก็พอแล้ว สำหรับงาน เหล่านั้น
กับประเด็น oss บริษัท software ก็ต้อง หาเงินเข้ากระเป๋า เป็นเรื่อง ปกติ
Opensource - Hackintosh - Graphic Design - Scriptkiddie - Xenlism Project
ผมมองว่า OSS คือโอกาสนะ ทุกวันนี้ความรู้ด้านซอฟแวร์เกือบทั้งหมดที่ผมมีได้จาก OSS และ OSS != ฟรี อย่างที่คุณ lew ว่าไป มีโมเดลทางธุรกิจมากมายที่สามารถทำเงินได้จาก OSS (Android, Red Hat) และ OSS เป็นตัวขับเคลื่อนที่ดีมาก ๆ สำหรับประเทศที่เพิ่งเริ่มพัฒนา IT อย่างประเทศไทย เพราะไม่ต้องนับ 0 ใหม่
ข้อมูลตรงนี้เห็นได้ชัดว่า ผู้พูดรู้สึกเป็นกังวลเรื่องรายได้ของตัวเอง และผู้พูดคิดว่าผู้ฟังมีความรู้น้อยพอที่จะเชื่อ
ตอนนี้ผมก็ใช้ Open source ครับ
ใช้ syslog-ng เก็บ log ตาม พรบ. คอมพิวเตอร์อยู่
อย่ามาทะเลาะกัน เพราะเรื่องเงินในกระเป๋าคนอื่นเลยครับ
ตราบใดที่ไม่นัดกันออกไปสอยปากกันนอกเว็บ/ไม่ดูถูกเหยียดหยามกัน/ไม่ลามปาม/ไม่หยาบคายใส่กัน
ก็ปล่อยให้ทะเลาะไปเถอะครับ เป็นวิธีการระดมความคิดแบบบล็อกนันครับ
+10 ความสนุกมันอยู่ตรงนั้น :)
+1 เอาข้อมูลเจ๋งๆ มาซัดกันให้หงายเงิบไปเลย จะมานั่งเจี๋ยมเจี้ยมกันอยู่ใย รู้น่าว่าอยากจะเถียงเหมือนกัน XD
โมเดลง่ายสุดก็รับจ้างเขียนโปรแกรมนี่แหละ ทุกวันนี้มีกินมีให้ให้ลูกให้เมียก็ OSS ไม่เห็นว่ามันจะทำให้ลำบากตรงใหน
ตอนนี้กำลังปวดตับกับความเข้ากันได้ระหว่าง MS office กับ Libre office
Blognone = 138.1 news/w เยอะมากๆ
ส่วนนี้น่าสนใจครับ และขอแนะนำให้ลองอ่าน Romance of the Three (Software) Kingdoms ประกอบไปด้วยจะช่วยให้เห็นภาพได้อีกมาก
"ทางฝั่ง BSA (Business Software Alliance) ก็แสดงความเห็นในแนวทางเดียวกันว่ารัฐบาลไทยไม่ควรสนับสนุนโอเพนซอร์ส เพราะซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สช่วยแก้ปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ได้น้อยมาก (insignificant impact)"
แล้วถ้าการสนับสนุนโอเพนซอร์สเป็นไปเพื่อ
1. อยากจะยืนบนลำแข้งตัวเองบ้าง เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้นมาแล้วต้องวิ่ง จะวิ่งไม่ได้เอา เพราะไม่ค่อยได้ยืนบนลำแข้งตัวเอง
2. อยากจะหายใจด้วยจมูกตัวเองบ้าง เพราะถ้าเขาเอาจมูกกลับไปจะหายใจเองไม่ได้ ไม่อยากเป็นเบี้ยล่างยอมให้เขาจูงจมูกและชี้นำตลอดไป
ทาง BSA เขาจะว่าอย่างไรหนอ
อ้อ ผมคัดลอกมาทั้งประโยค ประเด็นที่ผมสนใจคือ เพราะซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สช่วยแก้ปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ได้น้อยมาก ครับ
เห็นด้วยกับเกือบทุกความคิดเห็นนะครับ ... ในฐานะที่ผมเองทำงานทั้งทางด้าน ผลิต Software (เกม) ไทยให้คนใช้ (แบบ CSS นะครับ) แล้วก็ใช้ CSS เฉพาะทางมากๆหลายตัว แล้วในขณะเดียวกันก็ประยุกต์ OSS มาใช้งานเป็นจำนวนมากเช่นกัน
โดยความเห็นแล้วคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องของ "ความไม่รู้/ความไม่อยากรู้" ของคนไทยจำนวนหนึ่งมากกว่าครับที่คิดว่า "สิ่งที่ตนคิดว่าถูก" นั้นถูกต้องแล้ว ... ซึ่งตามความเป็นจริงแล้ว หากมีความรู้/ความอยากรู้มากขึ้น ปัญหาเหล่านี้จะทุเลาลงไปมากครับ
ผมคิดว่าที่ BSA / Microsoft ออกมาพูดนั้นเหมือนพูดคนละเรื่องเดียวกันครับ เพราะการสนับสนุน OSS นั้นขัดขวางเขาอยู่พอสมควร (เช่นการใช้ Libre Office แทน MS Office เป็นอย่างง่ายๆ) แต่ก็ใช่ว่าการหยุดสนับสนุน OSS เป็นเรื่องที่ดี ...
ผมเชื่อว่าการที่รัฐเอาจริงกับการสนับสนุนทั้ง CSS + OSS ควบคู่กันไปคือเรื่องที่ดีกว่า เพราะการมีช่องทางหลากหลายเพื่อผู้ใช้ บริษัท องค์กร จะได้เลือกได้ถูกคือวิธีการที่ถูกต้อง เพราะบางครั้ง Software ทั้งสองแบบ ก็สามารถตอบสนองกับ Solution ของแต่ละคนได้แตกต่างกัน
แล้วเมื่อมันแตกต่างกัน ... การมองภาพรวมแบบเหมาๆนั้นจึงเป็นเรื่องยาก ... ผมเลยคิดว่า BSA จะบอกว่า "รัฐไม่ควรสนับสนุน" นั้นไม่ถูก ... แต่ถ้าจะพูดก็น่าจะพูดว่า "รัฐควรสนับสนุน CSS มากกว่านี้ เพื่อ ..." แล้วก็แจกแจงรายละเอียดไปน่าจะเหมาะกว่านะครับ
ส่วนเรื่องพัฒนา Software OSS แข่งนั้น ความจริงคนที่รู้ด้าน IT ก็น่าจะรู้ช่องทางทำมาหากินนะครับ ทำ Plugin เสริม OSS ต่างๆ ทำ Service หรือ Training ต่างๆ หรือไม่ก็เข้าไปเก็บตลาดเมืองนอกก็เห็นมีอยู่มากมายนะครับ
ปล.ตอนนี้ออฟฟิสผมซื้อแต่ App /Software แท้ครับ ที่เหลือหาก OSS ทำได้ก็เอามาลองกัน Drupal, Libre Office ก็ใช้อยู่ Linux ก็ใช้อยู่ ส่วนพวก Windows ก็แท้ พวกมือถือก็ซื้อ Apps แท้ลงกันหมดทั้งออฟฟิส ... ถ้าเราทำให้เค้ารู้ว่ามันทำได้ ... ไม่ได้แพงมาก ก็โอเคครับ ... จะติดเรื่องลิขสิทธิ์ก็แค่ Adobe Production Suite หนึ่งเครื่องนี่แหล่ะครับ (อีกเครื่องก็แค่ Photoshop เดี่ยวๆอีก License ครับ Gimp มันแย่กว่ามากในการทำงานให้ได้ Productivity/เงินครับ) ... เก็บตังค์ซื้ออยู่ครับ (เงินไม่พอจ่ายจริงๆ แล้วมันก็ไม่มีอะไรมาแทนที่ได้ในราคาที่ถูกกว่าเลย) ส่วนพวก Final Cut Studios เอย Maya เอยก็ใช้ของแท้ครับ ส่วน Freeware ก็มีเช่น Picasa Photoviewer, Google Apps, irfanview ก็ใช้ครับ ... เหลือแค่ 2 License นี้ผมก็จะมีความสุขมากที่ออฟฟิสผมถูกกฏหมายทุกอย่างครับ)
ปล2.เคยเข้าไปในบริษัท CG แห่งนึง ... ที่นั่นใช้ Linux แบบ KDE เป็น Desktop Enviroment ทั้งบริษัท ... ตกใจเอาการครับ (นายแน่มาก !)
ขอบคุณครับ สวัสดีครับ
เรื่องละเมิดลิขสิทธิ์นี่ ผมว่าการให้ไปใช้ Opensource แทนนี่มันก็ไม่ใช่ทางออกนะ
คือใช้ Opensource มันก็ดี แต่กับโปรแรกมที่ขายล่ะ? เราก็ละเมิดลิขสิทธิ์กันอยู๋ดี เมื่อจะเอามันมาใช้
ทางที่ควรทำคือสนับสนุนให้รู็จักจ่ายตังซื้อของพวกนี้ควบคู่ไปด้วย
ตรงจุดครับ!! ไอ้ที่ผมพูดยาวๆ เป็นคุ้งเป็นแควหลายความเห็น ความเห็นละหลายบรรทัด ก็อยากพูดสั้นๆ แบบนี้แหละครับ T T
Russia is just nazi who accuse the others for being nazi.
someone once said : ผมก็ด่าของผมอยู่นะ :)
ไม่อยากละเมิดลิขสิทธิ์ก็ต้องซื้อไลเซ้นส์ให้ถูกต้องครับ การบอกให้ไปใช้ OSS ที่เป็นของฟรีจะทำให้เราติดนิสัยอยากได้ของฟรีอยู่ร่ำไป ถ้าโปรแกรมฟรีที่ว่าเพียงพอต่อการใช้งานก็ดีไป แต่ถ้าไม่คุณก็กลับมาแคล็กโปรแกรมเค้าอยู่ดี เพราะคุณไม่เคยจ่ายค่าซอฟต์แวร์มาก่อน เอาแค่เรื่องพื้นฐานอย่าง OS นี่ก็ไม่มีอะไรตอบสนองต้องการของผู้ใช้ได้ดีเท่าวินโดว์แล้ว
ผมว่า เค้าเอามาให้เลือกนะ
เช่น xp ราคา 5000 กับ Ubuntu ราคา 0 บาท
ถ้าใครปรับมาใช้ Ubuntu ได้ ก็ 0 บาท ถ้าไม่ได้คุณก็ต้องไปซื้อ XP ราคา 5000 บาท ผมไม่เคยไปฟังบรรยายที่ไหน หรืออ่านจากสื่อไหน ที่เค้าแนะนำให้เปลี่ยนเป็น Ubuntu เพราะจะได้ไม่ต้องไป Crack XP หรือ หาของปลอมมาใช้เลยนะ? ตรงส่วนที่คุณว่าคือคนที่ใช้ Ubuntu ไมได้และไม่อยากเสียเงินเลยไปแอบใช้ XP แบบเถื่อนนั่นเค้าคิดเอาเองมากกว่านะ
ที่สำคัญ ของฟรี มีใครไม่ชอบบ้าง??? ไม่ต้องให้ใครมาบอก มาสอน ทุกคนชอบอยู่แล้วไม่ใช่หรือ??? แต่เหมือนที่ผมเขียนไว้คอมเมนต์ด้านบนนู้น ว่าของฟรีส่วนใหญ่มันก็ต้องแลกมาด้วยความยากเหมือนกัน
จริงเหรอ Notebook ผมแถมวินโดวส์ ผมยังต้อง Format ลง Linux เลย
เพราะคุณเก่งคอมคับ แต่ User ทั่วไปแค่ตั้งค่า OS ยังไม่ค่อยจะเป็นเลย
แม่ผมก็ใช้เป็น นี่ไม่ได้ประชด เก่งไม่เก่งคงไม่เกี่ยว เท่าที่ผมเห็นพวกคนที่ไม่มีปัญหากับ Linux มักเป็นพวกที่เพิ่งเริ่มใช้งานคอมพิวเตอร์ใหม่ๆ
ส่วนพวกที่เคยใช้มาแล้วนี่ดัดยาก รู้มาก น้ำเต็มแก้ว
+1 จริง
ป.ล. ผมก็ใช้ Windows (สำหรับ PC)
ตอบสนองความต้องการกับใช้งานได้มันคนละอย่างกันครับ กรณีแม่คุณลินุกซ์อาจจะตอบสนองความต้องการเค้าได้ แต่คนใช้คอม 90% ทั่วโลกรู้สึกจะเป็นวินโดว์นะ
90% ทั่วโลกใช้วินโดวส์แล้วไงครับ ต้องการจะสื่ออะไร จะหมายความว่าคนใช้เยอะแล้วมันดีกว่าหรือเปล่าครับ เป็นที่นิยมไม่ได้แปลว่าเป็นของดี มันคนละเรื่องกัน
ไม่คิดบ้างเหรอครับว่าคนอื่นเค้าไม่ใช่ ไม่ใช่เพราะไม่ชอบ แต่มันไม่ตรงความต้องการ
อย่างลินุกซ์นี่ถ้าจะลงโปรแกรมต้องมาเลือกอีกว่าต้องดาวน์โหลดแพคเกจของดิสโทรไหน อะไรยังไง พูดง่ายๆ คือมันมีปัญหา fragmentation น่ะครับ
หลายๆ อย่างโปรแกรมบนลินุกซ์ทำได้เหมือนบนวินโดวส์ก็จริงแต่ใช้ขั้นตอนเยอะกว่ามาก แต่หลายๆ อย่างทำบนลินุกส์ก็สะดวกกว่า อย่างเช่นการคอมไพล์ หรือบิลด์โปรแกรมเปิดซอร์สหลายๆ ตัว
ผมว่าคนเพิ่งเริ่มต้น อะไรก็ง่ายครับ จนกว่าเค้าจะไปเจอสิ่งที่ดีกว่า
ส่วนคนที่ใช้คอมเป็นแล้วก็คงผูกติดกับ OS ใด OS หนึ่งเพราะความเคยชิน
ส่วนคนที่เป็นเซียนคอม และคนที่ต้องการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ จริงๆ เหตุผลในการเลือกก็คงกลายเป็นเรื่อง usability กับ productivity ไปแล้วล่ะครับ
ผมได้ลองใช้ OS X แล้วผมก็ไม่มีปัญหานะครับ เพราะมันทำให้ทุกๆ อย่างเข้าใจง่าย
ลินุกส์ผมก็ใช้มาตั้งแต่ Slackware 4 นะครับ ทุกอย่างเป็น command line เกือบทั้งหมด
ถามว่าใช้ได้ไหม,ใช้ได้ครับ แต่ถ้าถามว่ามันใช้ง่ายไหม,คงไม่ต้องตอบครับ ... กว่าจะ config, make บลาๆๆ ก็แย่แล้ว
สรุปสั้นๆ ... ไม่ได้ต่อต้านครับ แต่อย่างที่ทุกคนบอก ... ของฟรีก็มีค่าเรียนรู้ครับ และค่าเรียนรู้ก็มีคุณค่าของมัน คนที่ไม่ใช่คงไม่ได้แปลว่าดัดยาก น้ำเต็มแก้วอย่างที่คุณเข้าใจครับ
คิดสิครับ ไม่คิดก็แปลก ผมยังเลือกของที่เหมาะกับตัวเองเลย
แต่ที่แปลกคือพวกที่ฝังชุดความคิดแก่คนที่เริ่มต้นใช้งานที่ว่า OSS ต้องใช้งานยาก ต้องเจอปัญหาโน่นนี่นั่น เนื่องจากตนเคยผ่านมาก่อนแล้วรู้สึกว่ามันยาก คนพวกนี้ที่เรียกว่ารู้มาก ดัดยาก น้ำเต็มแก้ว เอาตนเองเป็นจุดศูนย์กลางว่ามันต้องเป็นอย่างโน้น อย่างนี้ ไม่ใช่คนที่ใช้งานแล้วรู้ว่าอะไรเหมาะกับตัวเอง ที่คุณพิมพ์มาในบรรทัดสุดท้ายคือการเข้าใจผิดไปเอง
ของฟรีมีค่าเรียนรู้ ของเสียเงินก็มีเหมือนกัน ไม่ใช่วาซื้อมาแล้วรู้แจ้งเห็นแจ้งใช้งานได้เลย ของเสียเงินหลายอย่างค่าเรียนรู้แพงกว่าของฟรี ลองลง Apache บน Windows ดูสิถ้าเทียบกับ Ubuntu พิมพ์บรรทัดเดียวแล้วนั่งกระดิกเท้ารอ
1.ใช้อะไรก็ใช้กันไปครับ สะดวกอันไหนก็ใช้อันนั้น ไม่ต้องไปเสียดสีกระแนะกระแหนคนอื่น
2.ถ้าไม่รู้จักเปิดใจเรียนรู้ความต้องการของคนอื่นนั่นแหละครับ น้ำเต็มแก้ว ดัดยาก เอาตนเองเป็นจุดศูนย์กลาง มองคนอื่นด้อยกว่าตัวเองหมด
3.ผมไม่ได้รังเกียจ OSS ครับ แค่อยากให้ยอมรับกันบ้างว่าคนที่ไม่ใช่ OSS ไม่ได้เป็นเพราะอีโก้ทุกคน บางคนก็ไม่สะดวกจะใช้จริงๆ
"เอาตนเองเป็นจุดศูนย์กลาง" >> "รู้และแสวงหาสิ่งที่ตัวเองต้องการ"
"ใช้งานแล้วรู้ว่าอะไรเหมาะกับตัวเอง" >> "รู้และแสวงหาสิ่งที่ตัวเองต้องการ"
มันต่างกันตรงไหนหรือครับ?
"เป็นที่นิยมไม่ได้แปลว่าเป็นของดี"
"ของดี" วัดจากอะไรล่ะครับ? ใครตัดสินดีล่ะครับ?
ผมอ่านแล้วยัง งงๆ ขออภัยถ้าถามอะไรแปลกๆครับ - -'
"ส่วนพวกที่เคยใช้มาแล้วนี่ดัดยาก รู้มาก น้ำเต็มแก้ว" เดาว่าคงจะต้องการว่าผม ผมละเกลียดพวกคำพูดคำจาของพวกอารมณ์ร้อนจริงๆ ชอบใช้คำเสียดแทงและชอบด่า ผมบอกว่าคุณเก่งคอม ก็หาว่าประชด
ถ้าคุณคิดว่าผมเกลียด Linux และไม่เปิดใจเรียนรู้ไม่เปิดใจยอมรับ คุณคิดผิดแล้ว Server ส่วนตัวผมใช้ CentOS เครื่อง Workstation ผมใช้ Dual Boot Windows/Ubuntu
สำหรับผมมันคือประสบการณ์จริงที่ผมเจอมา ว่า Linux มันใช้ยากและปัญหาเยอะกว่า Windows (ทั้ง Ubuntu และ CentOS) ผมก็พิมพ์ไปตามประสบการณ์ที่ได้เจอมา ว่ามันใช้ยากกว่า Windows แต่คุณก็มาด่าผมทันทีว่าดัดยาก รู้มาก น้ำเต็มแก้ว ทั้งๆที่คุณยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมเป็นแบบนั้นจริงรึเปล่า
ตัวผมนั้นอะไรมันดีผมก็ใช้อันนั้น อย่าง Web Browser ผมก็ชอบใช้ Firefox
เอาเป็นว่า ระหว่างคุณกับผมขออย่าได้มาพิมพ์ตอบกันอีกเลยนะคับ เสียสุขภาพจิตเปล่าๆ ขอบคุณคับ
นั่นมันสิ่งที่คุณเลือกไงครับ ของฟรีมีใครไม่ชอบ แต่เอาไม่เอา หรือ ใช้ไม่ใช้นั่นอีกเรื่องไงครับ ถ้าผมให้ตังค์คุณ 100 นึง คุณเอาไหมล่ะ ประเด็นผมบอกว่า ที่ผมเห็นสื่อต่าง ๆ นำเสนอเรื่อง oss เนี่ย ไม่มีที่ไหนหรอก เค้ามานำเสนอวิธีให้คุณเลือกว่าจะให้คุณลักลอบใช้หรือมาใช้ของฟรี มีแต่บอกว่าคุณจะเสียเงินซื้อ หรือ คุณจะยอมเหนื่อยพยายามใช้ของฟรี เพราะประเด็นสำคัญเค้าต้องการบอกว่า ทุกวันนี้โปรแกรมที่คุณใช้ ๆ กัน คุณต้องเสียค่าลิขสิทธิ์รวมแล้วเครื่องละเป็นแสน แต่ถ้าใช้พวกของฟรีได้ ก็แทบไม่เสียตังค์สักบาท ให้คนใช้เห็นความแตกต่างตรงนี้ แต่ถ้าลักลอบใช้มันก็ฟรีเหมือนกันแค่เสี่ยงกว่า มันไม่ชัดเจนพอที่จะเอามาโน้มน้าวหรอกครับ
อีกอย่าง ที่คุณว่ามาน่ะ คุณผิดตั้งแต่ซื้อรุ่นที่มันมาพร้อม Windows แล้วต้องมานั่งเอาออก + เงินค่า License OEM ด้วยแล้วล่ะครับ แต่ก็อย่างว่า นั่นเป็นทางที่คุณเลือก...
คือผมอยากได้รุ่นนี้ ซึ่งรุ่นนี้มันติดมาพร้อมกับวินโดว์ รุ่นอื่นที่ไม่มีวินโดวส์มาก็ไม่เหมือนรุ่นนี้ จึงจำใจต้องเอารุ่นนี้ อย่างนี้ผิดใหม?
ของที่เสียเงินซื้อจะต้องดีกว่าเสมอคงไม่ใช่มั้ง ของเสียตังใช้ยากกว่าของฟรีมีเยอะแยะ ไอ้การจะตีเหมารวมว่าถ้าไม่อยากเสียเงินก็มาใช้ OSS ผมว่ามันยังไม่ใช่เหตุผลที่ดีพอ ยังมีคนอีกมากมายที่ใช้ OSS เพราะมันดีกว่าของเสียเงิน ง่ายกว่า สะดวกกว่า ไม่ใช่แค่ถูกกว่า
ถ้านั่นคือความจำเป็นของคุณ ตอนที่คุณเลือกจริง ๆ ก็อย่างที่บอกว่า นั่นคือทางที่คุณเลือกไงครับ คุณรู้ทั้งรู้ว่า คุณซื้อแล้วต้องเอามาทำต่อ เพื่อให้ได้สิ่งที่คุณต้องการ ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องที่ต้องเอามาบอกคนอื่นว่า มีคนอุตส่าห์ลงมาให้คุณ แต่คุณพยายามที่จะใช้ตัวอื่นแทน (ก็คุณเสียเงินซื้อมันมาเอง แล้วไม่ยอมใช้)
ประเด็นที่ผมสื่อคือ การที่คุณจะ "เลือกซื้อ" ว่าคุณจะเสียเงินซื้ออะไรต่างหาก
และผมขออธิบายเรื่องของฟรี (ไม่รู้ 2 รอบข้างบนไม่ชัดเจนหรืออย่างไร) ว่า ถ้าผมเอาเงินให้คุณ 100 นึง ฟรี ๆ คุณเอาไหมครับ? มีใครไม่ชอบ... ให้เงินฟรี ให้รถขับฟรี ให้บ้านฟรี ใช้ไฟฟรี (ไม่ต้องอะไรมากนะ Ubuntu ที่คุณเอามาลงนั่นแหล่ะ ฟรี! และคุณก็เอามันไง!?) ฯลฯ และอย่างที่ยกตัวอย่างไปว่า แค่ซื้อมือถือครึ่งราคา ไม่ได้แจกฟรี ยังแทบฆ่ากันตายเลยมั๊ง
แต่รถฟรีที่ผมว่า อาจจะรุ่นห่วย เบาะไม่นุ่ม ขี่ไม่เร็ว สีไม่ถูกใจ ฯลฯ ถ้าเค้าให้คุณฟรี ๆ เลย จะเอาไปขาย ไปทำอะไรก็ได้ คุณเอาไหมครับ??? คำว่า ชอบผมหมายถึง "ชอบที่่จะได้รับ" ไม่ใช่ "ชอบในคุณภาพของมัน"
และผมว่า ผมไม่เคยบอกว่าถ้าไม่อยากเสียเงินก็ให้มาใช้ OSS นะ ผมบอกว่าผมไม่เคยเห็น ใครบอกแบบนั้น มีแต่คนเอามันเป็นจุดเด่นที่จะนำมาโน้มน้าวผู้ใช้ หรือเจ้าของกิจการที่เค้าสนใจประเด็นนี้ (เรื่องเงิน) ต่างหาก เค้าเปรียบเทียบว่า ถ้าคุณใช้ A ได้ก็ไม่เสียตังค์ แต่ถ้าคุณจำเป็นต้องเป็น B คุณก็ต้องเสียตังค์ เพื่อให้เค้าอยากจะทดลองใช้กัน (ยังไม่เข้าใจว่างงตรงไหน????)
ที่สำคัญกว่านั้น ที่คุณว่า OSS ที่ดีกว่าของเสียเงินสำหรับคุณเนี่ย คือโปรแกรมอะไรครับ? ลองบอกผมมาหน่อย? ที่ง่ายกว่า สะดวกกว่า?
Opensource ไม่ได้ฟรีทุกๆ อย่างนะครับ เพียแต่ค่าใช้จ่ายมันจะมีออกมาในรูปแบบอื่น ไม่ได้จ่ายตรงๆ เหมือนกับเราไปซื้อของ ยกตัวอย่างง่ายๆ ช่อง 3 5 7 9 ทำไมเรายังดูฟรีๆ ได้ครับ ทั้งๆ ที่ต้นทุนในการถ่ายทำไม่ฟรีเลย กระบวนการพัฒนาซอฟแวร์โอเพนซอร์ส ต่างจากซอฟแวร์เชิงพาณิชย์อื่นๆ ครับ นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ซอฟแวร์เชิงพาณิชย์อื่นๆ เค้าหวาดกลัว เพราะเค้าไม่ชำนาญในกระบวนการนี้ ก็ดูเอาง่ายครับๆ Chrome กับ FireFox โปรแกรมนี้มันดีมั๊ยครับ แล้วใครสนับสนุนละครับ ถ้าไม่ใช่ google
Business Model for Open Source Software เขียนตอบโต้หลาย ๆ ความคิดเห็นในนี้โดยเฉพาะ (เขียนในนี้ไม่ไหว มันยาว)
ขอบพระคุณครับ นี่แหละที่ต้องการในตอนนี้เลย
Open Source เป็นทางเลือกอิสระของผู้ใช้ ที่จะเลือกใช้หรือไม่ ไม่ควรจะถูกกำหนดด้วยใคร บริษัท หรือองค์กรผลประโยชน์ใดๆ
Open Source เป็นทางเลือกอิสระของผู้ใช้ ที่จะเลือกใช้หรือไม่ ไม่ควรจะถูกกำหนดด้วยใคร บริษัท หรือองค์กรผลประโยชน์ใดๆ
Open Source เป็นทางเลือกอิสระของผู้ใช้ ที่จะเลือกใช้หรือไม่ ไม่ควรจะถูกกำหนดด้วยใคร บริษัท หรือองค์กรผลประโยชน์ใดๆ
Open Source เป็นทางเลือกอิสระของผู้ใช้ ที่จะเลือกใช้หรือไม่ ไม่ควรจะถูกกำหนดด้วยใคร บริษัท หรือองค์กรผลประโยชน์ใดๆ
Open Source เป็นทางเลือกอิสระของผู้ใช้ ที่จะเลือกใช้หรือไม่ ไม่ควรจะถูกกำหนดด้วยใคร บริษัท หรือองค์กรผลประโยชน์ใดๆ
Open Source เป็นทางเลือกอิสระของผู้ใช้ ที่จะเลือกใช้หรือไม่ ไม่ควรจะถูกกำหนดด้วยใคร บริษัท หรือองค์กรผลประโยชน์ใดๆ
Open Source เป็นทางเลือกอิสระของผู้ใช้ ที่จะเลือกใช้หรือไม่ ไม่ควรจะถูกกำหนดด้วยใคร บริษัท หรือองค์กรผลประโยชน์ใดๆ
Open Source เป็นทางเลือกอิสระของผู้ใช้ ที่จะเลือกใช้หรือไม่ ไม่ควรจะถูกกำหนดด้วยใคร บริษัท หรือองค์กรผลประโยชน์ใดๆ
Open Source เป็นทางเลือกอิสระของผู้ใช้ ที่จะเลือกใช้หรือไม่ ไม่ควรจะถูกกำหนดด้วยใคร บริษัท หรือองค์กรผลประโยชน์ใดๆ
Open Source เป็นทางเลือกอิสระของผู้ใช้ ที่จะเลือกใช้หรือไม่ ไม่ควรจะถูกกำหนดด้วยใคร บริษัท หรือองค์กรผลประโยชน์ใดๆ
Open Source เป็นทางเลือกอิสระของผู้ใช้ ที่จะเลือกใช้หรือไม่ ไม่ควรจะถูกกำหนดด้วยใคร บริษัท หรือองค์กรผลประโยชน์ใดๆ
Open Source เป็นทางเลือกอิสระของผู้ใช้ ที่จะเลือกใช้หรือไม่ ไม่ควรจะถูกกำหนดด้วยใคร บริษัท หรือองค์กรผลประโยชน์ใดๆ
Open Source เป็นทางเลือกอิสระของผู้ใช้ ที่จะเลือกใช้หรือไม่ ไม่ควรจะถูกกำหนดด้วยใคร บริษัท หรือองค์กรผลประโยชน์ใดๆ
Open Source เป็นทางเลือกอิสระของผู้ใช้ ที่จะเลือกใช้หรือไม่ ไม่ควรจะถูกกำหนดด้วยใคร บริษัท หรือองค์กรผลประโยชน์ใดๆ
Open Source เป็นทางเลือกอิสระของผู้ใช้ ที่จะเลือกใช้หรือไม่ ไม่ควรจะถูกกำหนดด้วยใคร บริษัท หรือองค์กรผลประโยชน์ใดๆ
Open Source เป็นทางเลือกอิสระของผู้ใช้ ที่จะเลือกใช้หรือไม่ ไม่ควรจะถูกกำหนดด้วยใคร บริษัท หรือองค์กรผลประโยชน์ใดๆ
Open Source เป็นทางเลือกอิสระของผู้ใช้ ที่จะเลือกใช้หรือไม่ ไม่ควรจะถูกกำหนดด้วยใคร บริษัท หรือองค์กรผลประโยชน์ใดๆ
ผมตาลาย หรือว่าระบบมีปัญหา ผมถึงเห็นข้อความเดียวกันยาวเป็นพรืด @_@
ระบบคงมีปัญหา เพราะ User ของเค้าน่าจะโดนโค้วต้า 8 กระทู้ แต่นี่โพสต์ได้เกิน
ลองของ ทลายกฎ 8 คอมเม้นต์ รึเปล่า? (แซวนะครับ :P )
โดนเองเลย -*-