หลังจากที่นาย Zucker ประธานและซีอีโอของบริษัท NBC Universal ได้ออกมาพูดถึงกรณีถอนตัวและเริ่มดำเนินการบริการ "iTunes Killer" ของตัวเองแล้วก็ได้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันมากมายทำให้ CNET ได้ออกมาเขียนบล็อกเกี่ยวกับเรื่องนี้
สิ่งที่ Tom Krazit แห่ง CNET ได้ออกมาบอกว่าน่าเกลียดนั้นคือหนึ่งในเหตุผลที่ NBC นำมาอ้างในการขอถอนตัวจาก iTunes Store นั่นคือการที่ NBC Universal ต้องการขอส่วนแบ่งรายได้จากการขายไอพ็อดของแอปเปิล โดยก่อนหน้านี้นั้น NBC ได้อ้างสาเหตุหลักว่าเกิดจากการที่แอปเปิลไม่ยอมให้ NBC ขึ้นค่าเพลงสำหรับเพลงที่กำลังเป็นที่นิยมและลดค่าเพลงสำหรับเพลงที่เริ่มไม่เป็นที่นิยม
แอปเปิลได้เงินมากมายมหาศาลจากแค่การผลิตฮาร์ดแวร์ตัวหนึ่งที่ต้องมาพึ่งพาคอนเทนท์จากเรา ... พวกเขาไม่ยอมแบ่งรายได้จากการขายไอพ็อดให้เราหรืออนุญาตให้เราเปลี่ยนแปลงราคาเพลงที่ขายบน iTunes เลยแม้แต่น้อย - Zucker
Krazit แห่ง CNET ก็ได้ออกมาแสดงจุดยืนว่าสิ่งที่ Zucker ได้กล่าวออกมาเป็นเรื่องน่าตลกสิ้นดี เพราะถ้าหากมาดูจากที่ General Electric บริษัทแม่ของ NBC Universal ออกมารายงานแล้วนั้นรายได้ของ NBC Universal ทั้งหมดมีมากถึง 16 พันล้านดอลลาร์ แต่ NBC Universal กลับออกมาบอกว่ารายได้จาก iTunes Store นั้นมีน้อยนิดเพียงแค่ 15 ล้านดอลลาร์ต่อปีเท่านั้นเอง คือแม้ว่าแอปเปิลจะยอมให้ NBC ขึ้นราคาคอนเทนท์ทุกอย่างสามเท่าจะทำให้เกิดผลต่างเพียง 0.3% ของรายได้ NBC Universal ทั้งหมด
ที่น่าสนใจคือโซนี่เคยแบ่งรายได้ให้กับ NBC จากการขายโทรทัศน์ที่ต้องพึ่งพาคอนเทนท์จาก NBC ไหม? ถ้ามาดู Panasonic หรือ Sharp ล่ะ?
กรณีนี้ไม่เหมือนกับที่แอปเปิลทำโมเดลธุรกิจกับ AT&T เพราะว่าการที่แอปเปิลขายไอโฟนนั้นทำให้ AT&T มีลูกค้า "ที่ติดสัญญาประจำ" กว่าพันคนและนอกจากนี้ยังกลายเป็นมือถือที่ขายดีที่สุดของ AT&T อีกด้วย ... ในทางกลับกัน ไม่รู้เหมือนกันว่าการที่มีซีรีย์ล่าสุดเรื่อง Bionic Woman จาก NBC นั้นทำให้แอปเปิลขายไอพ็อดได้มากขึ้นซักกี่เครื่อง?
Krazit ยังได้ทิ้งท้ายอย่างแสบ ๆ ว่าถ้า NBC Universal เริ่มขายเพลงออนไลน์เองอีกไม่นานสงสัยอาจจะต้องเรียกขอส่วนแบ่งรายได้จาก HP หรือ Dell แล้วล่ะมั้ง?
ที่มา - CNET News
Comments
สำนวนข่าวยอดจริงๆ
ถ้าเป็นอย่างข่าวก็ถือว่าน่าเกลียดจริงๆ ทำยังกับว่า iPod ขายได้เพราะตัวเองเจ้าเดียวงั้นแหละ
*>_<
ถ้าผู้บริหารระดับสูงอุตสหกรรมบันเทิงยังคิดอยู่อย่างนี้
ก็นับถอยหลังกันได้เลยนะเนี้ย....
Jobs เคยบอกว่าถ้าขึ้นราคาเมื่อไหร่ คนก็จะหันไปกลับ
ไป Copy หมด แล้วทุกคนก็จะตายเหมือนเดิม ทำไมไม่
เข้าใจกันนะ ผู้บริหารมันไม่เคยจนกันหรือไงน่ะ
อย่างงี้ก็มีด้วย ... ชอบตรงที่ย้อนกลับว่า
"ที่น่าสนใจคือโซนี่เคยแบ่งรายได้ให้กับ NBC จากการขายโทรทัศน์ที่ต้องพึ่งพาคอนเทนท์จาก NBC ไหม?"
แสบดีแท้
---
Khajochi
แฟนพันธุ์แท้สตีฟจ็อบส์ | MacThai.com
อืม... ขึ้นราคาเพลงฮิต
อันนี้มันเป็นความคิดของคนปัญญาอ่อน โลกทัศน์แคบจริงๆ
ในสังคม Cyber โดยเฉพาะกับเหตุการณ์นี้ พฤติกรรมการบริโภคมันเปลี่ยน
Perception ของลูกค้าก็เปลี่ยน
มันไม่เกี่ยวเนื่องหรือมันไม่เหมือนกับมุมมองการทำตลาดในโลกที่ทรัพยากรณ์(สินค้า) มีปริมาณจำกัด
ยิ่งขายยิ่งหมดไป ทำให้ปริมาณสินค้า(Supply)ที่เหลืออยู่มีน้อยกว่าปริมาณความต้องการ(Demand)
ราคามันก็ย่อมสูงขึ้นเป็นปกติ และนั่นมันเป็นเหตุผลที่ทุกคนยอมรับได้
แต่กับสินค้าที่ต้นทุนการผลิตมันไม่ได้ผกผันตามปริมาณการบริโภค อย่างไฟล์มีเดียที่เป็นเพียงข้อมูลดิจิตอลที่ทำซ้ำได้อย่างไม่จำกัด แล้วถ้าเกิดเราต้องจ่ายแพงขึ้น เพียงเพราะผู้ขายเห็นว่ามันเป็นเพลงฮิตซึ่งนั่นหมายถึงโอกาสในการ"โกย"เงิน จะมีลูกค้าสักกี่คนที่พอใจ
ในธุรกิจการซื้อขายเพลงออนไลน์แบบนี้ มันเป็นเรื่องที่ว่าด้วยเรื่องความพอใจของลูกค้า
ถามว่าลูกค้า iTune มีความ "จำเป็น" ที่จะต้องจ่ายเงินซื้อเพลงไหม?
จริงๆ แล้วคือ ไม่ เพราะการที่เค้าออนไลน์ซื้อเพลงจาก iTune ได้ นั่นก็หมายถึงจริงๆ แล้วเค้าก็มีความสามารถที่จะเข้าถึงเว็บไซต์ที่เปิดให้ดาวน์โหลดเพลงเถื่อนด้วยเหมือนกัน แต่เพราะว่า "พอใจ" ที่จะซื้อเลยยอมควักกระเป๋า
ขณะเดียวกันเรื่องละเอียดอ่อนบางอย่าง แม้จะดูไม่เป็นเรื่องใหญ่โตสำหรับคนโง่(และโลภ)บางคน
แต่ถ้ามันไปกระทบประสาทสัมผัสและความรู้สึกของผู้บริโภค จนเปลี่ยนความรู้สึกพอใจ กลายเป็น เหมือนโดนเอาเปรียบ ถึงตอนนั้นระบบการค้าที่พึ่งพาความพอใจเป็นหลักอย่างงี้ก็ถึงคราวล่มสลาย
เพราะงั้น รวมความได้ว่า
ไม่ว่าจะประเด็นเรื่องขอแบ่งรายได้ หรือ การปรับราคาเพลงฮิต มันเป็นเรื่อง... idiot อ่ะ