สมาคมภาพยนตร์อเมริกัน หรือ MPAA ได้ออกรายงานอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของปี 2017 โดยมีตอนหนึ่งระบุว่า ภาพรวมรายได้จากการจำหน่ายตั๋วภาพยนตร์ของอเมริกาและแคนาดาทรงตัว แต่พอแยกเป็นภาพยนตร์แบบดั้งเดิม กับภาพยนตร์ 3 มิติ พบว่าส่วนแบ่งภาพยนตร์ 3 มิตินั้น ต่ำที่สุดในรอบ 8 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 2010 ซึ่งเป็นปีที่ Avatar ออกฉาย และเป็นภาพยนตร์ที่ปลุกกระแสการชมภาพยนตร์ 3 มิติได้อย่างดี
คอนเทนต์ 3 มิติ ยังคงเป็นโจทย์ที่ท้าทายในอุตสาหกรรมสื่อบันเทิง ทั้งจากราคาที่ผู้ชมต้องจ่ายเพิ่มเติม, การต้องใส่แว่นขณะรับชม และข้อจำกัดอีกหลายอย่าง เมื่อปีที่แล้ว LG ก็เป็นผู้ผลิตโทรทัศน์ 3 มิติรายสุดท้ายที่ประกาศหยุดผลิตสินค้า
ความหวังในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ 3 มิติรอบใหม่ อาจอยู่ที่ภาคต่อของ Avatar ที่มีกำหนดฉายในปี 2020
ที่มา: TechCrunch
Comments
ลำบากตรง ต้อง ใส่แว่น
ไม่น่าแปลก แรกๆอาจดูสนุก แต่ถ้าตาเราต้องคอยปรับโฟกัสอยู่ตลอดเวลา เป็นชั่วโมงๆ มันไม่สนุกแน่ๆ
สู้ไปทำให้มันชัดแบบดูในจอ 4K ยังจะดีซะกว่า
ทางแก้คือออก standard ใหม่ พร้อมชื่อใหม่ ทำการตลาดใหม่
ได้ลองดูหลายๆ เรื่องกับภาพยนต์ 3D รู้สึกว่าสี แสง มันหมองลง เฟรมเรทก็ลดลง เจอฉากเคลื่อนไหวเร็วๆ หรือคิวบู๊นี่ดูเหมือนภาพกระโดดๆ
นี่ดูในโรงหรือดูข้างนอกครับ?
เฟรมเรทมันจะเหลือครึ่งเดียว เพราะหารสองตา ตาข้างละเฟรม
ถ้าที่ดูในโรงนี่เฟรมเรตเท่ากันนะครับไม่โดนหาร
หนังจะดีไม่จำเป็นต้อง 3 มิติ
That is the way things are.
แต่ถ้าหนังดีอยู่แล้วมี 3 มิติด้วยก็เป็นทางเลือกที่ดีนะครับสำหรับคนที่ต้องการ เหมือนการใส่เสียงที่มีมิติเข้ามานี่แหละครับ หนังดีเสียง mono มันก็ยังเป็นหนังที่ดี
แต่ด้วยความยุ่งยากและปัจจัยอื่นๆ มันก็เลยไม่เหมาะนัก
ใช้กล้องสามมิติถ่าย ได้หนังทั้งแบบสองมิติ และสามมิติ
ใครไม่เคยดู Gravityแบบ3D ผมบอกเลยว่าคุณโคตรพลาดครับ
เป็นหนังไม่กี่เรื่องที่ ดู3Dแล้วเวียนหัวน้อยกว่า2D แถม3Dเรื่องนี้ มิติตื้นลึกสมจริงมากด้วย ใครเคยดูแต่ 2Dแล้วรู้สึกว่าภาพมันไม่สมจริง ผมแนะนำว่าให้ไปหา3Dมาดูครับ
ขอตอบรวบยอดทุกคนด้วยการ reply ตัวเองแล้วกันนะครับ
อย่างที่ผมบอกหนังจะดีไม่จำเป็นต้อง 3D และหลายครั้งความเป็นหนัง 3D ทำให้หนังห่วยลงได้ด้วยซ้ำ เมื่อตั้งธงว่าต้องทำหนัง 3D แล้วก็มักจะต้องมีการคำนวณปริมาณฉากที่นำเสนอความเป็น 3D ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้ชมจะได้รู้สึกคุ้มค่าที่ต้องเสียเงินไปดูความเป็น 3D นี้ หากสร้างหนัง 3D มาฉายในโรงแต่มีฉาก 3D แค่ 3-4 ฉากไม่กี่นาที ผู้ชมก็คงรู้สึกไม่ชอบใจเป็นแน่ที่ต้องสวมแว่น 3D ตั้งแต่หนังเริ่มจนจบเพียงเพื่อดูฉากไม่กี่ฉาก ดังนั้นหลายครั้งหนังที่ทำโดยการตั้งเป้าเป็น 3D แต่แรกมักจะมีฉาก 3D มากเกินความจำเป็น slow motion มากเกินความจำเป็น ฝืนมุมกล้องเพื่อสร้างให้วัตถุลอยออกมานอกจอเกินความจำเป็น ทำให้สุดท้ายแล้วความเป็นหนัง ความเป็นศิลปะ การดำเนินเรื่อง การถ่ายทอดอารมณ์ อรรถรสหลาย ๆ อย่างในการรับชมหนังไม่ได้ดีอย่างที่ควรจะเป็น บางเรื่องถึงกับต้องตัดบางฉากเพื่อใส่ฉาก 3D เข้าไปด้วยซ้ำเนื่องจากระยะเวลารวมที่ถูกจำกัดเอาไว้
ตอนเด็ก ๆ สมัยก่อนผมก็ชอบดูหนัง 3D เพราะมันก็ได้ความรู้สึกว่าสนุกดีมีวัตถุออกมานอกจอ แต่พอโตขึ้นหลัง ๆ ดูหนังก็เพื่อเนื้อเรื่อง เสพย์อรรถรสอารมณ์ต่าง ๆ ของตัวละคร การที่มีวัตถุออกมานอกจอมันเลยกลายเป็นแค่เปลือกกลวง ๆ ที่ไม่จำเป็น และมันไม่ได้สมจริงเพิ่มขึ้น เพราะส่วนมากเราก็ดูหนังในมุมมองของบุคคลที่ 3 อยู่แล้ว ไม่ได้ดูในมุมมองของบุคคลที่ 1 หากนำไปเทียบกับระบบเสียง ผมว่าระบบเสียงสร้างความสมจริงของระยะเสียงได้ดีกว่า ถ้าให้เลือกดูหนัง 3D ระบบเสียง mono กับดูหนัง 2D แต่ระบบเสียง Dolby ผมเลือกอย่างหลังอย่างไม่ต้องสงสัย
ขนาดหนังที่ได้รับรางวัลมากมายอย่าง Gravity รางวัลทั้งหมด 7 รางวัล Acedemy Award ซึ่งผมดูรายชื่อรางวัลที่ได้แล้วก็ยังสงสัยว่า ถ้าหนังเรื่องนี้ไม่ได้เป็น 3D จะได้รางวัลน้อยลงหรือไม่ ? ถ้าไม่ก็แปลว่าความเป็น 3D นั้นไม่น่าจะสำคัญขนาดนั้น
รายชื่อรางวัลที่ Gravity ได้รับคือ Best Director, Best Cinematography, Best Visual Effects, Best Film Editing, Best Original Score, Best Sound Editing, and Best Sound Mixing
That is the way things are.
อันนี้เห็นด้วยครับ น่ารำคาญมากกว่า ผมขอแค่มันถ่ายเหมือนหนังปกติแค่ใช้กล้อง 3D ก็พอแล้ว
เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ
เรื่อง Gravity ผมดูสองรอบ ทั้ง 2D และ IMAX 3D คือพอเป็น IMAX มันตื่นตาตื่นใจจริงๆ แต่เป็น 2D ก็ไม่ได้รู้สึกด้อยลงหรืองานภาพมันดูสวยน้อยลงเลย จริงๆความดีของ 3D เรื่องนี้คือมันไม่มัวแต่จะพุ่งใส่คนดูแต่เน้นความลึกของภาพให้มันดูเวิ้งว้างมากกว่า
แต่ก็นั่นแหละ หนังดีไม่จำเป็นต้องเป็น 3D เลย
ชอบดูจอใหญ่ๆ โค้งๆ แบบ IMAX แต่ไม่ชอบ 3D มันปวดตามากๆๆๆๆ
ขี้เกียจพกแว่น จะซื้อใหม่ก็เสียดาย ถถถ
ส่วนตัวไม่ค่อยชอบหนัง 3D เหมือนกันครับ พอใส่แว่นเหมือนมีฟิลเตอร์ ภาพสีสันที่ควรจะได้มันไม่ได้เลย
พอไปดูหนังที่มีระบบ 3D เป็นตัวเลือก แต่เราไปดูเป็นธรรมดา หนังบางเรื่องจะพยายามใส่ฝุ่น ใส่วัตถุ บางอย่างเต็มเฟรม เพื่อที่จะขายความ 3D ไปอีก คือเวลาไปดู วัตถุที่ว่านี่มันจะลอยเป็นเลเยอร์ๆ แต่พอไปดูระบบธรรมดากลายเป็นรก ไปเลย
ไม่ชอบเหมือนกันครับ อยากดู IMAX หลายทีแล้ว แต่พอเจอคำว่า 3D ก็ต้องขอลาครับ
หนังเรื่องไหน IMAX 2D นี่ผมอยากจะกราบคนทำเลยทีเดียว
ผมเป็นคนใส่แว่นสายตา แล้วก็ไม่ชอบใส่แว่น 3D ซ้อนแว่นสายตา เลยไม่ค่อยชอบดู
ถ้าเป็น 3D IMAX ยอมรับว่าว้าวมาก ครั้งแรกที่ไปดูทึ่งสุดๆ แต่การใส่แว่นซ้อนแว่นทำให้มีขอบๆเวลาดูกลับทำให้ผมไม่ค่อยสะดวกนัก ก็ดูอีกแค่สองสามทีก็เลิก
ส่วนที่บ้าน ทั้งสองแห่งก็เป็นโทรทัศน์ 3D แถมมีเครื่องเล่น 3D Bluray ด้วย แต่ก็เห่อแค่แรกๆเหมือนกัน เพราะไม่สะดวกเรื่องแว่นอีกตามเคย และแผ่น 3D ก็หาซื้อไม่ง่ายแถมราคาก็โขอยู่(แม้จะเป็นแผ่นปลอมก็เถอะ)
3D สำหรับผมไม่มีอะไรนอกจาก ฝุ่น ควัน ของต่างๆ ที่ปาใส่จอ ในฉากๆนึงที่สโลนานๆ แค่นั้นล่ะ ที่เหลือก็แลกกับสีที่เพี้ยน และ การปวดตา
เรื่องแรกที่เข้าดูโรง 3D คือ Furious 7 และก็เป็นเรื่องสุดท้าย เพราะพอใส่แว่นแล้วจอเหลือเล็กนิดเดียว ฉากบู๊เร็วๆ นี่เบลอ ภาพก็ไม่คมชัด สุดท้ายต้องดูโรงธรรมดาอีกรอบ สบายตา ได้อรรถรสกว่าเยอะ
ปวดตามมากครับ ดูได้ครึ่งเรื่องก็จะอาเจียน เลยไม่ได้ดูมานานมาก เรื่องล่าสุดน่าจะ avartar เนี่ย
หนังส่วนมากเอาสามมิติมาใช้งานเต็มที่ไหมละ Avatarใช้งานเต็มที่จนคนพร้อมจ่ายแพง ขนาดที่เรื่องอื่นมาใข้ไม่เห็นมีอะไร
หนัง 3d มันก็ 3d ทั้งเรื่องแหล่ะค่ะ ฉาก close up เห็นแต่หน้าตัวละครตอนคุยกัน มันก็ใช้กล้อง 3d ถ่าย มันจะสังเกตมิติยากหน่อยแค่จมูกนูนๆโหนกหน้าผากนูกๆ ไม่มี bg ให้เล่นระยะ