มีคนพบข้อมูลของบริการใหม่ไมโครซอฟท์ชื่อ Microsoft Managed Desktop ที่น่าจะเป็นการให้บริการ Windows พร้อมซัพพอร์ต-อัพเดตแบบจ่ายรายเดือน
บริการลักษณะนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะมีบริษัทหลายรายให้บริการ desktop-as-a-service (DaaS) สำหรับตลาดองค์กรอยู่แล้ว แต่คราวนี้น่าสนใจว่าพอเป็นไมโครซอฟท์มาทำเอง รูปแบบของมันจะเป็นอย่างไร
แหล่งข่าวของ ZDNet บอกว่า Microsoft Managed Desktop จะรวมเอาบริการทุกอย่าง ตั้งแต่ค่าไลเซนส์ การทำ provisioning ไปจนถึงการอัพเดตและซัพพอร์ตด้วย เป้าหมายก็คือลดภาระของฝ่ายไอทีในองค์กรที่ต้องดูแลอัพเดตเครื่อง Windows 10 จำนวนมากๆ นั่นเอง
ปัจจุบันไมโครซอฟท์มีบริการบางอย่างอยู่แล้ว เช่น Windows Autopilot สำหรับทำ provisioning หรือ Microsoft 365 ที่คิดค่าไลเซนส์แบบจ่ายรายเดือน แต่บันเดิลรวมเอาทั้ง Windows/Office ไว้ด้วยกัน (ยังไม่มีการแยกขายไลเซนส์ Windows อย่างเดียวเป็นรายเดือน)
ตอนนี้ยังไม่แน่ชัดว่า ไมโครซอฟท์จะขาย Microsoft Managed Desktop เองโดยตรง หรือขายผ่านคู่ค้า (หรือทั้งสองอย่าง)
ที่มา - ZDNet
Comments
ขอราคาไม่เกิน 2,000 ต่อปี (ไลเซนส์ Home) หรือ 3,000 (ไลเซนส์ Pro, Ent.) จะย้ายไปใช้อย่างไว
ผมว่าราคานั้นยังแพงไปนะ เพราะ Win Home กล่องเต็มย้ายเครื่องได้มันกล่องประมาณ 3500 - 4500 บาท
ส่วนตัว Win Pro ตัวเต็มยังไงก็ไม่ถึง 8000 บาทแน่นอน ตอนนี้คอมหลายเครื่องอายุเกิน 3 ปีแล้วด้วยสิ
ไปใช้ linux กันเถอะ
ขอเหตุผลหน่อยครับ ว่าทำไมต้องไปใช้ linux มันดีดว่า Windows ยังไง สำหรับ user ทั่วไป
เขาคงไม่คิดจะเสียตังกับของแท้เลยละมั่ง ฮ่า ๆ
ฮ่าๆๆ
ไม่คิดเสียตังค์ แล้วใช้ Linux ยังดีกว่าคิดจะเสียตังค์ แต่ยังใช้ windows crack อยู่นะครับ
ขนาดผมใช้ Linux เอง ผมยังไม่ชวนใครมาใช้เลยครับ ยิ่งถ้าเป็นองค์กรที่ต้องการเสถียรภาพ (ที่ไม่ได้ใช้ Linux มาแต่เริ่มต้นอยู่แล้ว อย่าง Google, Facebook, Cisco ถ้าในไทยเองก็มีบริษัทรถทัวร์แห่งหนึ่งนำไปใช้ ผมลืมชื่อละ) ปรับตัวยาก ต้องมีความรู้พื้นฐานพอสมควร ควบคุมไม่ดีมีสิทธิ์เจ๊งกันทั้งระบบ
มีแบบจ่ายแล้วไม่อัปเดทมั๊ยครับ
+555
เห็นด้วยครับ ซื้อขาดแพงกว่าเดิมก็ยอม 555
จริงมาก ไว้โหลดแพทช์ใหญ่มาลงเองได้ไหม
ระวังคนจะกลับไปใช้เถื่อนอีกนะ
เค้าแค่เพิ่มทางเลือกมากขึ้นกว่าเดิม มันจะทำให้คนกลับไปใช้เถื่อนยังไงหรอครับ?
ยกเว้นคนเหล่านั้นไม่อยากจ่ายแต่แรก ต่อให้ทำตัวเลือกแบบไหนก็คงไม่จ่าย
ไปใช้ Linux แล้ว ต่อ Printer ยังไงครับ
จริงๆนะ ผมมีประสบการณ์ implement บริษัทใช้Linux ประมาณ100เครื่อง ฝันร้าย จริงๆ
ถ้า config CUPS เป็นแล้ว เรื่อง printer นี่ ง่ายกว่า Windows เยอะเลยนะครับ
และง่ายสำหรับ Windows client ด้วย ที่จะพิมพ์ไปยัง CUPS Print server
ดังนั้น ต้องขอถามกลับก่อนว่า ตอนต่อ printer คุณทำมายังไงครับ?
เข้าใจว่าต้องผิดพลาดอะไรซักอย่าง จึงเห็นว่ายาก
ไอ้ config ที่ว่ามาน่ะแหละ มันยาก นึกถึงใจ user ธรรมดา ๆ ด้วยครับ
"ผมมีประสบการณ์ implement บริษัทใช้Linux ประมาณ100เครื่อง"
แปลว่าเขาไม่ใช่ "user ธรรมดาๆ" ครับ ผมจึงพยายามจะแนะนำ
cups ขอให้คอนฟิกที่ฝั่ง server ที่เดียวให้ถูกต้องก็พอครับ ฝั่ง client จะสิบเครื่องหรือพันเครื่องก็ปริ้นงานได้ไม่ต่างกันครับ
ฝันร้ายไม่ได้อยู่ที่เรื่อง printer แต่จะไปอยู่เรื่องการสอน user ทำอย่างอื่นมากกว่า แต่เอาจริงตั้งแต่ windows 10 มา user ก็ต้องเรียนรู้ใหม่เยอะมากเหมือนกันครับ
เอาจริงๆตั้งแต่ windows 8 ขึ้นไปก้ทำเอาคนมึนกันแล้วนะไม่ต่างจาก Linux หรอก ฝั่ง server ก็ตั้งแต่ windows2012 ที่ทำให้คน IT มึนตึบหาการทำงานที่ต้องการไม่เจอ แต่เพราะมันยังชื่อ windows เหมือนเดิมเลยทำให้มีผลทางใจว่ายังไงมันก็มีโครงสร้างที่คุ้นเคยกว่า OS อื่น ทั้งที่จริงมันไม่ใช่
เท่าที่ลองกับ hp ตัวใหม่ที่ office นี่ ubuntu ไม่ต้องลงอะไรเลยครับ เสียบปับพิมพ์ได้ปุบ
ตอนแรกผมก็หาdownload driverไม่เจอ หลายคนบอกlinuxมีปัญหาเรื่องdriver จนปัญญา พอลองเสียบสายusbปุ๊บlinuxเจอทันที พิมพ์งานได้ทันที
เดี๋ยวนี้ แต่ละยี่ห้อต่างก็ Distribute code กันเองแล้วครับ ทำให้ปัจจุบัน CUPS ล่าสุด จะรู้จัก Printer ในท้องตลาดทั้งหมดที่มีอยู่ทันทีครับ
ปัจจุบัน นอกจาก nVidia แล้ว ผู้ผลิตอุปกรณ์ต่อพ่วงสำหรับคอมพิวเตอร์เกือบทั้งหมด มักจัดวิศวกร 2-3 คนคอย Distribute code เข้าต้นน้ำกันหมดแล้วครับ
เพราะใครๆ ก็รู้ว่า Open Source เป็นกลไกหนึ่งที่สำคัญในวงการกันแล้วครับ (ตอนนี้มีกระทั่ง Open Source hardware แล้วนะครับ)
ยังไง ขอย้ำให้อ่านดีๆ นะครับ ผมมีคำว่า "ล่าสุด" อยู่ด้วยนะครับ ซึ่งโดยปกติ Linux ไหนๆ (รวมไปถึง Android และ CUPS ใน MacOS ด้วย) จะไม่ "ล่าสุด" เสมอ
นั่นหมายความว่า คุณย่อมจะยังพบเหตุการณ์เช่น "คุณซื้อ Printer ล่าสุดในปัจจุบันมาเสียบ แต่ใช้การไม่ได้" เพราะ Code ดังกล่าวมันส่งเข้าต้นน้ำครับ
เมื่อก่อนซื้อเครื่องพิมพ์ผมก็ดู brother ไว้ก่อนเพราะมี driver linux ให้โหลดในหน้าเว็บ
แต่เดี๋ยวนี้แทบไม่ต้องคิดแล้วครับ อะไรก็ได้ ถ้าเสียบแล้วใช้ไม่ได้ ก็เปิดดูใน http://www.openprinting.org กับ google แป๊บเดียวใช้งานได้แล้ว
อยากให้ขายพ่วงกับ Surface ทำเป็นบริการ Device as a Service มาเลยจะ Work มาก
oxygen2.me, panithi's blog
Device: HP Zbook, iPad Pro, iPhone 15PM, iPhone 16+, Nothing Phone 1
ยอมเลยถ้า email ที่ login ในเครื่องแล้วจ่ายรายปี email เดียวใช้ได้สัก 2 เครื่องและเป็นแท้ทั้งคู่
ถ้าขายพ่วง 365 แล้วไม่เพิ่มราคาก็น่าซื้อ
User ใช้ linux ubuntu และ mint ครับ ใช้ web app ครับ google doc และ ไลบร้าออฟฟิศ เหลือเศษวินโด้ไว้ให้บัญชี กับบริหารดู pivottable กับงานกราฟฟิคนิดหน่อย จับเซ็นชื่อ หมดครับใครลงเถื่อน รับผิดชอบจ่ายเอง
น่าจะเห็นตัวอย่างจาก Adobe แหงเลย ให้ลูกค้าจ่ายเงินก้อนเล็ก ๆ ทุกเดือน มันง่ายกว่าจ่ายก้อนใหญ่ทีเีดยว
แถมน่าจะดึงกลุ่มเถื่อนเข้ามาใช้วินโดว์แท้ได้ง่ายกว่า
แต่ก็ต้องดูราคาอีกที ถ้าราคาสมเหตุสมผล ผมว่าคนน่าจะใช้วินโดว์แท้กันมากขึ้น
ถ้ามาเป็นตัวเลือกอีกอันมันก็ดีครับ แต่ส่วนตัวนะการมีแต่ตัวเลือกจ่ายรายเดือนอย่างเดียวแถมแพคเกจก็ไม่หลากหลายมันทำให้ผมไปหาตัวเลือกของเจ้าอื่นแทน เพราะในการใช้งานระยะยาวแล้วมันคุ้มค่ากว่า(จริงๆแค่ 4 เดือนก็คุ้มค่ากว่าละ)
ก็คำนวนง่าย ๆ นะครับ เอาแบบถูกสุด
ปรกติ ใช้งานเครื่องกันประมาณ 6 ปี Windows Home ก็ 4,000
Office แบบ Home & Business + Outlook ก็ 8,000
ตกปีละ 2,000 ถ้าต้องใช้ Windows Pro ก็ประมาณปีละ 2,700
แต่จ่ายรายปีถูกกว่า ถ้าไม่ขี้เกียจต้องมานั่ง ซื้อก่อลงต่อรายปีทุกปีอ่ะนะ
ขอรวม office มาด้วยเลย และตัด telemetry และโฆษณาต่างๆ ออกให้หมด