ขอบคุณสำหรับคำตอบครับ ขอเสริมนิดนึง ราคาของการไม่มีคนกลางอย่างธนาคารคือค่าธรรมเนียมที่อนาคตจะยิ่งแพงขึ้นอย่างมหาศาล
อย่างช่วงที่ก่อนหน้านี้ที่คนใช้กันเยอะๆแล้ว transaction ตกค้าง ใครอยากโอนไวก็ต้องจ่ายแพง (ปลายปีที่แล้วค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 6$/ธุรกรรม) ใครไม่จ่าย transaction ก็ไปตกค้างใน mempool 30 นาทีโอนได้เลยนี่อุดมคติครับ แต่ในความเป็นจริงใครจะจ่ายแพงขนาดนั้นโอนเงิน 10 บาทค่าธรรมเนียม 200 ก็ไม่ไหวนะ
ผมเคยโอนออกจากเว็บนึงไปอีกเว็บนึง ใช้เวลา 3 วัน
สุดท้ายมันจะกลายเป็นวงจรณ์อุบาท อย่างที่ผมบอกว่า คนใช้แค่นิดเดียวยังมีปัญหาขนาดนี้ กินไฟขนาดนี้ แล้วถ้าคนใช้ทั้งโลกล่ะ ระบบยิ่งใหญ่ขึ้นคนแข่งกันขุดมากขึ้น ค่าธรรมเนียมก็แพงขึ้น ธุรกรรมตกค้างก็มากขึ้น แล้วตอนนั้นต้องใช้คอมขุดอีกกี่เครื่องต้องใช้ไฟฟ้าอีกเท่าไหร่ ถ้าเทียบกับระบบการเงินแบบปัจจุบันแล้วอะไรคือประโยชน์ที่ได้เมื่อเทียบกับพลังงานที่ต้องเสียไป ไปกินก๋วยเตี๋ยวชามนึง จ่ายเงินไม่ต้องรอกันข้ามปีเลยหรือ
กระเป๋าเก็บเงินก็อีกเรื่องนึงอันนี้ก็ไม่ได้กินไฟ แต่ถ้าคุณโอนเงินข้ามกระเป๋าธุรกรรมก็ต้องวิ่งในระบบอยู่ดี ซึ่งไอ้การยืนยันธุรกรรมว่าเป็นของจริงนี่แหละที่เค้าเรียกว่า "การขุด" แค่ทุกวันนี้ใครขุดได้ก็ได้เหรียญตอบแทน แต่พอเหรียญมันครบแล้วไม่มีการแจกเหรียญ server ขุดก็ไม่ได้หายไปไหนเพราะถ้าไม่มีใครขุดก็ทำธุรกรรมไม่ได้ ของตอบแทนสำหรับคนขุดก็คือค่าธุรกรรมจากการโอนนั้นเอง มันคือไส้ในของ blockchain แบบ public จริงๆ ขนาด ethereum ที่ว่าเจ๋งๆ เอาเข้าจริงตอนที่บูมๆช่วงปลายปีที่แล้ว-ต้นปี ยังช้าเลย ถ้าของเร็วจริงถูกจริงต้อง Ripple แต่สุดท้าย Ripple ก็คือบริษัทที่กลายเป็นตัวกลางอยู่ดี

Server wallet มันคือ Wallet qt ของ coin ครับ ผมถึงบอกให้ load มาเล่นดู มันจะได้คุยกันรู้เรื่อง
wallet coin มัน gen address ได้เรื่อยๆ server wallet มันใช้หลักการนี้ client ตัวเดียว ใช้กันหลายคน
ซึ่งมันคนหละเรื่องกับสิ่งทีผมพูด ส่วนเรื่องทำไก๋ อะไรนี้ ตลกไปนะครับ ผมไม่ใช่เพียวสาย นี้การอธิบาย ผมจะใช้คำง่ายๆ แทนศัพท์ เทคนิค ผมจะไม่ค่อยจำมาใช้หรอก
ส่วน data ที่ผมว่าคือ ตัว wallet มันจะ load ข้อมูล สำหรับ blockchain มาไงครับ
https://www.statista.com/statistics/647523/worldwide-bitcoin-blockchain-size/

นี่ของ BTC อะไระแบบนี้

ส่วนวรรคสุดท้าย ผมไม่เถียงต่อหละ เราเข้าใจคนหละเรื่องจริงๆ จบเพียงเท่านี้ครับ