สื่อต่างประเทศเริ่มออกรีวิว NVIDIA GeForce RTX 2080 และ 2080 Ti ที่หลายคนรอคอยกัน ภาพรวมของรีวิวหลายสำนักชี้ตรงกันว่า ประสิทธิภาพดีขึ้นจาก GeForce GTX 1080/1080 Ti อย่างก้าวกระโดด และเราสามารถใช้การ์ดใบเดียวรันเกมที่ความละเอียด 4K เปิดตัวเลือกกราฟิกในเกมแบบสูงสุด แล้วยังรักษาเฟรมเรตเกิน 60 FPS ได้จริงๆ (ในกรณีของรุ่น 2080 Ti)
สถิติของ Engadget ลองเล่น FFXV ที่ความละเอียด 4K และตั้งค่าตัวเลือกกราฟิกเป็น high พบว่า 2080 Ti สามารถรันได้ระดับ 65-75 FPS, 2080 ที่ระดับ 49-54 FPS ในขณะที่ 1080 ทำได้ที่ 30-40 FPS เท่านั้น
ตัวเลขของ Ars Technica เล่น Shadow of Tomb Raider ที่ 4K ตั้งค่าแบบ ultra พบว่า 2080 Ti ทำได้ที่ 70 FPS, 2080 ทำได้ที่ 54 FPS ส่วน 1080 Ti อยู่ที่ 49 FPS
AnandTech สรุปตัวเลขเฉลี่ยว่า 2080 Ti มีประสิทธิภาพในการเล่นเกม 4K ดีขึ้นจาก 1080 Ti ประมาณ 32% และถ้าเป็น Founders Edition ที่เพิ่มคล็อคและ TDP อีกเล็กน้อย ตัวเลขจะเพิ่มเป็น 37%
อย่างไรก็ตาม ฟีเจอร์ใหม่ๆ ของ GeForce RTX ที่ได้มาจากสถาปัตยกรรม Turing ไม่ว่าจะเป็นการทำ Deep Learning Super Sample (DLSS) หรือการทำ Ray Tracing ยังไม่เห็นผลมากนัก เพราะเกมยังไม่ค่อยซัพพอร์ต คงต้องรอกันอีกสักระยะกว่าจะเห็นว่าจีพียูให้ประสิทธิภาพดีแค่ไหนในเรื่องเหล่านี้
รายชื่อเกมที่ประกาศรองรับ Ray Tracing และ DLSS เกมเด่นๆ ที่ประกาศรองรับ Ray Tracing ยังมีน้อย เช่น Battlefield V, Metro Exodus และ Shadow of the Tomb Raider
รีวิวทุกเจ้ายังพูดตรงกันว่าการ์ดยุค Turing มีราคาแพงกว่าเดิมมาก (2080 Ti ราคา 1,199 ดอลลาร์ เทียบกับ 1080 Ti ราคา 709 ดอลลาร์ หรือขึ้นมาประมาณ 500 ดอลลาร์) ถ้าไม่รีบร้อนก็ควรรอไปอีกสักระยะหนึ่งแล้วค่อยซื้อ (เช่น อาจรอ 2070 ที่ราคาถูกกว่า หรือรอ GeForce 10 ลดราคาลงมา) อีกประเด็นที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้น ต้องแลกกับการใช้พลังงานที่เพิ่มขึ้นด้วย
ที่มา - Engadget, Ars Technica, AnandTech
Comments
รอ GTX 2060 แค่ FullHD 60fps นิ่งๆเพียงพอแล้วสำหรับผม
ไปไกลกว่าการ์ด AMD หลายขุมเลยแฮะ แถมกินไฟน้อยกว่ามาก
ความล้มเหลว คือจุดเริ่มต้นสู่ความหายนะ มีผลกระทบมากกว่าแค่เสียเงิน เวลา อนาคต และทรัพยากรที่เสียไป - จงอย่าล้มเหลว
อ่านไปมึนไป เจอเลข 1080 นึกว่าขนาดจอ FHD แต่จริงๆ คือรุ่นการ์ดจอ ตึงโป๊ะ
กั๊กก็คือกั๊ก รอ ต่อไป
จอเล่นเกมปกติแบบ ซัก 24 นิ้ว นี่ 4k มันเห็นผลหรอครับ
ผมเล่นแค่ 1080p ผมก็ว่าชัดแล้วนะ
จอ 4K มีหลายขนาดครับ
จอ 4K เท่าที่เห็นมีขายในบ้านเราอย่างน้อยก็ 27 นิ้วครับ แต่จะเห็นผลต่างมากมั้ยเวลาเล่นเกมอันนี้ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ถ้าเป็นการใช้งานทั่วไปนี่เห็นผลแน่ครับ ตัวหนังสือสวยคมต่างกันเลยกับจอ FHD
ปกติผมต่อทีวีเอาครับ 55 นิ้วนี่ชัดเจนเลย
อันนี้เข้าใจได้ครับ 5555
จะว่าเห็นก็เห็นครับ แต่เอาไปเล่น 1080 ที่ 144Hz เห็นความลื่นชัดเจนกว่า
+1
ขอ 1080p Ultra 144FPS
เห็นด้วยครับ
ยุคสมัยนี้มันต้องแข่งที่ Ray Tracing กันแล้ว
VRay, Arnold, Cycle #ผิด
ราคานำประสิทธิภาพ แต่ก็นะเทคมันทิ้งห่างก็เหมือนผูกขาดจะตั้งราคายังไงก็ได้
เท่าที่ดู 2080 = 1080 TI
ประสิทธิภาพไม่ค่อยฉีกเหมือนสมัยก่อนเท่าไหร่
เพราะสมัยก่อนจะประมาณ
1070 = 980 TI
970 = 780 TI
คงเพราะ Turing ต้องแบ่งพลังชิปไปใช้กับ RT Core และ Tensor Core มั้ง
หรืออีกนัยนึง 1080 TI มันแรงฉีกจากเพื่อนๆ 10 Series มากเกินไป 555
ผมว่ามันต้องเปิดทุกฟีเจอร์ครบเทียบกันครับ เหมือนเอาการ์ดจองาน Cuda มารันบน AMD อะครับ ถ้าปิด Cuda ก็ไม่ค่อยต่างหรอกแต่พอเปิดเท่านั้นแหละกระจุย
ฮาตรง หลายๆเจ้ากังวลเหมือนๆกันว่า RT/Tensor ที่จ่ายเกินมาสุดท้ายจะเป็น transistor ขยะ(สำหรับสายเกม)นี่แหละ
PhysX all over again.
Russia is just nazi who accuse the others for being nazi.
someone once said : ผมก็ด่าของผมอยู่นะ :)
ทาสการตลาดนั่นเอง
เออ อันนี้จริงครับ PhysX แม่ม สุดยอดเลย ฮ่ะๆๆ
น่าคิดครับ 6555
ສະບາຍດີ :)
วันนี้นั่งฟังทาง Digital Foundry วิเคราะห์ตัว DLSS ที่ใช้ Deep Learning ทำ Super Sampling เท่าที่ฟังคือทางฝั่ง Nvidia เหมือนกับว่า จะดันตัวนี้ขึ้นมาในกรณีที่เกมนั้นรันที่ resolution สูงมาก ๆ ไม่ได้ (4K, 8K อะไรทำนองนี้ล่ะครับ) และเหมือนว่า MLSS จะต้องใช้ตัว Tensor Core ด้วย
https://www.youtube.com/watch?v=MMbgvXde-YA
ผมยังไม่รู้ว่ามันจะเอา Tensor Core มาใช้ทำอะไร แล้วทำไมมันถึงเทรนออฟไลน์ไม่ได้เหมือนกัน :P
การตลาดเพื่อเอาชิปที่เคยออกแบบในตลาด AI มาปิด CUDA แล้วขายในตลาดเกม
ราคาโหดจริง ๆ
That is the way things are.