ตลอดเวลาที่ผ่านมา ข้อจำกัดของแว่น VR คือจำเป็นต้องพึ่งพาพีซีในการประมวลผล ทำให้ต้องเสียบสายตลอดเวลา ขาดอิสระในการเคลื่อนไหว ครั้นจะไปใช้แนวทางประมวลผลผ่านมือถือ (เช่น Gear VR) ก็ต้องแลกความคล่องตัวกับสมรรถนะที่ลดลงเมื่อเทียบกับการใช้พีซี
Oculus ในฐานะผู้บุกเบิกวงการ VR ยุคใหม่ก็รับทราบปัญหานี้เป็นอย่างดี แม้ออก Oculus Go มาคั่นเวลา แต่แท้จริงแล้ว ไส้ในของมันคือ Snapdragon 821/Android ซึ่งมีพลังเท่ากับมือถือทั่วไปอยู่ดี
อย่างไรก็ตาม Oculus ยังมีโครงการ VR ไร้สายสมรรถนะสูงพัฒนาอยู่ ก่อนหน้านี้เรารู้จักมันในชื่อ Project Santa Cruz และวันนี้มันเปิดตัวอย่างเป็นทางการในชื่อ Oculus Quest
จุดเด่นของ Oculus Quest คือการรวมข้อเด่นของแว่น VR ทั้งสองแนวทางเข้าด้วยกัน นั่นคือไร้สายใดๆ มีระบบ internal tracking ไม่ต้องใช้เซ็นเซอร์ภายนอกช่วยติดตามตำแหน่ง ช่วยให้ผู้เล่นมีอิสระในการเคลื่อนไหวอย่างสมบูรณ์ ในขณะเดียวกันก็มีพลังประมวลผลใกล้เคียงกับพีซี สามารถเล่นเกมของ Oculus Rift ได้อย่างไม่มีปัญหา โดย Oculus บอกว่าจะมีเกมให้เล่นในช่วงเปิดตัวประมาณ 50 เกม
สเปกของ Oculus Quest เท่าที่เปิดเผยคือ ใช้หน้าจอความละเอียด 1600x1440 ต่อข้าง และใช้เลนส์ตัวเดียวกับ Oculus Go, มีระบบเสียงในตัวที่สายคาดศีรษะ (แบบเดียวกับ Oculus Go) แต่พัฒนาคุณภาพเสียงให้ดีขึ้น, ความจุ 64GB แต่ยังไม่มีข้อมูลของหน่วยประมวลผล แรม และแบตเตอรี่
ตัวเซ็นเซอร์ของ Quest มีชื่อเรียกว่า Oculus Insight ใช้เซ็นเซอร์ 4 ตัวติดที่มุมของแว่น เพื่อวัดตำแหน่งของแว่นและผู้เล่นจากสภาพแวดล้อมรอบตัว ทำให้สามารถเคลื่อนไหวได้ใน 6 มิติ (ภาษา VR เรียกว่า 6DOF หรือ six degrees of freedom อิสระในทั้ง 6 มิติคือ หน้า/หลัง/ซ้าย/ขวา/บน/ล่าง) เทียบกับ Oculus Go ที่ทำได้แค่ 3 มิติเพราะมีเซ็นเซอร์น้อยกว่า ส่วน Oculus Rift ต้องมีเซ็นเซอร์ภายนอกคอยช่วยจับตำแหน่ง
Oculus Quest มีกำหนดการวางขายในช่วงฤดูใบไม้ผลิต้นปี 2019 ในชุดมีคอนโทรลเลอร์ Oculus Touch มาให้เรียบร้อย ราคา 399 ดอลลาร์ (ราคาเท่ากับ Rift ส่วน Oculus Go ขายในราคา 199 ดอลลาร์ จับตลาดที่ต่ำลงมา)
ความเห็นจาก Engadget ที่มีโอกาสลองใช้ Oculus Quest ตัวจริงในงานแถลงข่าว ระบุว่าคุณภาพของภาพดีในระดับที่เรียกว่าเป็น standalone VR ได้ แต่ก็ยังด้อยกว่า Rift อยู่ดี ซึ่งตัวแทนของ Oculus ก็ยอมรับว่ามีข้อจำกัดของการนำพลังประมวลผลไปใส่ไว้บนศีรษะของผู้เล่น ทั้งเรื่องขนาด น้ำหนัก และความร้อน
คู่แข่งของ Oculus Quest คงหนีไม่พ้น HTC Vive Pro ที่จับตลาดเดียวกัน แต่ใช้เทคโนโลยีต่างกัน เพราะ HTC Vive Pro ยังต้องประมวลผลผ่านพีซีอยู่ แต่ส่งข้อมูลไร้สายผ่าน WiGig มาที่แว่นแทน
ที่มา - Oculus Blog
Comments
ชาวบล็อกนันใช้ตัวไหนกันบ้างครับ ผมเห็นคนเล่นเกมสตาร์เทรคแล้วผมอยากเล่นบ้าง
ผมใช้ vive กับรอ pimax 8k ครับ แต่อาจสับไปเอา 5k+ แทน
แวะมาแจมกลุ่มบนเฟสได้ vr party thialand
ผมลองเล่นๆไม่อยากลงทุนมาก เลยสอยตัว windows mixed reality ของ Acer มา
เรื่องความแม่นยำของตำแหน่ง ทั้งตัว headset และ control ด้อยกว่า vive
แต่ก้ใช้งานทั่วไปได้โอเคดีครับ
ด้อยกว่านี่ยังไงครับ พอดีผมไม่เคยใช้เลยก็เลยไม่รู้ว่าแม่นยำเป็นยังไง
ต่อมาคือเรื่องระยะเวลาของ battery รวมถึงน้ำหนักของ battery ที่เพิ่มมาด้วย
ไม่มีสาย คำถามที่เกิดในหัวคือ พลังงาน อยู่ได้นานแค่ไหน
ผมใช้มีสายแบบเดิมก็ไม่ลำบากอะไรนะ (บอกตัวเอง ขายไม่ได้ราคาแล้วมั้ง 55)
มือสองเค้าขายราคาเท่าไรกันครับ
ไม่ได้ตามเหมือนกันครับ แต่ลองค้นเฟสบุคดูเมิ่อกี้ เห็นขาย 8500 เอง -_-
ขายผมๆๆๆ
Oculus Quest ถ้ายกการประมวลผลมาที่ตัวแว่น VR เองแล้วจะเล่นเกมคอมยังไงละเนี่ย มันก็เหมือน Oculus Go หรือเปล่า
oculus go ใช้ riftcat เล่น steamvr ได้เหมือนมือถือครับ ของ quest รอดู ถ้าได้ คุ้มแน่นอน
ไปดูมาน่าสนใจจัง เหมือนจะ Delay น้อยด้วย แต่อดลองเลยใช้ iPhone อยู่
เป็นผมนะ จะออกแบบให้แว่นเบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ เอาแบตฯ ชิ้นส่วนอื่นๆ ออกไปทำเป็นเข็มขัด แล้วต่อสายเชื่อมแว่นกับเข็มขัดด้านหลังหัว
เห็นด้วยว่าควรทำแบตกับอุปกรณ์ฉายไว้ส่วนอื่นร่างกาย เช่นต้นแขนหรือเอว เพื่อให้แว่นมีน้ำหนักเบา ใส่สบายมากกว่า ยิ่งมีแบตนี่ ควรไว้ห่างใบหน้าใกลๆเลย เพราะมันร้อนพอตัว
ฝากกลุ่ม Oculus Quest Thailand หน่อยครับ
https://www.facebook.com/groups/OculusQuestThailand
Spec-ราคา
https://vrthailand360.com/มาร์ค-เปิดตัวแว่น-vr-รุ่นใหม่-oculus-quest-สเปค-ราคา/