บริษัทวิจัย Juniper Research ออกรายงานถึงสภาพตลาดเงินคริปโตที่อนาคตเริ่มไม่สดใส
ในแง่ของราคาเงินคริปโตเป็นที่รู้กันดีว่า มูลค่าพุ่งสูงสุดในช่วงปลายปี 2017 และตกลงมาโดยตลอดในปี 2018 แต่หลายคนอาจมองว่าเป็นการลดลงตามธรรมชาติหลังภาวะเก็งกำไร/ฟองสบู่อยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม ในแง่ของปริมาณธุรกรรมที่เกิดขึ้นจริง สถิติที่ Juniper เก็บความเคลื่อนไหวของสกุลเงินหลักทั้ง Bitcoin และ Ethereum ก็พบว่าลดลงอย่างมากเช่นกัน
Juniper ให้ความเห็นว่าเงินคริปโตไม่น่าจะกลับมามีมูลค่าสูงเท่าปี 2017 ได้อีกแล้ว และน่าจะตกลงมากกว่านี้ด้วยซ้ำ ด้วยเหตุผลว่าเงินคริปโตไม่สามารถใช้งานได้ในโลกจริง ดังจะเห็นได้จากการแบนเงินคริปโตจากบริการต่างๆ รวมถึงแพลตฟอร์มอย่าง Facebook/Google ก็แบนโฆษณาที่เกี่ยวข้องกับเงินคริปโตด้วย
ที่มา - Juniper Research via The Next Web
Comments
เหมืองแตกกระจายไปหลายที่เลย คนที่ลงช่วงปลายปีที่แล้วถึงต้นปีนี้ เจ็บหนักกันน่าดู ส่วนคนที่ลงช่วงต้นปีที่แล้ว ก็น่าจะคืนทุนกันไปรอบนึงละ
ตลาดแบบนี้ ขายความโลภอย่างเดียวเลย
ใครรู้ตัวทัน ขายเทหมดตั้งแต่ต้น มค. นี่รอด
แต่ส่วนใหญ่ไม่รอด ได้แล้วซื้อเพิ่มกลัวจะตกรถ
เงินคริปโตใช้งานได้จริงแต่จะเอามาใช้ทำไมละครับ
ยังจำพิชช่า10000btcได้ไหมขุดดองไว้ป่านนี้รวยไปแล้ว
ช้อนดองรอพุ่งขายเป็นเงินfiatดีกว่าไหม
ตอนนี้ถือเงินจริงก็ไปซื้อของข้ามประเทศด้วยQRcodeกันได้แล้ว
จะเก็งกำไร ต้องเล่นราคาอย่างเดียว ไม่มีปันผล/ดอกเบี้ย
สู้ไปฝากเงินจริงเอาดอกเบี้ย ดีกว่า
มันไม่เหลือจุดขายละ
แมงเม่าลุยไฟ
หรือนี่เป็นสัญญาณของ...
ถ้าจ๊อบส์ยังอยู่...
แล้วเกี่ยวอะไรกับ จ๊อบส์ครับ
อยากจะเกรียนขนาดนั้นเลยหรอครับ
https://en.wikipedia.org/wiki/Joke
ตลกดีแฮะที่บางคนหัวร้อนกะแค่มุข 555
แล้วมันเกี่ยวกับ แอปเปิ้ลหรือเปล่าล่ะ คือเข้าใจมุขที่สื่อนะ แต่ถ้ามันเกี่ยวก็ไม่ได้ขัดอะไรอยู่แล้ว แต่นี่ไม่เห็นมีอะไรเกี่ยวกับแอปเปิ้ลซักนิด ถ้าจะเล่นก็ควรรู้กาละเทศะบ้างครับ
เกี่ยว ไม่เกี่ยวแล้วยังไงครับ เขาเป็นศาสดาทางศาสนารึครับ ถึงได้ร้อนกันกับเรื่องไร้สาระแบบนี้ แล้วนี่ต้องมีกาละเทสะ? กับเรื่องข่าวบิตคอย?
คนไม่มีอารมณ์ขันบางคนนี่ก็หัวร้อนจริงๆ 555
เพราะมันไม่เกี่ยวไงครับ มันถึงฮา เทียบได้กับสาวกแอปเปิลที่อะไรๆ ก็บอกว่า "ถ้าจ็อบส์ยังอยู่" มุกเสียดสีน่ะครับ
ถ้าบอกว่าไม่เกี่ยวกับแอปเปิล ห้ามเล่นมุก ... ผมว่าคำพังเพยไทยนี่ควรงดใช้ในทุกกรณีเลยนะ
ตีวัวกระทบคราด ไม่เกี่ยวกับวัว ห้ามพูด ฮ่าๆๆๆๆๆๆ
ถ้าบอกไม่เกี่ยวแล้วห้ามเล่นนี่ reddit ปิดได้เลยนะ พวก meme, copypasta จบกันหมดเลย
จริง ห้ามอ้างอิง ห้ามใดๆ
ผมไม่คิดว่าคุณ sdc เค้าคิดแบบนั้นจริงๆ นะ ผมว่าเค้าแค่เสียหน้าเพราะออกตัวแรงเลยต้อง keep look
kajokman ควรขอโทษเค้านะครับ เพราะเค้าว่ามันไม่เกี่ยวข้องกับหัวข่าวเลยสักนิด เค้าบอกห้ามเล่นแน่ะ ทีหลังห้ามเล่นอีกนะ ฮ่าๆ
มือใหม่!! ใหม่จริงๆนะ
ยังมีร้านค้าไหนรับ Bitcoin อีกไหมเนี่ย
ไม่นับ Alt Coin อีกหลายพันสกุล ที่ไม่รู้ว่าชาตินี้จะเอาไปใช้ทำอะไรได้ที่ไหนอีกนะ
ดอกทิวลิปยุคดิจิตอล
https://en.wikipedia.org/wiki/Tulip_mania
/>o</
ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คอยน์
กาลเวลาพิสูจน์ดอย ?
กาลเวลาพิสูจน์ปอย
ผมว่ามันบูมเพราะตอนนั้นมันมี Ransomware หรือเปล่าครับ
แล้วคนเรียกค่าไถ่ พี่แกก็ดันรับแต่bitcoin
ตอนนี้ก็ยังนิยมรับ bitcoin นี่ครับ
จริงๆ ก่อนหน้าที่จะรับ bitcoin พวก ransomware เคยรับ gift card มาก่อน
lewcpe.com, @wasonliw
ตอนมันขึ้นเอาๆ พอมีคนทักว่าให้ระวัง ก็จะมีพวกหัวร้อนออกมาตอบโต้ตลอด เห็นในทีวี เห็นข่าวต่างประเทศเค้าห้ามซื้อขาย ก็ยังมีคนมาตอบโต้ว่าจะทำไปเพื่อ?
ตอนนี้เข้าใจตรงกันแล้วนะ
มันเป็นสกุลเงินที่ไม่เสถียรเอามากๆเลยล่ะ คือใครอยากปั๊มก็ปั๊ม ไม่มีกฏเกณฑ์มาดูแล
มีแต่พวกบอกว่าเป้าหมายคือไม่มีคนมาควบคุม ดูแล้วมันเป็นไปไม่ได้หรอก เคยพูดไว้เสมอว่าไม่มีใครควบคุมกับควบคุมไม่ได้มันต่างกันเยอะ
ถ้าจะเอาเป็นสกุลเงินใช้แลกเปลี่ยนได้ มันต้องมีการกำกับดูแล ไม่งั้นก็เงินเฟ้อเอาสิ
พอแถสู้ไม่ได้ก็บอกว่ามันเป็นเทคโนโลยี คือเทคโนโลยีกับสกุลเงินมันคนละเรื่องเลยนะ
เป็นเงินที่สร้างมาจากระบบคอมพิวเตอร์ ก็ต้องให้ระบบคอมพิวเตอร์เป็นตัวควบคุม ไม่ใช่ให้คนมาควบคุม ทีนี้ปัญหามันอยู่ที่ระบบมันควบคุมได้ครอบคลุมทุกกรณีหรือเปล่าเท่านั้นเอง
ไม่มีทางเป็นไปได้ ไม่มีทางที่จะสามารถทำระบบที่ครอบคลุมความโลภของมนุษย์ได้ทุกกรณี
ถ้านับจริงๆ ช่วงหลังๆ เฉพาะ bitcoin นี่ "เสถียร" ขึ้นมากเลยนะครับ เกาะๆ อยู่แถวๆ 6xxx ดอลลาร์ หนีไปไม่ไกลมากแล้ว
lewcpe.com, @wasonliw
Bitcoin มันถึงจุดที่ไม่สามารถสร้างเงินจากอากศได้แล้วรึเปล่า
ตอนที่บูมเหมือนตื่นทอง พอขุดกันจนเกือบหมด สิ่งที่เหลืออยู่ คือ ธุรกิจขายกางเกงยีนส์
Opensource - Hackintosh - Graphic Design - Scriptkiddie - Xenlism Project
ห๊ะ ยังไงนะครับ
"Levi journeyed to San Francisco in 1853 to make his fortune, though he wouldn’t make it panning gold. He established a wholesale dry goods business under his own name and served as the West Coast representative of the family’s New York firm. Levi eventually renamed his company “Levi Strauss & Co.”".
https://www.levistrauss.com/our-story/
น่าจะเปรียบเทียบว่าพอเหมืองแตกหมดคนที่รอดก็คงมีแต่พวกทำธุรกิจที่เกี่ยวข้อง อย่างเครื่องขุดแทน เหมือนยุคตื่นทองคนขุดเจ๊งแต่คนขายกางเกงยีนให้คนขุดกลับรอดทำธุรกิจมาจนปัจจุบัน
มุกลึกล้ำเกินไป ถ้าไม่รู้ประวัติศาสตร์ ไม่ขำ
?
มันเป็นมุกครับ อารมณ์คนขุดทองแย่งกันขุด แต่ไม่รวยสักที คนรวยกลับกลายเป็นคนขาย จอบ เสียม ให้คนขุดทอง ประมาณนั้น
เลยเป็นที่มาว่าเกิดตื่นทองเมื่อไหร่ ให้ดูว่าคนเหล่านี้ต้องการอะไร ให้หามาขาย รัยรองรวยแน่
รัยรองยังไงก็ไม่รวย :)
ขอบคุณทุกคนที่ช่วยกันอธิบายครับ ?
มุกลึกมากเลยครัช อ่านเมนต์จนจบ เพิ่งเข้าใจ 55
ความเห็นนี้อ่านเข้าใจได้ง่ายกว่า ถ้าจ๊อบส์ยังอยู่ เยอะเลย
gtx 1080ti หลุดมาขายมือสอง 12-15k บ่อยๆ คงไม่ต้องบอกมาจากไหน
กราฟเหมือนฟองน้ำที่กำลังบี้ให้แบนเลยแฮะ
พอค่าเงินตก กูรูก็เริ่มหาย
ตอนนั้นกูรูในเพจต่างๆนี้แบบใครเห็นต่างคือไอ้โง่เลย พอขาลงก็บอกให้ hodl ได้แต่มองลูกเพจน้ำตาไหลอยู่ห่างๆ
ถ้ากูรูตัวจริงคงขายเอาเงินไปต่อยอดอย่างอื่นแล้ว แต่กูรูตัวปลอมคงน้ำตาไหลอยู่กับลูกเพจนี่แหละ
จบแล้วที่รวยเละมีแต่คนสร้างเหรืยญกับเครื่องขุดเห็นว่าได้เป็นพันๆล้าน
จำได้ว่าตอนปีก่อนมีข่าวสกุลนึงตกลงมานิดหน่อย มีคนคอมเม้นว่า หรือนี่จะเป็นสัญญาณ ... แล้วม่ีคนมาต่อว่าความรวย
จะร่วงก็ไม่แปลก เพราะรัฐบาลแต่ละประเทศเล่นงานบิตคอยหนักเอาเรื่อง เหมืองที่จีนก็โดนปิดไปหลายแห่ง แต่ก็น่าสนใจที่บิตคอยชนกับประเทศทั้งประเทศ แต่ก็ยังยืนอยู่ได้ถึงจะเป๋หนักก็ตาม
คำว่ายืนได้ของผมนี่คือเอามาใช้ในชีวิตประจำวันได้สะดวกนะครับ นี่กว่าจะใช้ได้ วันนี้เท่านี้ พรุ่งนี้ตกเหลือไม่เท่ากันแบบเยอะๆ แบบนี้อย่าเรียกยืนเลย ยังคลานไม่ได้ด้วยซ้ำ
เข้าใจบิตคอยผิดแล้วมั่งครับ ที่ว่าจะใช้ในชีวิตประจำวันได้สะดวก แค่ต้องรอการยืนยันการโอนก็กินเวลา10นาทีแล้ว แถมถ้าให้ชัวก็ต้องการสร้างบล็อค4-5บล็อคด้วยกินเวลาเกือบชัวโมง มันไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อความสะดวก แต่สร้างขึ้นมาเพื่อความปลอดภัยในการโอน
ยืนได้เพราะความโลภของคน ยืนได้ด้วยการคำนวนซึ่งกินไฟมหาศาล ค่าเงินมีต้นทุนที่สูงมาก ทั้งค่าไฟ ค่า hardware ค่าความเสี่ยง ต้นทุน Transaction
นี่มันไม่ใช้สกุลเงิน เมื่อไหร่ที่ key หาย หรือ ค่าเงินก็ 0
ผมคิดว่ามันเป็นเงินที่ปลอดภัยสูงสุดละ จำได้ไหมครับตอนเชาวลิตประกาศลอยตัวค่าเงินบาท 25/1อยู่ดีๆ ตื่นขึ้นมากลายเป็น44/1 คนที่เป็นลูกหนี้ต่างประเทศเจ๊งกันเป็นแทบ ซึ้งมันเกิดจากการตัดสินใจของคนเพียงคนเดียว ส่วนบิตคอยจะขึ้นจะลงหรือจะกลายเป็นไร้ค่า ทุกคนที่ถือบิตคอยเป็นคนตัดสินใจด้วยตัวเอง แต่ก็นะการลงทุนมีความเสี่ยง ควรศึกษาก่อนลงทุน
เทียบงี้เทียบไม่ถูกคุณ ถ้าคุณเปรียบเทียบค่าเงินบาทยุค40 เป็นเรื่องน่ากลัว คริปโตนี่น่ากลัวกว่าอีก เพราะหลังยุคนั้นเงินบาทก็คงที่ตลอด แต่คริปโตนี่ไม่เคยนิ่งซักวัน เทียบกับราคาปีที่แล้วมูลค่าเหลือแค่ 1/3 หนักกว่าเงินบาทอีกแถมยังแกว่งตลอดเวลา คุณเอากราฟราคาคริปโตมาพลอตในช่วงเวลาเท่ากันมาเทียบกับเงินบาทดูก็ได้ SD อันไหนสูงกว่าอันนั้นแหละคือความเสี่ยงความผันผวนที่คุณว่ามากกว่า แถมค่าเงินมันยังสามารถใช้ดัชนีบางตัวมาทำสัญญาณเตือนได้ แต่คริปโตนี่หายากมาก เสี่ยงแรงกว่าอีก และถ้าคุณบอกว่าวิกฤติค่าเงินปี40มาจากคนๆเดียวแสดงว่าคุณไม่รู้อะไรเลยแล้ว มันเกิดมาก่อนนานเลยล่ะ มีสัญญาณมานาน และมีคนหลายคนด้วยทำให้มันเกิด
สมัยนั้นใครก็รู้ว่าฟองสบู่กำลังจะแตก แต่ทำอะไรได้เพราะรัฐบาลไม่ยอมปล่อยค่าเงินให้เป็นไปตามจริง แล้วอยู่ๆก็ประกาศลอยตัวโดยที่ไม่มีใครรับมือทัน แต่ก็มีบางคนที่อยู่วงในรู้เรื่องนี้ก่อนกลายเป็นเศรษฐีชั่วข้ามคืน
แต่บิตคอยไม่มีรัฐบาลมาควบคุม มันถึงเป็นไปตามจริงอิสระสุดๆมันถึงดีดไปดีดมาแบบนี้ไง ใครทันเกมก็รวย ใครไม่ทันก็ติดดอยหมดตัวไป
ผมไม่ได้บอกนะว่ามันเป็นระบบที่ดีกว่าการมีรัฐเป็นคนคำประกัน แต่มันก็เป็นระบบทางเลือกที่น่าสนใจอีกระบบหนึ่ง
ทำไมไม่ปล่อยให้มันเติบโตขึ้นไปตามเวลา โลกของเราจะได้มีทางเลือกมากขึ้น
ตอนนี้ผมชักจะสงสัยแล้วครับว่าคำว่า "ปล่อยค่าเงินให้เป็นไปตามจริง" มันคืออะไรในนิยามของคุณ การที่มูลค่าของบิตคอยน์มันเด้งลงไปมาแบบนี้มันคือค่าเงินตามจริงที่มันควรจะเป็นหรือเปล่า สำหรับผมมันไม่ใช่สิ่งที่ควรจะเป็นอย่างยิ่งในฐานะของสกุลเงิน
คนเราในลงทุนย่อมต้องการการประกันความเสี่ยงในระดับนึง ว่าเราจะมีอะไรหลงเหลือหากมันเจ๊ง แต่ถ้ามันเป็นการเอาเงินไปลงกับสิ่งที่ไม่มีการประกันเลย นั่นเรียกว่าการพนันครับ มันไม่ใช่การลงทุน ไม่ใช่หลักทรัพย์ แต่เป็นการเสี่ยงดวง การที่คุณบอกว่า ใครทันเกมรวยไม่ทันติดดอยหมดตัว เป็นเรื่องดีแสดงว่าคุณกำลังบอกว่าการพนันดีกว่าการลงทุน เสี่ยงดวงดีกว่าการทำธุรกิจนะ
เงินมีไว้ชำระหนี้ ซึ่งบิตคอยก็มีระบบที่รับประกันได้100เปอร์เซ็นว่ามีการโอนเกิดขึ้นจริง
ส่วนเรื่องเก็งกำไรนั้นมันก็เป็นอีกเรื่อง ถ้าอยากจะเก็งกำไรก็ไปยอมรับความเสี่ยงกันเอาเอง
บิตคอยจะตั้งขาย 1/ล้านก็ได้ หรือ1/1ก็ได้เช่นกัน ไม่มีใครมาบังคับ ส่วนจะออกไม่ออกก็อีกเรื่อง
แต่เงินสกุลที่มีรัฐเป็นผู้ค้ำประกัน ต้องแลกเปลี่ยนตามอัตราที่รัฐกำหมด ถ้ามากกว่าหรือน้อยกว่า ก็เจอความผิดฐานฟอกเงิน
บล็อคเชนสามารถพาโลกไปสู่อีกยุคได้ แต่เราจะไม่ยอมให้โอกาสมัน เพราะความโลภของคนที่เข้ามาหากำไรจากมันงั้นหรือ
ผมว่าส่วนใหญ่เขาไม่ได้ต่อต้าน Blockchain กันนะ
ธรรมชาติของเงินต้องมีการประกันจากรัฐนะครับ
อย่างน้อยก็น่าจะเคยเห็นประโยคว่า "ธนบัตรนี้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย" นะ
ดังนั้นนิยามลอยว่า ไม่มีการประกันจากรัฐแล้วมันจะเป็นเงินได้ แถมยังอาจจะดีกว่าเงินที่มีรัฐค้ำประกัน นี่
ไม่ตรงกับโลกความเป็นจริงอย่างแรง
คนที่คิดแบบนี้ ไม่รู้เรื่องเบสิกเลยด้วยซ้ำว่า จริงๆแล้วเงินคืออะไร
(แต่คิดว่าตัวเองรู้เยอะรู้มากกว่าคนอื่น คนอื่นคิดไม่ได้หัวไม่ก้าวหน้าเท่าตัวเอง)
เข้าใจความหมายของเงินในมุมของกฏหมายผิดไปหรือเปล่าครับ
เงิน คือ สิ่งที่รัฐคุมครองและรับรองว่าสามารถชำระหนี้ได้
หนี้ คือ สิทธิและหน้าที่ ที่เจ้าหนี้และลูกหนี้มีต่อกันและกัน มี3อย่าง
1.เรียกให้ชำระราคา ชำระราคา
2.เรียกให้งดเว้นกระทำการหรือกระทำการอย่างใดอย่าง กระทำการหรืองดเว้นกระทำการนั้น
3.เรียกให้ส่งมอบทรัพย์สิน ส่งมอบทรัพย์สินนั้น
ในการชำระราคานั้น ด้วยการที่เอกชนด้วยกันเองมีความไม่ไว้ใจกันและกัน รัฐจึงเข้ามาเป็นนายประกันว่ามีการชำระหนี้กันจริงเกิดขึ้น โดยหลักฐานของการชำระหนี้ก็คือเงินที่พิมพ์โดยรัฐ
แต่ในบิตคอยนั้น มีระบบที่ทำการยืนยันว่าได้มีการโอนเกิดขึ้นจริง หนี้ได้ถูกชำระจริง และสามารถตรวจสอบได้100เปอร์เซ็น จึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องมีใครมาเป็นนายประกัน
ตัวอย่างง่ายๆ ผมเป็นหนี้คุณวัว3ตัว เมื่อถึงกำหมดชำระหนี้ ผมจูงวัว3ตัวไปชำระหนี้คุณ คุณก็ได้รับวัว3ตัวไว้ในมือเรียบร้อยแล้ว มันมีความจำเป็นมากน้อยแค่ไหน ที่ต้องเรียกผู้อื่นมาเป็นนายประกันลงชื่อรับรองว่า คุณได้รับวัว3ตัวจริงๆ
บิตคอยก็เหมือนกัน มีหนี้กัน10คอย มีการโอนชำระหนี้กัน คนโอนได้โอนจริง คนรับโอนก็ได้รับโอนจริง แล้วจำเป็นต้องมีคนมารับเป็นนายประกันอีกทำไม
ผมว่าการประกันที่คุณ Hoo พูดถึงนั้นหมายถึงการประกันมูลค่าว่ามันจะไม่ผันผวน ประมาณว่า 1 บาทวันนีจะมีมูลค่าเท่ากับ 1 บาทในวันถัดๆ ไป ซึ่ง BTC นั้นแค่ 10 นาทียังทำไม่ได้เลย แถมมันเป็นสกุลเงินที่ล้มเหลวตรงที่มูลค่าของมันดันไปขึ้นอยู่กับ USD ซึ่งหลักฐานที่ชัดเจนคือสินค้าและบริการที่ถูกกฎหมายแทบทุกที่รับ BTC แบบแปลงจากสกุลเงินที่รับอยู่แล้วเป็น BTC ณ เวลาจ่าย แทนที่จะรับเป็น BTC ในลักษณะตายตัวไปเลยครับ
บิตคอยมันมีมา9ปี แต่คนจะเพิ่งมาเห็นพลังของมันก็ปี2ปีนี้ละ เพราะหลังจากสหรัฐพิมพ์ดอลลาร์ออกมาใช้หนี้โดยไม่สนอะไร เพราะถือว่าตัวเองมีทั้งกำลังทหารและเทคโนยี คนจึงเริ่มหาอะไรเป็นที่ยึดนอกจากดอลลาร์ ซึ้งบิตคอยก็เป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจ ถ้าอยากให้ราคามันนิ่งๆก็ต้องให้เวลามันเติบโต และให้เวลาคนทำความเข้าใจบิตคอยจริงๆสะก่อน
ที่ไม่สามารถตั้งราคาเป็นบิตคอยโดยตรงก็เป็นเพราะเงินถูกควบคุมโดยรัฐนั้นละ มันจึงมีกฏหมายว่าสินค้าและบริการในประเทศใดต้องตั้งราคาเป็นสกุลเงินของประเทศนั้น ในกรณีจะชำระราคาเป็นเงินสกุลอื่นให้คำนวนตามอัตตราการแลกเปลี่ยน ณ เวลาและสถาณทีจ่าย ตามที่คุณบอกนั้นละ
ผมขอสารภาพตามตรง ผมเองก็เพิ่งจะมาเข้าใจบิตคอยไม่นาน มันต้องใช้ความเข้าใจในหลายๆด้าน ทั้งด้านเศรษฐศาสตร์และกฏหมายว่าเงินคืออะไร มีความหมายอย่างไร ใช้ทำอะไร ทั้งด้านรัฐศาสร์ที่ว่าทำไมรัฐถึงต้องเข้ามาควบคุมและดูแลการเงิน และต้องมีความรู้เรื่องไอทีถึงจะเห็นว่าระบบทำถูกสร้างขึ้นให้มีความปลอดภัยขนาดไหน
ถ้าจะบอกว่าบิตคอยนั้นเสี่ยงในการเก็งกำไรหรือลงทุน ไม่ควรไปยุ่ง เรื่องนี้ผมไม่เถียงเพราะมันจริง
แต่ถ้าบอกว่ามันไร้สาระ เป็นเรื่องหลอกลวง เรื่องนี้ผมไม่เห็นด้วย ลองเปิดใจแล้วทำความเข้าใจมันดูแล้วคุณจะเห็นความน่าทึ่งของมัน
จากความเห็นของผม สิ่งที่คนเห็นไม่ใช่พลังของมัน แต่เป็นโอกาสในการเก็งกำไรมากกว่าครับ ซึ่งพอมันมีค่าเลยส่งผลต่อเนื่องไปถึงการเก็บไว้เป็นสินทรัพย์ทางเลือก ซึ่งดูแล้วก็ไม่ได้สะท้อนเจตนารมย์ของคนที่สร้างมันขึ้นมาตั้งแต่แรก
ยังมีความพยายาม
ก็ขอให้โชคดีในการ HODL นะครับ ;)
ผมไม่คิดว่าเค้าจะ HODL อยู่นะครับ จากที่อ่านๆ ดูจะเน้นไปทางด้านเทคนิค กลไก ฯลฯ มากกว่าและก็ยอมรับตรงๆ ว่ามันเสี่ยง
คือผมคิดแบบเค้าเกือบหมดเลยนะ ผมทึ่งกับการออกแบบมันมากๆ ตั้งแต่สมัยที่ BTC ละ 4xx บาท อาจจะต่างกันตรงที่ผมยังไม่เคยมี BTC มูลค่ามากพอจะซื้อข้าวสักจานนึงได้เลย
อาจจะเพราะผมจบบริหารธุรกิจ
ผมมองด้านเศรษฐศาสตร์แล้วหลักการคิด bitcoin ที่นำเสนอ
มันไม่ตรงกับหลักเศรษฐศาสตร์ซักเท่าไหร่
(ตามลิงค์ในลายเซ็นผม)
ยิ่งเมื่อวิเคราะห์ cost analysis แล้ว
distribute database แบบอื่นดูต้นทุนทำรายการถูกกว่า
มีรูปแบบเหมาะกับระบบการเงินมากกว่า ทั้งด้านความเร็วและความสามารถแก้ไขกลับ
แต่ bitcoin ใช้วาทกรรม"บิดความคิด"ว่า
ต้นทุนทำรายการที่แพงกว่า แถมยังแพงขึ้นเรื่อยๆตามค่า halving และขนาด DB ที่เป็นดินพอกหางหมู
จะทำให้มันมีมูลค่าสูงขึ้นเรื่อยๆ
แทนที่จะเห็นว่ามันไร้ศักยภาพในการแข่งขันสุดๆ
และ
การไม่มีคนแก้ไขมันได้เป็นเรื่องน่าเชื่อถือ ปลอดภัย
แทนที่จะเห็นว่ามันจะไม่มีใครช่วยแก้ไขการโอนผิด/โดนแฮก ได้เลย ซึ่งการแก้ได้มันจะประกันให้คุณได้เงินคืนแน่ๆ เป็นระบบที่น่าเชื่อถือ/ปลอดภัย กว่าสำหรับผู้ใช้
ไปศึกษาให้ดีๆก่อนก็ได้ครับ
blockchain นี้ละต้นทุนต่ำสุดละ ต่อให้มีคนใช้งานนับ100ล้านคนพร้อมกัน ก็ใช้แค่คอมราคาระดับธรรมดาคนละ1เครื่องก็พอแล้ว เรียกว่ามันไม่มีต้นทุนเลยด้วยซ้ำ เพราะมันไปอยู่ที่ผู้ใช้งาน100เปอร์เซ็น
แต่ distribute database แบบอื่นที่คุณว่าถูกว่า ตัวserverที่สามารถรองรับคนใช้งานนับ100ล้านคนพร้อมกันนี้ราคากี่ล้านถึงจะพอ ต้องมีสถานที่เก็บที่ใหญ่ขนาดไหน ไม่นับค่าแอร์รักษาอุณหภูมิ ค่าบำรุงรักษา
บิตคอยมันมีลักษณะการใช้งานเฉพาะตัวอยู่แล้ว มันถูกออกแบบมาให้ใช้ในราคาสินค้าที่อยู่ในระดับสูง ไม่ได้เอาไว้ใช้ซื้อลูกอมเม็ด2เม็ดหรอกครับ สมัยนี้จ่ายเงินกันเกิน5หมื่นก็แทบจะไม่มีใครหอบเงินสดไปซื้อกันอยู่แล้ว บัตรเครดิต บัตรเดบิต เช็คเงินสด กันหมด
ผมไม่ได้จะบอกว่าให้เลิกใช้เงินที่มีรัฐเป็นคนควบคุมแล้วใช้บิตคอยแทน ผมแค่จะบอกว่าบิตคอยเป็นแค่อีกทางเลือกเท่านั้น
การซื้อขายกันในระดับหลักล้าน ถ้ามันจะไร้ความสามารถจนโอนผิด ก็อย่าใช้บิตคอยเลยไปจ่ายกันทางอื่นก็ได้มั่ง
ส่วนเรื่องแฮกไม่ได้บอกว่าแฮกไม่ได้ แต่มันแฮกให้สำเร็จยาก ถ้ามีคนที่สามารถแฮกข้อมูลได้เร็วเหมือนกับการตบมือ1ครั้ง ถ้าจะแฮกบิตคอยให้สำเร็จก็ต้องตบมือล้านครั้งให้ทันใน1นาที
และอีกอย่างถ้าคุณจะแฮกบิตคอย มันจะกลายเป็นว่าคุณกำลังทำการยืนยันว่า มีการโอนกันเกิดขึ้นจริง ซึ้งผู้ใช้งานคนอื่นๆก็ทำอย่างเดียวกันกับคุณนั้นละ คือทำการยืนยันว่ามีการโอนเกิดขึ้นจริง ในทางเทคนิคแล้วมันถือได้เลยละว่าทุกคนกำลังแฮกบิตคอยกันอยู่ตลอดเวลา
ผมมันเป็นคนโง่อย่างที่คุณว่าผมนั้นละ เพราะคนโง่คือคนที่ฉลาดพอที่จะรู้ว่าตัวเองโง่ จะได้ไปขวนขวายศึกษาในสิ่งที่ยังไม่รู้
ใช้เครื่องคอมเครื่องเดียว? รับได้ 100ล้านคน?
ไปศึกษาดูก่อนก็ได้นะครับว่า เขาใช้อะไรขุดกันแล้ว?
แล้วรับได้จริงๆกี่ transaction ต่อ 10นาที?
ต้นทุนขุดเหมืองตก BTC ละ >$6000
ซึ่งตอนราคาโหดๆหารแล้วตก transaction ละเกือบ 1000 บาท
ถูกว่าระบบธนาคารปกติมาก...?
การขุดกับการใช้มันเหมือนกันเหรอครับ
สรุปคุณรู้อะไรจริงๆบ้างเกี่ยวกับบิตคอยเนี่ย เม้นสุดท้ายละนะ เห็นออกตัวแรงด่าคนอื่นโง่ นึกว่าจะได้ความรู้อะไรจากคุณกลับมาบ้าง
ผมไม่ได้เก่งเขียนโปรแกรมนะ เขียนได้แค่ภาษาc++ซึ้งก็ไม่ได้เก่งด้วย
ผมจะยกตัวอย่างการทำงานของบิตคอยให้อ่านอย่างง่ายๆ
มีคน10คนทำธุรกิจในวงเดียวกัน
Bซื้อของจากA 1000
Bไม่จ่ายเงินA แต่ขอทำสัญญาว่าจะใช้หนี้แทน
Aไม่มั่นใจB จึงไปเรียกเพื่อนในวงอีก8คนมาเป็นพยาน
ทั้ง10คน รับรู้และทำการยืนยันว่าBติดหนี้A
มีคน1คนนำข้อความทั้งหมดเขียนลงในกระดาษสาธารณะที่ลบไม่ได้ โดยทุกคนสามารถเห็นได้ แม้แต่คนภายนอกผู้ไม่เกี่ยวข้อง
ต่อมาAซื้อของจากC 1000
Aไม่จ่ายเงินสดC แต่ขอโอนหนี้Bจำนวน 1000 ชำรำหนี้แทน
Cไม่มั่นใจ ไปเรียก8คนที่เหลือมา.....แล้วทั้ง10ก็วนลูปอยู่อย่างนี้
การเขียนลงกระดานสาธารณะ จะเกิดขึ้นทุก10นาที และคนเขียนจะได้รางวัลเป็นคำมั่นว่าจะชำระหนี้ 1หน่วย
แต่คนมี10 ใครจะได้เขียนละ จึงมีการสุ่มตัวเลขขึ้นมา1ตัวแล้วให้10คนเดา ใครเดาถูกก่อนก็จะได้เขียนและได้รางวัลไป
ต่อมามีคนภายนอกเห็นกลุ่มนี้ ชำหนี้หนี้กันโดยระบบนี้ อยากเข้าไปจอยทำให้กลุ่มมันค่อยๆใหญ่ขึ้นเรื่อย
ทั้งหมดมันก็คือบิตคอยนี้ละ
ต่อมาการขุด
มันมีคนเห็นว่า การที่เราเข้าไปจอยกับกลุ่มนี้ เราไม่ต้องโอนชำระหนี้กับใครก็ได้ แค่รอเขียนกระดานแล้วเอารางวัล1หน่วย/10นาที ก็รวยแล้ว แต่ละคนจึงหาเครื่องมือแรงๆในการเดาว่าตัวเลขคืออะไรจะได้เป็นคนเขียน สงครามเครื่องขุดก็ได้เริ่มขึ้น ยิ่งแพง ยิ่งแรง ยิ่งมีโอกาส ยิ่งรวย
ท่ามกลางสงครามเครื่องขุดอันดุเดือด คนงบน้อยไม่มีตังซื้อเครื่องแพงๆก็เสียโอกาส คนเดียวหัวหายสองคนเพื่อนตาย สู้ไม่ได้ก็รวมกลุ่ม โดยทั้งหมดทำข้อตกลงกัน ไม่ว่าใครในกลุ่มจะเป็นคนได้รางวัล ต้องเอารางวัลที่ได้มาแบ่งให้ทุกคนที่อยู่ในกลุ่ม กำเนิดเป็น กลุ่ม pool bitcoin ขึ้นมา ซึ้งก็มีหลายกลุ่มให้เลือกจอยกันสะดวก
ท่ามกลางสงครามการขุด ก็มีนักลงทุนเห็นโอากาศ กะโดดเข้ามาแจมกับเข้าด้วย เกิดเป็นสายเทรดเก็งกำไร ซื้อมาขายไป สะบายใจกันเลยทีเดียว
และที่แน่นอน ที่ใดมีไฟที่นั้นมีแมงเม่า สุดท้ายนอนตายกันเกลื่อน และศพแมงเม่าก็ได้เรียกรัฐเข้ามา
ในส่วนของการใช้งานนั้น แค่คอมคนละเครื่องเปิดรักษาระบบก็พอแล้ว
ส่วนถ้าจะขุดเอาเงิน ต่อให้เครื่องขุดแพงแค่ใหนก็ไม่พอหรอก
ส่วนเทรดก็ตามประสพการณ์เลย
ผมแค่เริ่มตามบิตคอยตอนมันทรุดรอบแรก ก็ยังสนุกขนาดนี้ ผมเลยอยากเห็นว่าถ้าให้มันอยู่ต่อไป อะไรจะเกิดขึ้นบ้าง
ฮึๆ พยายามยัดให้อีกฝ่ายเป็นพวกรู้น้อยให้ได้
แถมทำเนียนลืมๆ เรื่องอ้างว่ารับได้เป็น 100ล้านคน ทั้งๆที่ Bitcoin ทำได้แค่หลัก 1000
แล้วพยายามเบี่ยงประเด็นเรื่องต้นทุน จาก
"ต้นทุนดำเนินการของระบบ"
จากต้นทุนค่าไฟเฉลี่ยที่เครื่องขุดทั่วโลกใช้เพื่อทำ Transaction เดียว
โคตรแพงระยับ แถมโคตรช้า เมื่อเทียบกับระบบธนาคารปกติที่ใช้ไฟแค่เสี้ยววินาทีก็เสร็จ
ที่มันไม่มีทางชนะระบบธนาคารปกติได้เลยในแง่ต้นทุนการดำเนินการ
กลายมาเป็น
"ต้นทุนคนจะใช้งาน"
ถ้าจะใช้งาน ก็ใช้เครื่องง่อยๆก็ได้
แล้วก็หลุดมาเองว่า "ถ้าจะขุดเอาเงิน ต่อให้เครื่องขุดแพงแค่ใหนก็ไม่พอหรอก"
นั่นคือคุณก็รู้แก่ใจว่า ต้นทุนของระบบมัน"แพงแค่ไหนก็ไม่พอ" และ ไม่มีใครได้เงินกำไรจากการขุดแล้ว
ขอแทรกนิดนึง จริงๆ ที่ว่ามานี่ถูกกันทั้งสองฝั่งนะครับ - -"
โคตรงง
คนนึงพูดถึง BC ในแง่ Blockchain (ต้นทุนถูกเพราะเป็นการกระจายศูนย์ การทำ transaction ไม่ต้องมี server) อีกคนพูดถึงในแง่มูลค่าของตัวเหรียญเลยบอกแพง (เพราะกว่าจะขุดได้มา มองว่าการขุดคือ transaction?)
ฮ่าๆๆๆๆๆ ผมเห็นพูดกันคนละประเด็นมาตั้งนาน
คุณกำลังจะพูดถึงอะไร ต้นทุนบิตคอยและการทำงานของระบบ หรือการขุดบิตคอยและผลกำไร
วงคนใช้งาน 10คนก็ไม่ต้องทำอะไรนอกจากคอมคนละเครื่อง ถ้ามันจะกลายเป็น100ล้านคน ก็ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเลยนอกจากคอมคนละเครื่อง ค่าไฟคนใช้งานก็รับผิดชอบในส่วนของตน มันไม่มีคนควบคุม ทุกคนจึงแบ่งส่วนรับผิดชอบของแต่ละคนไป ลดขยายขนาดตามฐานผู้ใช้งานได้โดยตรง
ลองไปดูแบบอื่นที่คุณว่าถูกอะ ราคาเท่าไหร่ ขนาดเท่าไหร่ ค่าบำรุงรักษาเท่าไหร่ เพิ่มขนาดเซิฟเวอร์ทีหมดเงินเท่าไหร่ กินเวลาเท่าไหร่ พอคนใช้น้อยแล้วจะลดขนาดลงต้องทำอะไร
ถ้าการโอนไม่สามารถยืนยันให้เสร็จในบล็อคนี้ได้ ก็รอบล็อคหน้า เหรียญบาทกับแบ็งค์1000การใช้งานก็ต่างกันแล้ว จะเอาบิตคอยไปเทียบเงินธรรมดา แล้วจะให้มันใช้งานเหมือนกันหรืออย่างไร
อยากเร็วก็ไปใช้บริการของแบ็งค์อะไรก็ได้ตามที่ต้องการ ก็ไม่ได้บอกว่าห้ามใช้นี้
ขุดแล้วไม่คุ้มค่าไฟ คนก็เลิกขุด มันเป็นการรักษาสมดุลโดยตัวเองมันเองอยู่แล้ว 1บิตที่เป็นรางวัล มันถูกสร้างขึ้นจากอากาศที่ไม่มีรัฐเป็นประกันแบบที่คุณเคยบอกไง แล้วคุณดันให้ราคามันเป็นต้นทุนด้วยหรือไง
มือถือเครื่องละ900ก็โทรได้ เครื่องละ5หมื่นก็โทรได้ แล้วมาบอกว่าต้นทุนการโทรแพง ตั้งครึ่งแสน
บิตคอย คอมธรรมดาก็รันระบบได้ คอมราคาเป็นล้านก็รันได้
ส่วนที่แบ็งค์ต่างๆใช้กัน คอมราคาหลักล้านเท่านั้น เพราะกลัวโดนแฮกไง ไม่ต้องถึงขั้นขโมยข้อมูล แค่ทำให้ใช้งานไม่ได้ซัก6ช.ม.ก็เตรียมเจ๊งแล้ว
ถ้าคุณจะคิดต้นทุนแบบนี้นะ ทำไมไม่ใส่ค่าแรงเข้าไปด้วย ตั้งแต่เงินปั้นผลผู้ถือหุ้น เงินเดือนคณะกรรมการผู้บริหาร ผู้จัดการ พนังงาน แม่บ้าน ยาม
สรุปคุณกำลังพูดถึงต้นทุนของระบบและผลงานของมัน หรือต้นทุนของการขุดและผลกำไรจากการขุดกันแน่
เรากำลังพูดถึงต้นทุนไม่ใช้หรือไง แล้วคุณจะพูดถึงผลกำไรทำไม สับสนอะไรหรือเปล่า
เอาจริงๆบิตคอยมันไม่ควรจะเอามาคิดกำไรขาดทุนด้วยซ้ำ เพราะมันไม่มีเจ้าของที่เป็นฝ่ายต้องลงทุน ไม่มีเจ้าของที่ต้องการผลกำไร มันมีแต่ผู้ใช้งานที่ช่วยกันออกค่าใช้จ่ายเพื่อรักษาระบบ และก็มีแต่ผู้ใช้งานที่ได้รับรางวัลการเขียนบล็อค และก็มีแต่ผู้ใช้งานที่ได้รับประโยชน์จากการใช้งาน
มันเป็นระบบที่ผู้ใช้งานทำการโอนโดยตรงโดยไม่มีตัวกลาง
บิตคอยเป็นระบบที่เกิดจากผู้ใช้งาน โดยผู้ใช้งาน เพื่อผู้ใช้งาน แล้วจะมาคิดกำไรขาดทุนอะไร
สุดท้ายจริงๆ พอละ
พยายามเบี่ยงว่า
ต้นทุนในการขุด ไม่ใช่ "ต้นทุนในการทำรายการของระบบ"
ที่จะต้องนำมาเทียบกับ ต้นทุนในการทำรายการของธนาคาร เหรอครับ?
พยายามเล่นคำว่า ทำรายการ ว่าเป็น ผู้ใช้ทำรายการ
ไม่ใช่ ระบบทำรายการ เหรอครับ?
เครื่องธนาคารแพง แต่การทำแต่ละ transaction ได้โคตรเร็ว+โคตรถูก
ถูกจนทำรายการได้ฟรีเป็น promptpay
ส่วน bitcoin อ้างว่าใช้คอมฯบ้านๆก็ทำรายการระบบ(ขุด)ได้
แต่ทั่วโลกทำได้แค่ 1000กว่า transaction ต่อ 10นาที
อัดคนขุดไปก็ไม่ช่วยให้ทำงานเร็วขึ้น แต่กลายเป็นต้นทุนยิ่งสูงขึ้นเพราะค่า diff เพิ่ม
นี่คือหลัก fix cost / variable cost ในเศรษฐศาสตร์เลย
ธนาคารลงทุนเครื่อง(fix cost) แพง แต่ค่าทำรายการ(variable cost) จะถูกมากๆ
แต่แนวคิด BitCoin ลงทุนเครื่อง ถูก แต่ค่าทำรายการแพงกว่า
แถมดันออกแบบระบบให้ต้นทุนแพงขึ้นอีก ถ้ายิ่งลงทุนเครื่องมากขึ้น
คือลงทุนเครื่องที่เป็น fix cost มากขึ้น
แทนที่ variable cost จะลดลง
กลับแพงขึ้นเพราะ ค่าไฟ&ค่าเสื่อมราคา ที่เพิ่มขึ้นแบบทวีคูณ
แต่ประสิทธิผลระบบเท่าเดิมคือ 1000กว่ารายการ/10 นาที
นี่ไม่รวมแนวคิดเพิ่มต้นทุน HDD ที่อ้วนมากขึ้นเรื่อยๆเมื่อเวลาผ่านไปเป็นดินพอกหางหมู
ขณะที่ธนาคารปกติตัดข้อมูล HDD เข้าระบบ backup เป็นระยะๆ
ด้วย cost analysis แล้ว เห็นชัดว่าระบบมันห่วยในด้านเศรษฐศาสตร์มาก
เนื้อหาข่าว เขาก็แจงละเอียดชัดเจนแล้วว่า ปริมาณการทำธุรกรรมตกและตกลงเรื่อยๆ ไม่นิ่ง ไม่ทรง การที่คนถอยก็มีผลทำให้มูลค่าตกด้วย ยิ่งมูลค่าถดถอยจะยิ่งหาความมั่นคงและปลอดภัยมาจากไหน?
คนถือบิตคอยน์เป็นคนตัดสินใจด้วยตัวเองจริง แต่คนกำหนดมูลค่ามันไม่ใช่คนส่วนใหญ่ที่ถือครองส่วนแบ่งอันน้อยนิด แต่มันอยู่ที่คนส่วนใหญ่ที่ถือครองส่วนมากมายมหาศาล
เงินบาท มันมีประเทศทั้งประเทศ ค้ำประกัน ค่าเงินตก ก็ซวยกันหมด
เงินคริปโต มันตัวเลขล้วนๆ ไม่มีอะไรมากกว่านั้น
+1 ก็เหมือนที่ผมเคยพูดไว้แหละครับ มันก็เหมือนเงิน M ในเกมแหละ ช่วงมีคนต้องการ มีคนปั่นมันก็ดูดีมีอนาคต ขายได้เงินเป็นกอบเป็นกำ แต่พอคนเริ่มซา ก็หมาแหละ แค่ตัวเลขดิจิตอลลอย ๆ ไม่มีค่าอะไร
ผมว่าขาใหญ่ที่ร่ำรวยจากเงินนี้กำลังรอจังหวะที่มันตกมากแล้วก็ปั่นกลับมาทำกำไรอีกรอบ มันเคยทำได้จนเป็นก่อเป็นกำมาแล้ว ถ้าอยากทำก็คิดว่าน่าจะทำกันได้ไม่ยากนัก
ตั้งกะมีฟิวเจอร์ ขาใหญ่ไม่จำเป็นต้องลากขึ้นอย่างเดียวนะ สภาพตลาดซึมลากให้ชน stop loss ใช้เงินน้อยกว่าลากขึ้น แถมชนนิดหน่อยเม่าก็ panic ขายกันกระจาย
รอการ์ดจอมือสอง หรือไม่ก็รอให้ราคาการ์ดจอกลับมาเป็นปกติครับ ช่วงนี้ก็ดีขึ้นเยอะ
ผมไม่เคยคิดจะเอา bitcoin มาใช้งานจริงเลย ทุกวันนี้ก็เทรดทำไรอย่างเดียว(ผมไม่ใช่สาย hold ซื้อเช้าขายเย็นอย่างเดียว) แต่ไม่เคยเชื่อในคอนเซ็ปที่ตามกรุ้ป bitcoin ต่างๆเพ้อฝัน รวมถึง blockchain ด้วย คือมันมีประโยชน์ แต่มันเฉพาะทางมากๆ มันไม่ได้แทนทุกอย่างบนโลกได้ ในฐานะ Dev ผมมองมันเป็นแค่ database เท่านั้น อยู่ที่จะเอาไปใช้กับงานอะไร
ลุกช้าจ่ายรอบวงแน่นอน
(ซ้ำ)
ผมดอย
รอซื้อติดไว้ตอนถูกๆครับ ผมยังมีความคิดเดียวกับตลาดหุ้นนะ ให้กลัวในเวลาที่ตลาดกล้า ให้กล้าในเวลาที่ตลาดกลัว ถ้าผมซื้อทิ้งแบบไม่ต้องคิดได้ก็ว่าจะซื้อติดไว้ประมาณนึงครับ ถึงเวลาก็นับเป็นสินทรัพย์จัดการความเสี่ยงในพอร์ต
ส่วนท่านที่เกร็งกำไร เทหมดหน้าตัก แบบนี้รั้งแต่จะเดือดร้อนตัวเอง เห็นใจแต่คงทำได้แค่แนะนำให้เริ่มปรับพอร์ต รอจังหวะขายอีกที
ผมกลับมองตรงกันข้ามนะสำหรับกรณีนี้
ตลาดหุ้นยังไงมันก็ยังมีมูลค่ายังไงมันก็ยังมีบริษัทเป็นตัวค้ำประกันแน่นอนมันเป็นไปได้ที่ราคามันจะกลับมาขึ้น
แต่ bitcoin มันคืออะไรที่ไม่มีปัจจัยรองรับ
การจะขึ้นจะลงขึ้นอยู่กับอะไรก็ไม่รู้
เพราะวันนี้ตลาดหมดความเห่อแล้ว โอกาสที่ราคาจะกลับขึ้นมาสูงเหมือนเดิมแทบจะไม่มี
มันไม่มีปัจจัยอะไรเลยที่จะทำให้ราคากลับมาสู่เหมือนเดิมนอกจากการปั่น
ใช่ครับ ถ้าไม่มีอะไรก็ไม่เสียดาย ถ้าปั่นกันขึ้นมาก็ได้เห็นๆ
เห็นด้วยครับ ตลาดหุ้นยังมี มูลค่าหุ้นต่อสินทรัพย์ อันนี้ไม่มีอะไรเลย นอกจากความเชื่อมั่น
Opensource - Hackintosh - Graphic Design - Scriptkiddie - Xenlism Project
ไฟใหม้ฟาง แชลูกโช่ ฟองสบู่bitcoin เรียกอะไรก็ได้ความหมายเหมือนกัน คนที่เข้าก่อนกำไรไปแล้ว คนเข้าหลังๆ ถ้าจะกำไลคงไม่มากนัก แต่ตอนเสียนี่ถึงกะล้มละลาย เพราะไม่มีใครรับต่อแล้ว แถมไม่มีอะไรรับประกัน ตายๆๆๆๆ
Blockchain มันคือระบบจัดเก็บข้อมูลแบบหนึ่ง เห็นมีคนเอาไปเทียบกับพัฒนาการของอินเตอร์เน็ตแล้วขำดี 555
ส่วนเงินดิจิตอลทั้งหลายก็ไปไม่รอดอยู่แล้วเมื่อมันใช้งานจริงโคตรยาก เห็นพูดกันแต่ปากว่าใช้ง่าย ง่ายตรงไหน 555