จุดต่างสำคัญของ Galaxy S10 และ S10+ นอกจากขนาดหน้าจอ ก็คือเรื่องของ "กล้องหน้า" ที่เพิ่มจากเป็น 2 กล้อง (กล้องหลังเป็น 3 กล้องเท่ากัน) แต่ในเวทีงานแถลงข่าวของซัมซุงกลับไม่ได้เน้นเรื่องนี้มากนัก
กล้องตัวที่สองของ Galaxy S10+ คือกล้อง RGB Depth Camera ความละเอียด 8MP ซึ่งมันก็คือกล้องสำหรับ "วัดระยะลึก" ทำให้ Galaxy S10+ มีความสามารถเทียบได้กับกล้องหน้า TrueDepth ของฝั่ง iPhone X/XS/XR หรือกล้อง IR camera ของ Windows Hello
ด้วยเหตุนี้ทำให้ Galaxy S10+ (เฉพาะรุ่น Plus) สามารถปลดล็อคด้วยใบหน้า (Facial Unlock) ได้ในทุกสภาพแสง ต่างไปจากมือถือตัวอื่นๆ ของซัมซุงที่แล้วๆ มานั่นเองครับ
Galaxy S10+ ไม่ใช่มือถือรุ่นแรกที่มีกล้องหน้า 2 ตัว แต่มือถือรุ่นก่อนหน้านี้ที่ให้กล้องหน้ามา 2 ตัว เน้นไปที่การถ่ายเซลฟี่เป็นหลัก เช่น Pixel 3 ที่ให้กล้องหน้ามุมกว้างมาด้วย เพื่อให้ถ่ายเซลฟี่หมู่ได้ง่ายขึ้น
แต่การที่กล้องหน้าของ Galaxy S10+ เป็นกล้อง RGB Depth Camera ทำให้มันได้ประโยชน์ด้านการปลดล็อคด้วยใบหน้า เพิ่มเข้ามาจากประโยชน์ด้านการถ่ายเซลฟี่ด้วย
การปลดล็อคด้วยใบหน้าได้ในทุกสภาพแสง ไม่ว่าจะมืดแค่ไหนก็ตาม ทำให้กระบวนการปลดล็อคเครื่องของ S10+ ในภาพรวมลื่นไหลขึ้นมาก เทียบชั้นได้กับ iPhone X/XS/XR และโน้ตบุ๊กที่มีกล้อง IR สำหรับ Windows Hello
เมื่อบวกกับตัวสแกนลายนิ้วมือที่กลับมาอยู่บนหน้าจอด้านหน้า ปิดจุดอ่อนของตัวสแกนลายนิ้วมือที่อยู่หลังเครื่องไปทั้งหมด การกลับมาใช้นิ้วโป้งสแกนได้เป็นท่าที่เป็นธรรมชาติกว่ามาก
จุดนี้ทำให้ Galaxy S10+ กลายเป็นมือถือที่ครบเครื่องที่สุดในแง่ของการปลดล็อคด้วย biometric ในท้องตลาด แน่นอนว่า Galaxy S10+ ไม่ใช่มือถือตัวแรกที่ปลดล็อคใบหน้าได้ในที่มืด (iPhone ทำมาก่อน) หรือมีตัวสแกนนิ้วใต้จอ (มือถือจีนทำกันเกือบทุกยี่ห้อแล้ว) แต่กลับเป็นมือถือตัวแรกที่ใส่มาทั้งสองอย่าง
จากการใช้งาน Galaxy S10+ เป็นมือถือเครื่องหลักมานาน 2 วัน ผมพบว่าการปลดล็อคด้วยใบหน้าในทุกสภาพแสง ถือเป็น killer feature อย่างหนึ่งที่ยังไม่มีใครพูดถึงสักเท่าไร แถมในสถานการณ์ที่เราปลดล็อคด้วยใบหน้าลำบาก เช่น วางมือถือราบบนโต๊ะ ก็ไม่จำเป็นต้องเอื้อมไปยกมือถือขึ้นมาชูขึ้นให้ตรงกับใบหน้า เพราะสามารถเอานิ้วโป้งหรือนิ้วชี้ไปแตะตรงเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือได้แทน
ก่อนหน้านี้ ถ้าหากให้ต้องเลือกระหว่าง Galaxy S10 กับ S10+ ผมคงเลือก S10 เพราะราคาประหยัดกว่ามาก แต่พอมาเจอฟีเจอร์นี้เข้าไป ก็เริ่มหวั่นไหวเลยครับ ถ้าใครกำลังลังเลระหว่าง S10 กับ S10+ ปัจจัยนี้ควรเอามาพิจารณาเป็นอย่างยิ่ง ว่าจ่ายแพงขึ้นอีกหน่อยจะคุ้มค่าแค่ไหนในระยะยาว
แต่แน่นอนว่าคงไม่มีอะไรสมบูรณ์พร้อมไปซะทั้งหมด การที่ Galaxy S10+ มีกล้องหน้า 2 ตัว ย่อมส่งผลให้ "รู" ที่เจาะหน้าจอใหญ่ขึ้นกว่า Galaxy S10e/S10 อีกพอสมควรเช่นกัน ในแง่ความสวยงามย่อมมีผลแน่นอน (ใครที่ไม่ชอบติ่งก็คงไม่ชอบรูตามไปด้วย)
ซัมซุงเองทราบเรื่องนี้ดี และพยายาม "พราง" รูโหว่ขนาดใหญ่นี้ทุกวิถีทาง ตัวอย่างในภาพข้างบนเป็นภาพพื้นหลัง default ของ Galaxy S10+ ซึ่งจะเห็นว่าที่มุมบนขวาไล่เฉดสีเป็นสีเข้ม เพื่อให้รูตรงนี้มองไม่เห็นชัดเจนนักเวลาที่เราไม่เปิดแอพนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม การพรางด้วยภาพพื้นหลังคงใช้ไม่ได้ทุกกรณี และจากภาพข้างบนสุดของบทความ ในกรณีที่แอพพื้นหลังเป็นสีขาว เช่น แอพของกูเกิล หรือแอพมาตรฐานของเครื่องอย่างนาฬิกา เราย่อมเห็นสีที่ตัดกันอย่างชัดเจนของรูกล้องกับพื้นหลัง
จากที่ใช้งาน Galaxy S10+ มาสักพักใหญ่ๆ จนเริ่มคุ้นชินกับรูกล้องเหล่านี้ สายตาของเราจะเริ่มมองข้ามมันเองโดยธรรมชาติ (ลักษณะเดียวกับติ่ง แค่ว่าย้ายที่จากตรงกลางมาอยู่ด้านขวา) ในการใช้งานทั่วๆ ไปก็พอจะยอมรับมันได้ไม่ยากนัก
แต่อันที่ผมขัดใจจริงๆ คือระยะจากขอบบนของหน้าจอลงมาจนถึงรูกล้องที่ค่อนข้างยาวกว่าปกติ (ยาวกว่ากล้องแบบติ่งแน่นอน) ส่งผลให้แถบ status bar ของ Android หนาขึ้นด้วย เพราะต้องยืด status bar ให้ลงมาเท่ากับขอบล่างของรูกล้อง
จากภาพข้างบนจะเห็นได้ชัดเจนว่าแถบ status bar (สีน้ำเงินเข้ม) มีขนาดสูงกว่าปกติมาก และช่องว่างระหว่างขอบบนของหน้าจอ กับขอบบนของรูกล้อง ก็เว้นไว้เฉยๆ ไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไร
ระยะของ status bar ที่ยืดขึ้นจากเดิมอีกหน่อยอาจดูเป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่ส่งผลกระทบอะไรกับการใช้งานแม้แต่น้อย (เพราะจอของ S10+ ใหญ่มากอยู่แล้ว) แต่ก็นั่นล่ะครับ มันขัดใจ!
Comments
เข้าใจว่าวัดความลึกของ Galaxy นี่ค่อนคนละเทคนิคกับ Kinect หรือ iPhone เลยนะครับ อาจต้องแก้ความเข้าผิดตรงนี้
ถ้าผมจำไม่ผิด
Galaxy น่าจะใช้เทคนิค กล้องสองตัวแล้วเทียบภาพองศาวัตถุแล้ววัดความลึก
ส่วนของ iPhone ใช้ยิง ir เป็นเม็ดจุดๆ แล้วเทียบขนาดจุดว่าเล็กใหญ่ห่างกันแค่ไหนในแต่ละจุด
ส่วน Kinect ใช้เทคนิควัดการสะท้อนคลื่น คล้ายๆ Lidar แต่สร้างหลายๆจุดเหมือน iPhone
ผมผิดพลาดจริงไหนใครรู้กว่าเสริมได้นะครับผมจำได้ไม่แม่น
ผมจำได้ว่า Kinect กับ iPhone นี่ใช้เทคนิคเดียวกันนะครับ
แต่กล้ององศาใกล้กันขนาดนั้นจะวัดลึกได้ละเอียดแค่ไหนกันนะ
อันนี่ไม่ได้ระบุรุ่น ถ้า Kinect 1 ใช่ครับ แต่ถ้า Kinect 2 จะใช่เทคนนิคเดียวกับที่ผมว่า ซึ่งเทคนิคที่ Kinect 2 ใช้มันจะใช้กับ landscape ได้ดีกว่า ตัว iPhone จะใช้เทคนิคที่เหมาะกับ closeup ครับ เพราะเทคนิคของ iPhone ยิ่งไกลจุดจะยิ่งกระจายมันจะทำให้ความลึกแล้วเกิดเออเรอร์สูง
ส่วนองศาของซัมซุงเข้าใจว่าคงเตรียมมาเหมาะกับ closeup เช่นกันเพราะทางยิ่งองศากว้าง ขอบเขตในการวัดจะยิ่งกว้างออกไปก็จะทำให้ min distance ยิ่งไกลไปอีกครับ
ถึงได้ใช้คำว่า "เทียบได้กับ" ไงครับ
ผมไปอ่านตรง '"วัดระยะลึก" ลักษณะเดียวกับกล้องของ Kinect'
ก็เลยสะกิดใจตรงคำว่าลักษณะเดียวครับ
จริงๆ "ลักษณะเดียว" หมายความว่า kind of ครับ แต่ปรับให้ชัดเจนขึ้นละครับ
เอ ถ้าใช้หลักการนี้ก็ไม่น่าจะใช้ได้กับทุกสภาพแสงสิครับ
เทคโนโลยีไม่ผิด คนใช้มันในทางที่ผิดนั่นแหละที่ผิด!?!
จอเป็นรูสำหรับผมแล้วมันเป็นแค่การโชว์เทคโนโลยีว่าเราทำจอมีรูได้ มากกว่าจะเป็น solution แก้ปัญหาเรื่องพื้นที่หน้าจอครับ
แน่นอน ถ้าดูตัวเลขอาจจะเห็นว่าจอเป็นรูมันกินพื้นที่หน้าจอน้อยกว่า แต่ในความเป็นจริงแล้วช่องว่างระหว่างจอกับรูมันใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้เลย เพราะงั้นถ้าต้องการจะทำให้พื้นที่จอเยอะสุดจริงๆก็ควรจะทำแหว่งชิดมุมไปเลย ต้นทุนน่าจะถูกกว่าด้วย แต่ก็นะ ทำแหว่งมุมตอน 2019 คงไม่ค่อยว้าวเท่าไหร่
"ปลดล็อคใบหน้าได้ในที่มืด (iPhone ทำมาก่อน) หรือมีตัวสแกนนิ้วใต้จอ (มือถือจีนทำกันเกือบทุกยี่ห้อแล้ว) แต่กลับเป็นมือถือตัวแรกที่ใส่มาทั้งสองอย่าง"
Mi8EE ออกมาครึ่งปีละครับ มีครบสองอย่าง
แต่ EE จะเป็นแค่ IR Cam
กล้องหน้าเป็น single รึเปล่าครับ source อันนี้หมายถึงเฉพาะกล้องหน้านะครับ
กล้องหน้า Mi8EE เป็น IRCam + กล้องครับ
แถม 3D Unlock ไปแล้วด้วยแฮะ
https://china-gadgets.com/xiaomi-mi-8-explorer-edition-smartphone-review/
สรุปคือ กล้อง + IR + 3D
pocophone f1 ก็ใช้ ir ยิงวัดความลึก ปลดล๊อกด้วยใบหน้าในที่มืดได้ครับ แต่ผมปิดไปเพราะไวจัด เห็นหน้าเราโผล่ไปแถวจอที่ไรมันปลดทันทีทุกครั้ง บางการแจ้งเตือนมันก็ไม่ได้สำคัญขนาดต้องเปิดดูทุกครั้ง ดังนั้นปลดล๊อกด้วยนิ้วหลังจอเวิร์คสุดสะดวกสุดครับ
+1 ปวดหัวมากครับ แก้ไม่ตกซักที น่าจะมีให้ตั้งว่าแค่ปลดล็อคให้ แต่ให้สไลด์เพื่อเข้าหน้า launcher เพราะบางทีแค่จะเปิดมาดูแจ้งเตือนเฉยๆ
+1 ปิดไปเหมือนกัน รำคาญ บางทีแค่เหลือบ ๆ มองดันปลดล๊อกแล้ว รำคาญมาก ใช้สแกนนิ้วอย่างเดียว จบ
แต่ Pocophone วัดความลึกไม่ได้นะครับ มันเป็น infrared เฉย ๆ ยังเป็นสองมิติอยู่ครับ แค่ช่วยปลดล๊อกในที่แสงน้อยครับ
ของ S10+ มันจะยังค้างไว้ที่หน้า Lock Screen อยู่ครับ ต้องลากปาดอีกทีเพื่อเข้าโฮม
ถ้าแบบแหว่งชอบแบบหยดน้ำตรงกลางมากสุด ยังเนียนถมดำแล้วใช้ประโยชน์จากด้านซ้ายขวาได้ แบบเจาะรูในจอดูแล้วก็ไม่น่าจะไปต่อได้ไกล ขนาดคนออกแบบยังรู้สึกว่ามันไม่ใช่ ไม่ได้เป็นจุดเด่นที่เอามาโชว์ถึงต้อง Wallpaper ถมดำ
คิดเหมือนกันครับ แบบเจาะรูไม่น่าจะไปได้ไกล ดูแล้วก็ไม่ค่อยเวิร์คเท่าไหร่เพราะกินที่ที่ใช้ประโยชน์ไม่ได้เยอะ แบบหยดน้ำยังกินที่น้อยกว่าเยอะเลย แต่ที่ซัมซุงเอาแบบเจาะรูมาใช้เหมือนเพื่อจะโชว์เทคโนโลยีให้ต่างจากชาวบ้านเค้า ให้มันดู wow เพราะไม่งั้นหน้าตา S10 จะกลายไปเหมือนมือถือจีนหลายๆ ยี่ห้อที่มีติ่งหยดน้ำกันค่อนตลาดแล้ว
แบบไฝผมก็ว่าออกมาแต่ปีนี้ แล้วก็ทยอยๆหายไปกลายเป็นติ่งเหมือนเดิม
ระหว่าขอบเครื่อง กะจุด dead poxel ผมว่าอย่างหลังรบกวนสายตามากกว่าจมเลย
ชอบติ่งหยดน้ำเหมือนกัน ถ้ายังต้องมีกล้องหน้าอยู่
เป็นผมคนเดียวรึเปล่าไม่ชอบหยดน้ำ แต่ชอบแบบนี้มากกว่า
ผมก็ชอบแบบนี้มากกว่าหยดน้ำนะ มันเอาไปไว้ตรงมุมได้ต่างจากที่หยดน้ำเอาไปไว้ตรงมุมจะดูแย่ทันที แล้วการที่มันยังเห็นขอบจอถึงจะไม่มีประโยชน์แต่ทำให้รู้สึกไม่ตัน
เห็นด้วยอะ ผมว่าหยดน้ำดูดีกว่าอีก และเอาไว้ตรงกลางให้มันสมมาตรก็ได้ แต่อย่างว่าเขาต้องการโชว์ความแตกต่างอะไรแบบนี้เดี๋ยวไปซ้ำกับมือถือจีนมั้ง ส่วนตัวมองว่าดีไซน์ปีที่แล้วสวยกว่านี้อะ คือขอขอบหนากว่านี้อีกนิดแต่ทำให้บนล่างเท่ากันก็ได้นะ ความเห็นส่วนตัว
ถ้าเอากล้องขึ้นไปชิดด้านบนก็จะกลายเป็นติ่ง เลยต้องขยับลงมาให้เป็นรูแทน แม้ว่าจะทิ้งเนื้อที่ไปเฉยๆก็ต้องยอม
killer feature - - 555
แล้วกล้องหน้าแบบ RGB Depth มันถ่าย selfie หน้าชัดหลังเบลอด้วยความสามารถของเลนส์จริงๆได้ใช่มั้ยครับ เพราะอย่าง Huawei P20 กับ Mate20 ที่เป็นกล้องเดี่ยว มันใช้ Software ช่วย บางรูปก็ยังเบลอไม่ค่อยธรรมชาติเท่าไหร่ เป็นเหตุผลนึงที่ผมรอดู S10+ กับ P30
ไม่มีรุ่นไหนที่ทำเบลอด้วยเลนส์จริงได้ครับ ยกเว้นถ่ายระยะ focus ใกล้ๆมากถึงจะเบลอจากเลนส์จริง (สำหรับกล้องมือถือ)
ทุกตัวถึงแม้จะมีกล้องใช้วัดระยะ ก็จะเอารูปจากอีกกล้องมา process ด้วย software ทำเบลออยู่ดีครับ
เบลอด้วยซอฟต์แวร์โทรศัพท์ตอนนี้ผมยังไม่เห็นตัวไหนทำแล้วโอเคเลยครับ ถ้าไม่จัดทุกอย่างให้ลงตัวพร้อมหมดจริงๆ (ซึ่งบางทีก็ยังไม่โอเคอยู่ดี)
RGB depth ทำงานยังไง ผมยังไม่มั่นใจเลยครับ
แต่จากการลองมือถือที่อ้างแบบนี้ ... ไม่เห็นรอดซักราย
S10+ ก็ไม่รอดนะครับ ลองแล้ว
ตอนไอโฟนxออก ทำไมไม่มีเจ้าไหนมาเขียนเป็น killer feature แบบนี้บ้างน้า~ แถมตอนนั้นใส่กันซะเละ ว่าเดี๋ยวแป๊บๆก็ต้องยกเลิก
ไปๆมาๆ คนใช้จริงกลับชอบมากกว่าซะงั้น กลายเป็นว่าตอนนี้ใช้คู่กับ ipad 2018 การสแกนนิ้วเข้าหน้าจอเป็นอะไรที่น่ารำคาญไปซะงั้น
ยังไม่ชินเหรอครับ สินค้าของ Apple มันแนว คนใช้ไม่ค่อยบ่น คนบ่นไม่ค่อยใช้ครับ มีไว้คุยกันสนุก ๆ ปาก ?
ปล. หลงรักการปลดล็อคเครื่องแบบแค่มอง จนไม่อยากกลับไปแบบต้องเอามือแตะเหมือนกันครับ คนใช้ S10 จะหลงรักเหมือนกัน ลองดู
ถูก ผมใช้ xs กะไอแพดรุ่น touch id ขกสแกนนิ้วมาก
อันนี้จริง ผมเคยใช้ทั้งคู่นะแอนดรอยด์และ ios ความสมูทมันสุดจริงๆ ui ux ทำมาดีมากถึงจะปรับไม่ได้ก็เหอะ คือมันลื่นต่างกันจากการปาดจอหรือการพิมพ์ คนแยกไม่ออกก็มีเหมือนมาบอกว่าจอ fullhd กับ 2k มันทั้งแยกออกและไม่ออก มันแล้วแต่คนจริงๆ ซึ่งความจริงก็ต่างกันแหละ
จริงๆ ที่น่าสงสารกว่าคือ Windows Hello นะครับ ทำมาก่อนตั้งหลายปีแต่ไม่มีใครจำได้เลย (ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกเริ่มใน Surface Pro 4)
จริง ไม่ มี ใคร พุดถึงเลย
น่าสงสารหลายโครงการของ MS ที่มีอนาคตแต่โดนเชือดทิ้งไม่ใยดี อย่าง Windows RT, Windows Phone, Astoria และตอนนี้ก็ Cortana ที่อาจรวม Windows Hello ด้วย ของดีที่โดนทิ้งจริงๆ
อย่างที่ว่า CEO เปลี่ยน อะไรๆ ก็เปลี่ยนไปหมด รวมกับเจอหัวหน้าห่วยและไม่แยแสด้วยอีก จบกัน
ความล้มเหลว คือจุดเริ่มต้นสู่ความหายนะ มีผลกระทบมากกว่าแค่เสียเงิน เวลา อนาคต และทรัพยากรที่เสียไป - จงอย่าล้มเหลว
Windows Hello นี่มี laptop ใส่มาหลายยี่ห้อหลากรุ่นอยู่นะครับ
ใน lumia ก็มีครับ น่าจะช่วง 950
อันนี้คนยิ่งจำไม่ได้ใหญ่ เท่าที่ผมจำได้ตอนนั้นมันโดนเหมารวมไปไว้ในกลุ่มเดียวกับพวกที่สามารถเอารูปถ่ายปลด lock ได้ พร้อม ๆ กับมือถือสมัยนั้น ทำให้โดนคนยี้รวมไปด้วยเลย ไหนจะเปิ้ลสมัยนั้นก็เหมือนมาบอกว่า ใช้นิ้วปลดแม่นยำกว่า ทำให้เป็นโครตของอินเซปชั่นของการลืมเลย โครตน่าวงวารรรร
950 เป็นสแกนม่านตาครับ
ใช่ครับ ส่วน surface ก็เป็นสแกนม่านตา + face recognition ซึ่งทั้งคู่ก็เป็นส่วนหนึ่งของ windows hello อยู่ดี หรือกล้อง ir camera มันคนละตัวกับ iris camera (เพราะทั้งคู่มันก็ใช้ ir เหมือนกัน)
แต่เอาจริง ๆ ผมห่วงทางฝั่ง notebook นะ เพราะ xps ตัวล่าสุดเอาออกไปแล้ว...
“อวย” ได้แค่นี้ -,,,,-
เหมือน แบบ ป๊้อป อัพ จะดีสุด นะ หน้าจอ นี้ แทบจะไรขอบกันเลย ดุสวย เสียแค่ ปอ็ออัพ มันจะทน ตลอดอายุ การใช้งานรึป่าว
ผมว่าหนดน้ำดีสุดกินพื้นที่น้อย และถมดำได้ ส่วนป็อปอัพก็ยังที่ท่านว่าและอาจจะเพิ่มน้ำหนักเครื่องมากกว่าเดิม
จุดเจาะรูมันไม่สอดคล้องกับ UIUX มือถือในปัจจุบัน
ทำให้สเตตัสบาร์หนา และถ้าจะดูพวกไอคอน เหลือบตาไปมองขวาไม่ได้ละ เจอรูแทน
สรุป เจ้าของบทความ เขียนได้มั่วมากครับ มันไปเทียบกับ IR camera ของ kinect / iphone x xs / windows hello ได้ไง คนละหลักการ กันเลย
ทำอย่างกับหลับตา ทำรีวิว