แม้ Facebook, YouTube จะลบและพยายามบล็อกวิดีโอเหตุร้ายที่นิวซีแลนด์ แต่คลิปก็ยังคงหาดูได้ในอินเทอร์เน็ต จนล่าสุดคณะกรรมการความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ หรือ The US House Homeland Security Committee ออกมาเรียกร้องซีอีโอ Facebook, YouTube รวมถึง Twitter กับ ไมโครซอฟท์ด้วยว่าควรให้ความสำคัญกับการลบเนื้อหาทั้งหมดออกจากอินเทอร์เน็ตเป็นอันดับแรกในตอนนี้
Bennie G.Thompson ประธานคณะกรรมการฯ เขียนจดหมายเปิดผนึกจ่าหน้าถึงซีอีโอ 4 บริษัท คือ Facebook, YouTube, Twitter และ ไมโครซอฟท์ ว่าจากการที่บริษัทได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ Global Internet Forum to Counter Terrorism (GIFCT) ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2017 ให้สัญญาจะจัดการกับการสนับสนุนการก่อการร้าย ทางคณะกรรมการฯก็ขอให้บริษัทให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกกับการกำจัดวิดีโอดังกล่าวออกจากอินเทอร์เน็ต มีงานวิจัยออกมาแล้วว่าการสังหารหมู่ สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้คนอยากทำตาม (ในจดหมายมีการอ้างวิจัยด้วย) ขอให้บริษัททำทุกอย่างเท่าที่อำนาจตัวเองมีในการจัดการเนื้อหาดังกล่าวเพื่อให้แน่ใจว่าวิดีโอนี้จะไม่ไปกระตุ้นให้เกิดเหตุครั้งต่อไป
Thompson ยังบอกด้วยว่า ตอนที่โซเชียลมีเดียรวมตัวกันเป็น GIFCT ทาง Facebook ได้อ้างว่าแพลตฟอร์มของตัวเองสามารถตรวจจับเนื้อหาก่อการร้ายเกี่ยวกับ ISIS และ Ai-Qaeda ได้ 99% ก่อนที่จะมีคนอื่นเจอ แต่สังคมก็ยังไม่รู้ว่า แล้วเนื้อหาอื่นอย่างการสนับสนุนแนวทางความรุนแรง-ขวาจัดนั้น Facebook ตรวจจับได้หรือไม่ จากรายงานข่าวระบุว่าวิดีโอที่นิวซีแลนด์ ตำรวจเป็นคนแจ้งมายัง Facebook ไม่ใช่ Facebook ค้นพบด้วยตัวเอง และ YouTube ก็ไม่สามารถรับมือกับปริมาณคลิปที่อัพโหลดมากได้
? NEWS ? After the #NZMosqueShootings, & the shooter's concurrent live-stream of the attacks, Chairman @BennieGThompson wrote to tech CEOs urging them to prioritize immediate removal of violent terrorist content, including that of far-right, domestic terrorists.Full letter ?? pic.twitter.com/kyWiPjiZNM
— House Homeland Security Committee (@HomelandDems) March 19, 2019
ก่อนหน้านี้ Facebook ได้ออกมาเผยตัวเลขคลิปที่ถูกกำจัดออกได้ และ YouTube ก็ได้ใช้ AI แทนคนในการบล็อกและปิดกั้นการอัพโหลดใหม่
ที่มา - CNet
Comments
นี่ผมนึกไม่ออกจริงๆว่าจะจัดการปัญหานี้ได้ยังไง
ก็ต้องหาทางกันไปแหละครับ จะมาบอกปัดความรับผิดชอบด้วยการบอกว่ายากคงไม่ได้
ผมว่ามันเกิดจากการดูแลไม่ทั่วถึงเพราะคนใช้งานเยอะมาก ลำพังแค่ทีมงานของเฟสบุคเองไม่น่าจะทำได้ครอบคลุมและว่องไวขนาดนั้น
ไม่ใช่แค่เรื่องนี้เรื่องเดียวครับ ยังรวมถึงเรื่องข่าวปลอม ฯลฯ ด้วย
ในโลกกายภาพมันแบ่งการปกครองออกเป็นประเทศ เป็นหน่วยที่เล็กลง แต่เฟสบุคมันครอบคลุมทั้งโลกจะให้คนกลุ่มเดียวดูแลคงไม่มีวันทั่วถึง อีกหน่อยคงโดนสับเป็นหน่วยที่เล็กลงมั้งครับ
หยุดข่าวปลอมให้ได้ด้วยเถอะครับ