หลังจากนายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ กสทช. เสนอแนวคิดเก็บรายได้จากธุรกิจที่ใช้แบนวิดท์สูง และยังเสนอให้บีบความเร็วบริการฟรีที่ไม่จ่าย วันนี้นายฐากรก็ทวีตชี้แจงเพิ่มเติมว่าไม่ได้เก็บค่าธรรมเนียมส่วนนี้จากประชาชนทั่วไป แต่ไม่ได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่าจะเก็บจากผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตหรือตัวผู้ให้บริการ OTT โดยตรง และจะเก็บอย่างไร
คำชี้แจงของนายฐากรวันนี้ ระบุว่าผู้ให้บริการ OTT ไม่ได้เสียภาษีเพื่อพัฒนาประเทศและปรับปรุงโครงข่ายที่ต้องมีการสร้างและมีการปรับปรุงทุกปี แม้ก่อนหน้านี้นายฐากรเคยให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์บางกอกทูเดย์ว่า "กสทช. ไม่มีหน้าที่ในการเก็บภาษี" ก็ตาม
อย่างไรก็ดีแถลงวันนี้ระบุว่าแนวคิดนี้ยังไม่ได้ข้อสรุป และหากที่ประชุมอาเซียนเห็นชอบจึงทำการรับฟังความเห็นอีกครั้ง
ที่มา - @TakornNBTC
Comments
ชอบพูดความจริงครึ่งเดียว ถ้าต้นทุนของผู้ให้บริการเพิ่มแล้วภาระมันจะไม่ไปตกที่ผู้บริโภคได้ไง
จริงๆ การเก็บภาษีแล้วเป็นต้นทุนนี่เป็นเรื่อง "ปกติ" นะครับ
แต่ไม่ปกติที่แนวคิดนี้จะยึดตามแบนด์วิดท์ ไม่ได้ยึดตาม "มูลค่า" (VAT) หรือ "กำไร" (ภาษีธุรกิจ) ซึ่งมันเป็นแนวคิดของภาษีสรรพสามิต ที่ของเหล่านั้นมัน "เลว ชั่ว เปลือง" เลยต้องคิดภาษีตามปริมาณ เช่นปริมาณแอลกอฮอล์
lewcpe.com, @wasonliw
นั่นสิครับ ผมคิดเหมือนกัน ผมไม่ได้ต่อต้านเลยถ้ามันมีเหตุที่ควรจะเก็บ อย่างรถยนต์เอย ของใช้สิ้นเปลืองเอย หรือสินค้าสรรพสามิตอะไรก็ว่าไป
แต่ที่ไม่เห็นด้วยกับที่เลขาฯ พูดคือการพูดความจริงครึ่งเดียวว่าไม่ได้เก็บกับผู้ใช้ เพราะยังไงๆ ภาระมันไปตกกับผู้ใช้อยู่ดีแม้จะไม่ได้เก็บจากผู้ใช้ก็ตาม
แต่ปัญหาคือ กลุ่ม OTT ในปัจจุบันไม่ได้จ่ายทั้ง VAT และ TAX
สุดท้ายแล้ว ผู้ให้บริการกลุ่มนี้(OTT)ก็สมควรจะต้องถูกจัดเก็บภาษีไม่ว่าทางใดทางหนึ่งเหมือนธุรกิจอื่นๆ ครับ
อันนี้ถามแบบไม่รู้ครับ ถ้าไม่ได้จ่าย VAT หรือ TAX ใดๆ เลย แล้วเวลาที่บ.ใหญ่ๆ ในไทยมาลงโฆษณาบนแพลตฟอร์มอย่าง TouTube แล้วทาง Google เค้าออกใบกำกับภาษี ให้อย่างไรครับ หรือว่าก็ไม่ต้องออก?
เพราะเวลาทำบัญชีมันต้องมี reconcile ด้วยใบกำกับภาษีที่ถูกต้องตามกฎหมายรึเปล่าครับ?
ในส่วนของนิติบุคคล สามารถขอใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบของค่าโฆษณาที่จ่าย จากช่องทางโฆษณาเช่น facebook google มาหักเป็นรายจ่ายของธุรกิจได้ครับ
เพียงแต่ในส่วนของภาษีมูลค่าเพิ่ม เนื่องจากกฎหมายในปัจจุบันยังไม่ครอบคลุมบริการต่างประเทศ กฎหมายกำหนดให้ผู้ที่จ่ายค่าโฆษณาเป็นคนจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มแทนผู้ให้บริการในต่างประเทศ หมายความว่าตัวอย่าง หากจ่ายค่าโฆษณา 10,000 จำเป็นต้องส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ของค่าโฆษณา คือ 700 รวมเป็น 10,700 จึงสามารถนำรายจ่ายส่วนนี้มาหักเป็นรายจ่ายของธุรกิจได้ถูกต้อง เพราะถ้ายื่นเป็นแค่รายจ่ายของธุรกิจ แต่ไม่ได้นำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มจะโดนเงินเพิ่ม 1.5% ต่อเดือน
แสดงว่าบ.อย่าง Facebook, Google สามารถออกใบกำกับภาษีได้อย่างถูกกฎหมาย แต่ไม่ได้จ่ายภาษีเหรอครับ
สำหรับ Facebook, Google สามารถกดขอได้โดยตรงจากบนเว็ปครับ
จะเป็นในรูปแบบของใบเสร็จรับเงิน
ไม่ได้ถามว่าขอยังไงอ่ะ ถามว่าเค้าออกได้อย่างถูกกฎหมายของประเทศไทย โดยที่ตัวของบ.ดังกล่างไม่ต้องจ่ายภาษีเหรอครับ
ไม่ต้องจ่ายภาษีครับ เนื่องจากไม่ใช่บริษัทจดทะเบียนภายในประเทศไทย
ออกเป็นเพียงใบเสร็จรับเงิน รับรองว่าได้รับเงินจากผู้ซื้อโฆษณาเฉยๆ ครับ
ใบเสร็จรับเงินก็คือใบเสร็จรับเงินครับ ไม่ใช่ใบกำกับภาษี
OTT ที่เข้ามาทำกิจการในไทย ที่ใช้จากผู้บริโภคจ่าย VAT ครับ (Netflix, Spotify, Google Play Store, etc. ไม่รวม Facebook) บริการเหล่านี้มีหน้าที่เรียกเก็บจากผู้ใช้ มีราคาสินค้าและบริการเป็นหน่วยบาท
บริการที่ไม่ได้เรียกเก็บจากผู้ใช้แต่ได้เป็นค่าโฆษณาจากบุคคลต่างๆ บริการเหล่านี้จะให้ผู้ลงโฆษณาไปเสียภาษีเอง (Google Ads, Facebook,etc. ) เนื่องจากมีความซับซ้อนทางภาษี เช่นจากบัญชีคนละประเทศ(คนลาวมาลงโฆษณาที่ไทย) หรือซื้อจากเอเย่น(ทำให้จำนวน VAT ที่จ่ายไม่ตรง), etc. ทำให้พวกนี้ผลักภาระไปยังผู้ใช้บริการให้ไปเสียภาษีเองโดยลง ภ.พ.36(อย่างที่คุณบอกด้านล่าง) ซึ่งโดยมากบริษัทใหญ่ๆก็จะเสียกันอยู่แล้วเพราะจะได้ลงบัญชีหักค่าใช้จ่ายได้ + เก็บเป็นภาษีซื้อได้อยู่แล้ว จะมีที่ไม่ยอมจ่ายบ้างก็น่าจะเป็นรายย่อยที่มักจะจ่ายภาษีแบบเหมาจ่ายและไม่ได้อยู่ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่มครับ
Russia is just nazi who accuse the others for being nazi.
someone once said : ผมก็ด่าของผมอยู่นะ :)
ขอบคุณครับ
ชัวร์นะครับ เพระาไม่เคยเห็นใบเสร็จหรือใบกำกับจาก Netflix แถมตอนเรียกเก็บไม่ได้แยก VAT และค่าบริการให้เลย
ผู้ให้บริการ OTT พวกแรกนี้มันพ่วงกับคู้ค้าหลายรายครับ(เช่น AIS, Dtac, เจ้าของผลงานลิขสิทธิ์, etc.) ยังไงก็ต้องจ่ายตามมาตรา 77/2 ข้อ 1 ไม่อย่างนั้นคู่ค้าก็ไม่สามารถเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มได้ ยกตัวอย่างเช่น Spotify ผ่าน AIS ตัวบริการอยู่ที่ 129.91 รวมภาษีมูลค่าเพิ่มที่ 139 บาทครับ
หรือ Google Play Store เองก็ต้องเก็บให้ต้นทางผู้พัฒนาแอพตามที่ผู้พัฒนาแอพระบุไว้ รายได้ส่วนเกินจาก overhead ภาษีก็ต้องนำส่ง(เพราะเก็บจากผู้ใช้มาแล้ว)
ตอนเรียกเก็บไม่ได้แยกก็ปกตินี่ครับ บริการพวกนี้จ่ายให้แต่ใบเสร็จ/billing อยู่แล้วเนื่องจากผู้ใช้เป็นผู้บริโภคที่ขอคืนภาษีไม่ได้
ยกตัวอย่าง Netflix ครับ
Russia is just nazi who accuse the others for being nazi.
someone once said : ผมก็ด่าของผมอยู่นะ :)
+1024
📸
กล้าประกาศไหมว่าผู้ใช้จะไม่ได้รับประสบการณ์การใช้อินเตอร์เน็ตที่แย่ลง และขอตัวชี้วัดที่เป็น objective ด้วยนะ ไม่ใช่ตั้งโพลล์ถามความรู้สึกแล้วจบ
กล้าพูดนะ ไปทำต้นทุนคนขายเพิ่มเขาก็ต้องขึ้นราคาขายอยู่แล้วไม่ก็ไปลดคุณภาพสินค้าแทน ป้าขายข้าวแกงยังรู้เลย
แล้วบีบความเร็วมันกระทบใคร เคยดู Youtube ลื่นๆ มาตลอดแล้วต้องมากระตุกเนี่ย
เด๋วนี้บริษัทใหญ่ๆสบายขึ้น มีผู้บริโภคคอยออกหน้าปกป้องผลประโยชน์ให้ตลอด
ก็มันเป็นผลประโยชน์ของผู้บริโภคคด้วยนะครับ
ถ้าภาษี youtube เกิดขึ้นมาจริงๆมันมี 2 อย่าง
- youtube จ่าย = youtube ต้องหาเงินเพิ่ม ... ad เยอะขึ้น
- youtube ไม่จ่าย = ประชาชนดูใด้แต่ภาพความละเอียดต่ำลง
samsung ใหญ่แค่ใหน ?
https://youtu.be/6Afpey7Eldo
เป็นรัฐบาลก็สบายขึ้นครับ องต์กรอิสระมีหน้าที่กำกับดูแลโทรคมนาคมให้ก้าวหน้า ไม่ได้มีหน้าที่หารายได้
ตั้งหน้าตั้งตาหารายได้ให้รัฐบาลเป็นหลักเลย งานประจำพวกกำกับดูแลนี่ไม่ค่อยทำ
lewcpe.com, @wasonliw
+2048
📸
เดี๋ยวนี้องค์กรอิสระสบายขึ้น ทำท่าจะออกนโยบายที่มีผลกระทบกับคนทั้งประเทศแต่ไม่คิดรอบด้านหน้าเงินอย่างเดียวไม่สนความเดือดร้อนของประชาชน แต่มีคนออกหน้าปกป้องผลประโยชน์ให้ตลอด สงสัยได้ผลประโยชน์กับองค์กรนี้แน่เลย
(ทฤษฎีสมคบคิด) ที่กสทช.พยายามเก็บค่าธรรมเนียมบริการ OTT ใจจะขาดนี้ เพราะต้องการอุ้มธุรกิจ "ทีวีดิจิทัล" ไม่ให้เจ๊งไปมากกว่านี้ ก่อนหน้านี้ กสทช.ประมูลใบอนุญาตทีวีดิจิทัลให้กับผู้ประกอบการ ปรากฏว่าผู้ประกอบการที่ได้คลื่นเหล่านี้กลับขาดทุนหรือถึงขั้นเจ๊ง ถึงขั้นออก ม.44 เพื่อให้ผู้ประกอบการพักชำระค่าธรรมเนียมได้ 3 ปี เพราะพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภคที่ดูทีวีน้อยลง การมาของอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงและบริการ OTT (Youtube, Netflix, ฯลฯ)
กสทช.คงตระหนักว่าถ้าปล่อยให้ OTT ดำเนินกิจการต่อไป กสทช.ก็จะประมูลใบอนุญาตทีวีดิจิทัลต่อไปไม่ได้อีก (เพราะจะไม่มีผู้ประกอบการมาประมูลอีกในเมื่อทำแล้วไม่ได้กำไร) กสทช.เลยพยายามสกัดกั้นธุรกิจ OTT โดยการเก็บค่าธรรมเนียมตามปริมาณข้อมูล เพื่อเพิ่มต้นทุนให้แก่ OTT (บริการ OTT ใช้แบนด์วิดธ์มากอยู่แล้วตามธรรมชาติ) เพื่อให้ทีวีดิจิทัลยังคงสามารถแข่งขันได้
+1 ผมก็คิดแบบนั้น งานกำกับไม่ไปทำ งานเก็บภาษีล่ะขยันจริง ทุกวันนี้คนรอบข้างยังโดน SMS เก็บตังค์กันอยู่เลย เบื่อมาก
เทคโนโลยีไม่ผิด คนใช้มันในทางที่ผิดนั่นแหละที่ผิด!?!
ผมว่ามีส่วนเยอะเลยหละ และสมเหตุสมผลที่สุดแล้วในตอนนี้
ความล้มเหลว คือจุดเริ่มต้นสู่ความหายนะ มีผลกระทบมากกว่าแค่เสียเงิน เวลา อนาคต และทรัพยากรที่เสียไป - จงอย่าล้มเหลว
สิ่งนึงที่ผมตอบไม่ได้จากท.ดังกล่าว คือทีวีดิจิตอลจะฟื้นฟูได้ยังไง เพราะไม่ใช่ว่าเก็บเงินจาก ott แล้วคนจะหันไปดูทีวีดิจิตอลอ่ะครับ
เพราะปัญหาของทีวีดิจิตอลคือการ hype และพยายามจุดกระแสเกินไปโดยใช้อเมริกามาเป็นโมเดล แต่จำนวนประชากรต่างกันมาก
ในขณะที่ต้นทุนสัมปทานกลับแพงแบบไม่สะท้อนความเป็นจริง ทำให้ต้นทุนการดำเนินการบวกห่ต้องผ่อนชำระจากการไปกู้มาประมูลสัมปทานก็หนักหนาสาหัส ในขณะที่ยอดผู้ชมรวมทั้งประเทศมันไม่ได้ขยายตามจำนวนช่องที่โผล่มาเต็มไปหมด
ตอนเปลี่ยนผ่านจากระบบอนาล็อกมาระบบดิจิตอลก็ต้องลงทุนไม่น้อยด้วยครับ
ไม่เคยดูสาเหตุหลักเลย ทำไมทีวีดิจิทัลถึงขาดทุน โอเคว่าพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป เน้นดูออนไลน์มากขึ้น แต่ว่านั่นไม่สาเหตุที่แท้จริงนะ สาเหตุที่แท้จริงคือ เนื้อหา คอนเทนต์ คุณภาพต่างหากล่ะ ถ้ามันดี ใครๆก็อยากดู และยิ่งได้ดูสดก็ยิ่งทันต่อเหตุการณ์มากขึ้น
แน่ใจนะว่า ผู้บริโภคจะไม่ได้รับผลกระทบ จะเชื่อก็ต่อเมื่อ คุณสามารถทำได้ตามที่บอกไว้ แต่จากประวัติที่ผ่านมา มันไม่จริงเลย ไม่สามารถทำได้ ไม่สามารถควบคุมอะไรได้เลย เน้นผลประโยชน์รัฐมากกว่าดูแลประชาชน ประชาชนเดือดร้อนช่างมัน แต่ถ้ารัฐเดือดร้อน หรือไม่มีเงิน ไม่ได้ต้องรีบแก้ รีบประมูลและแพงที่สุดในโลกด้วยมั้ง SMS กินเงินเอย หลอกลวงผู้บริโภคเอย บอกว่าไม่ผิด ไม่พบ
หาเงินให้รัฐเก่ง #แต่ปกป้องสิทธิ์ประชาชนห่วย
TV digital ที่เจ๊ง กสทช. คิดแบบนี้ครับ
เดิม 6 ช่อง รายได้ติ๊งต่างว่า 60,000 ล้านต่อปี ก็ช่องละ 10,000 ล้าน พอเป็น TV digital มี 24 ช่อง รายได้รวมก็ 240,000 ล้านบาท เก็บภาษีรวยเลย
รวยจนช่องสามเจ๊ง ห้าร่อแล่ เจ็ดแทบไม่รอด เก้าดูไม่จืดเลย ฝีล้วนๆ ไม่มีโชคช่วยเลย
หน่วยงานนี้จัดตั้งมาเกือบจะ10ปีแล้ว ก็ยังคงเป็นเสือกระดาษไม่เคยเปลี่ยนแปลง
ดูจากข่าว กสทช. มาหลายปี ก็อย่างที่ผมบอกไปหลายรอบแล้วละกัน ยุบไปเถอครับ พร้อมกับ TOT ฝ่ายที่ขาดทุนมหาศาลด้วย เสียดายภาษีประชาชนมาก ให้เอกชนและ CAT จัดการกันเอง
ความล้มเหลว คือจุดเริ่มต้นสู่ความหายนะ มีผลกระทบมากกว่าแค่เสียเงิน เวลา อนาคต และทรัพยากรที่เสียไป - จงอย่าล้มเหลว
ไม่เห็นด้วยให้ยุบครับ ประเทศจำเป็นต้องมีหน่วยงานแบบนี้ แต่จะมีหนทางไหนทำให้กสทช.ดีขึ้นได้เนี่ย...ไม่มีความเห็นครับ 55555
คอมเมนต์เอาสะใจคงเข้าใจได้ แต่ "จัดการกันเอง" นี่ได้คิดจริงจังว่ามันจะออกมาแบบไหนรึเปล่าครับ? ใครจะให้คลื่นใครเท่าไหร่ เวลามีข้อพิพาทใครจะจัดการ กสทช. จัดการไม่ดี ช้านี่ก็เรื่องนึง แต่ไม่มีที่ให้จัดการต้องไปฟ้องศาลเอาทีละเคสนี่ความลำบากอีกเรื่องแน่ๆ
lewcpe.com, @wasonliw
ผมว่าเวลาฟ้อง แม้มันต้องเสียเวลา แต่อย่างน้อยมันได้ผลทางตรงกว่าทำผ่าน กสทช. มาก
ส่วนราคาก็ให้อิงตามตลาดในปัจจุบัน ไม่ใช่แบบอิงจากประมูลรอบก่อนที่ กสทช. ทำมาก่อน ก็น่าจะช่วยสอดส่องกันเองจากหน่วยงานที่ใช้งานจริงได้ โดยไม่ต้องมี กสทช. ที่ทำงานแบบเสือกระดาษในตอนนี้แล้วมันเป็นเงินภาษีของเราที่หล่อเลี้ยงหน่วยงานไร้ประสิทธิภาพพวกนี้ด้วยอะครับ
แต่ถ้าต้องการให้ กสทช. อยู่ต่อไปผมไม่ว่านะ แต่ต้องปรับปรุงให้ดีขึ้น และที่สำคัญ มันต้องยกเครื่ององค์กรครั้งใหญ่เลยนะ ซึ่งดูแล้วมันไม่มีทางเกิดขึ้นในตอนนี้เลย แล้วกว่าจะจัดการได้ก็อีกหลายปี ช้าอย่างกับเต่าคลาน ใครจะรอไหวหละครับกับการดำเนินธุรกิจที่เร็วในตอนนี้
ความล้มเหลว คือจุดเริ่มต้นสู่ความหายนะ มีผลกระทบมากกว่าแค่เสียเงิน เวลา อนาคต และทรัพยากรที่เสียไป - จงอย่าล้มเหลว
ข้อแรกของคุณนี่ไม่จริงในหลายกรณีครับ ผมเห็นกสทช. ให้ชดเชยเรื่อยๆ และผมยังไม่เคยเห็นใครฟ้องผู้ให้บริการจริงจัง (มูลค่ามันน้อยมาก ไม่คุ้มเสียเวลา) ที่ผ่านมากระบวนการข้อพิพาทมีพิจารณาก็ออกมาเรื่อยๆ แน่นอนผมอยากได้ระบบดีกว่านี้ อังกฤษหรือสิงคโปร์มีระบบชดเชยที่ค่อยข้างดีกว่าเรา แต่ให้ถอยไปแบบไม่ดูความจริงนี่คิดว่าไม่ไหว
ความเห็นของคุณเอาแต่บอกข้อไม่ดี (ซึ่งเป็นจริง) แต่เสนอทางออกที่ไม่สมเหตุสมผล หรือจริงๆ แทบไม่ได้เสนออะไรเลยนอกจากบอกให้ยุบกสทช.
เช่น ใครจะมาบอกให้ "อิงตามราคาตลาด" แล้วใครจะเคาะว่าราคาไหนคือราคาตลาด รัฐมนตรีไอซีที? (กลับไปยุคกรมไปรษณีย์โทรเลข?)
พอมันมีคนตัดสินใจ มีคนตั้งราคา มันก็ไม่มีหรอก "จัดการกันเอง" อย่างที่คุณว่าน่ะครับ
lewcpe.com, @wasonliw
โอเคครับ เรื่องฟ้องร้องผมไม่แม่นจริงๆ และผมก็อาจไม่ได้ตามข่าวของ กสทช. ที่ผมมองไม่เห็นหรือไม่เคยได้ยินเท่าที่คุณติดตาม ผมยอมรับครับ
สำหรับราคาตลาด ผมมองว่าสามารถอิงราคาประมูลและงบประมาณจากต่างประเทศที่มีราคาใกล้เคียงกับราคากลางในปัจจุบันได้อยู่ และเพียงพอที่คู่แข่งขนาดเล็กสามารถเข้ามาร่วมประมูลได้ ไม่ใช่แค่ 5 เจ้าใหญ่ในตอนนี้ แล้วค่อยตกลงประมูลระหว่างรัฐผู้ถือครองคลื่นกับผู้ให้บริการตามกำลังทรัพย์ที่มีก็น่าจะไหวอยู่ ไม่งั้นก็เป็นหนี้บาน ส่งผลกระทบกับผู้ใช้งานต้องจ่ายแพงขึ้นเพื่อเอารายได้มาชำระค่าประมูลตามงวดที่สูง
ผมอาจแรงไปหน่อยตามความรู้สึกของ กสทช. ในตอนนี้ แต่ผมมองไม่เห็นอนาคตของ กสทช. เลยสักนิดเดียว ใจผมก็อยากให้ตั้งหน่วยงานใหม่ ก็ต้องเสียงบประมาณสร้างและเพิ่มสำนักงานอีก (เว้นแต่จะใช้ที่เดียวกับ กสทช.) วิธีแก้ผมว่ามีและคุณก็น่าจะมีวิธีที่ดีกว่าผมด้วยหลายอย่าง แต่คงทำไม่ได้หรือเป็นไปได้ยากในตอนนี้ ตอนนี้พอ กสทช. พูดอะไรออกมา มีแต่ผลกระทบด้านลบตลอด เหมือน สคบ. หรือหน่วยงานอื่นที่มองเป็นแนวลบพอสมควร
ความล้มเหลว คือจุดเริ่มต้นสู่ความหายนะ มีผลกระทบมากกว่าแค่เสียเงิน เวลา อนาคต และทรัพยากรที่เสียไป - จงอย่าล้มเหลว
สิ่งที่คุณต้องการคือไล่คณะกรรมการชุดนี้ออกและปรับปรุงวิธีการสรรหาให้ได้คนมีประสิทธิภาพมาทำงานครับ ไม่ใช่ยุบองค์กร ต่อให้ยุบตั้งใหม่อีกสิบครั้ง แต่ยังได้พวกเดิมๆ แนวคิดเดิมๆ มันก็จะเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือเสียเวลาและเสียเงินฟรี
ผมเดาว่า พยายามหาเงินมาแทนในส่วนของทีวีที่เริ่มล้มหลายตายจาก
ผมเอาเท้าก่ายหน้าผากตัวเองมาหลายรอบ พยายามหาคำตอบว่าทำไมกสทช.ต้องพยายามหารายได้ หรืออาจไม่ใช่การหารายได้ แต่เป็นการสะกัดการเติบโต หรืออาจจะเป็นการปูทางเพื่อให้ internet service provider ต้อง redirect traffic ไปเข้า counter ของรบ.เพื่อจัดเก็บรายได้ (อันหลังนี้มั่วเอา)
นี่มันหน่วยนึงของสรรพากรหรือเปล่า
ขยันหาเงินจังเลย
เหมือนทำแต่ละอย่าง พอหาเงินเข้ารัฐได้ก็ไม่ทำไรละ ทำงานแบบ Passive ไปเรื่อยๆ