จากข่าว กูเกิลหยุดทำธุรกิจกับ Huawei ตามคำสั่งของรัฐบาลสหรัฐ สร้างความตื่นตระหนกไปทั่วโลก และเกิดคำถามตามมามากมายว่า จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป สมาร์ทโฟน-แท็บเล็ต Huawei ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Android จะได้รับผลกระทบแค่ไหน
Blognone จึงพยายามตอบคำถามเหล่านี้ ตามข้อมูลเท่าที่มีอยู่ในปัจจุบัน
เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2019 ประธานาธิบดี Donald Trump ออกคำสั่งทางการบริหาร (Executive Order) ที่มีเนื้อหาระบุว่า ห้ามบริษัทสัญชาติอเมริกันใช้อุปกรณ์สื่อสารของต่างชาติที่ "อาจ" เป็นภัยความมั่นคง (ข่าวเก่า)
ถึงแม้ในคำสั่งของ Trump ไม่มีคำว่า "China" หรือ "Huawei" อยู่ แต่ทุกคนก็ทราบดีว่าหมายถึงบริษัทอุปกรณ์โทรคมนาคมสัญชาติจีน โดยเฉพาะ Huawei ที่โดนทางการสหรัฐเล่นงานต่อเนื่องมาตลอดในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา
เนื่องจากคำสั่งนี้มีผลทางกฎหมาย (ใช้อำนาจของประธานาธิบดีตาม International Emergency Economic Powers Act) ทำให้บริษัทสัญชาติอเมริกันทุกรายต้องปฏิบัติตาม
สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาคือภายใน 150 วัน กระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะร่างกฏเกณฑ์อย่างละเอียดว่า ทำอะไรได้ ทำอะไรไม่ได้ หากบริษัทอเมริกันอยากทำการค้ากับ Huawei ก็จำเป็นต้องขอการอนุมัติจากกระทรวงพาณิชย์ก่อน
คำสั่งของประธานาธิบดี Donald Trump จากเว็บไซต์ทำเนียบขาว
เนื่องจากกูเกิลเป็นบริษัทอเมริกัน จึงได้รับผลกระทบจากคำสั่งของ Trump ตามไปด้วย และสิ่งที่เห็นชัดเจนที่สุดคือระบบปฏิบัติการ Android ที่ Huawei ใช้งานกับสมาร์ทโฟน-แท็บเล็ตของตัวเองอยู่
แต่คำว่า Android นั้นเป็นคำที่มีความหมายกว้างในตัวมันเอง เราจึงต้องพิจารณาว่าคำสั่งนี้หมายถึง Android ตัวไหน? ซึ่งนิยามในปัจจุบันเราสามารถแบ่งได้เป็น 2 ความหมายกว้างๆ ได้แก่
บริษัทที่ต้องการนำ Android ไปใช้งาน, ต้องการใช้บริการและแอพของกูเกิล และที่สำคัญคือ ต้องการทำตลาดด้วยชื่อ "Android" ซึ่งเป็นเครื่องหมายการค้าของกูเกิล จำเป็นต้องได้รับอนุญาตจากกูเกิลก่อนเสมอ (โดยจ่ายเงินหรือทำสัญญาส่วนแบ่งรายได้ให้กูเกิล ซึ่งถือเป็นการทำธุรกิจกับกูเกิล) ซึ่งก็คือบริษัทที่ขายมือถือ Android ในปัจจุบัน เช่น Samsung, Huawei, Sony, LG, HTC, Oppo, Vivo, Xiaomi เป็นต้น
ส่วนบริษัทที่ต้องการเพียงแค่ระบบปฏิบัติการ Android สามารถดาวน์โหลดซอร์สโค้ดจากเว็บไซต์ AOSP ไปดัดแปลงใช้งานเองได้เลย แต่ไม่สามารถใช้ชื่อ Android ทำตลาดได้
ที่ผ่านมาก็มีบริษัทจำนวนมากทำแบบนี้ เช่น บริษัทมือถือสัญชาติจีนหลายๆ ราย, โครงการรอมโอเพนซอร์ส CyanogenOS (หรือปัจจุบันคือ Lineage OS) รวมถึงบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Amazon ที่พัฒนา Android เวอร์ชันของตัวเองชื่อว่า "Fire OS" ที่ไม่มี Google Play Store ติดตั้งมาให้ด้วย เพื่อใช้กับแท็บเล็ตตระกูล Fire ของตัวเอง (สังเกตได้ว่า Amazon จะไม่ใช้คำว่า Android ทำตลาดเลย)
ข้อสังเกตง่ายๆ ของอุปกรณ์ที่ใช้ AOSP คือจะไม่มี Play Store และแอพของกูเกิลติดตั้งมาให้แต่แรก (เพราะผิดกฎหมาย) ซึ่งผู้ใช้สามารถติดตั้งบริการเหล่านี้เองได้ภายหลัง แต่ก็ต้องแลกกับความยุ่งยากที่มากขึ้น
เมื่อกูเกิลต้องทำตามคำสั่งของ Trump (แม้จะไม่อยากทำก็ตาม) สิ่งที่กูเกิลสามารถทำได้คือ ไม่อนุญาตให้ Huawei เข้าถึง Google Android อีกต่อไป ซึ่งผลที่ตามมาคือ Huawei จะไม่สามารถใช้งาน Google Android ได้อีก
บัญชีทวิตเตอร์ @Android ออกมาชี้แจงว่า อุปกรณ์ของ Huawei ที่เป็น Android ในปัจจุบัน จะยังเข้าถึงบริการของกูเกิลอย่าง Google Play ต่อไปได้เช่นเดิม
For Huawei users' questions regarding our steps to comply w/ the recent US government actions: We assure you while we are complying with all US gov't requirements, services like Google Play & security from Google Play Protect will keep functioning on your existing Huawei device.
— Android (@Android) May 20, 2019
ตรงนี้ผู้ใช้ Huawei ในปัจจุบันคงสบายใจได้ว่าอุปกรณ์จะได้ไปต่อ เพราะ Huawei สามารถเข้าถึงซอร์สโค้ดของ Android เวอร์ชันใหม่ได้จาก AOSP อยู่แล้ว (แต่ความร่วมมือในเชิงลึกกับกูเกิลอาจถูกตัดออกไป) ดังนั้นการอัพเกรด Android เป็นเวอร์ชันใหม่คงไม่ใช่ปัญหา ส่วนตัวบริการที่เป็นของกูเกิล 100% ก็ยังสามารถใช้งานได้ต่อไปบนอุปกรณ์เดิม
จุดที่ยากสำหรับ Huawei คือมือถือ Android รุ่นใหม่ๆ จะเป็นอย่างไรต่อ เพราะ Huawei จะสามารถเข้าถึงได้เฉพาะ AOSP เท่านั้น ขาดองค์ประกอบสำคัญอย่าง Google Play Services และ Google Play Store ซึ่งจำเป็นมากต่อการขาย Android ในตลาดโลก (ไม่รวมในจีน)
Google Play Store เป็น "ร้าน" ขายแอพและเนื้อหาดิจิทัลอื่นๆ (เช่น หนัง เพลง อีบุ๊ก) ของกูเกิล ที่ทุกคนคุ้นเคยอยู่แล้ว ว่าสามารถดาวน์โหลดหรือซื้อแอพของ Android ได้จากที่นี่
แต่ด้วยสถาปัตยกรรมของ Android ที่เปิดกว้าง อนุญาตให้ผู้ใช้สามารถติดตั้งร้านขายแอพอื่นๆ นอกเหนือจาก Google Play Store ได้ด้วย (ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือ Galaxy Store ของซัมซุง) ดังนั้นหากกูเกิลแบนไม่ให้ Huawei เข้าถึง Google Play Store ได้ ก็ยังมีทางเลือกอื่นที่เป็นไปได้อีกมาก (เช่น Amazon Appstore, Bebomi Mobile Store หรือ Opera เดิม) ถึงแม้แอพบนร้านค้าทางเลือกเหล่านี้จะมีน้อยกว่าบน Play Store แต่ก็พอใช้ทดแทนกันได้บ้าง
อันที่ยากกว่ามากคือ Google Play Services
Google Play Services เป็น "บริการ" ที่อยู่เบื้องหลังแอพดังๆ ของ Android เป็นจำนวนมาก เพื่อให้แอพเหล่านี้สามารถเรียกใช้บริการออนไลน์ของกูเกิลได้ เช่น การเชื่อมต่อกับบัญชี Google Account เพื่อล็อกอิน, ขอเก็บไฟล์ลง Google Drive, ซิงก์รูปภาพขึ้น Google Photos, ขอพิกัดหรือแผนที่จาก Google Maps, ขอส่งภาพขึ้นจอผ่าน Google Cast ฯลฯ
แอพ Android ไม่จำเป็นต้องเรียกใช้ Google Play Services เสมอไป หากแอพตัวนั้นเป็นแอพง่ายๆ ทำงานเฉพาะอย่าง แต่ถ้าเป็นแอพยอดนิยมที่มีฟีเจอร์เยอะๆ ก็มีโอกาสสูงที่จะเรียกใช้งาน Google Play Services (ซึ่งมีมาพร้อมกับ Google Android ทุกเครื่องให้อยู่แล้ว)
ภาพจาก Google
ภาพจาก Google
หาก Huawei ไม่สามารถออกมือถือ Android ที่เชื่อมต่อ Google Play Services ได้ ปัญหาจะตามมาทันที แม้ว่ายังสามารถดาวน์โหลดแอพดังๆ มาลงในเครื่องผ่านช่องทางอื่นได้ แต่โหลดมาแล้ว แอพจะทำงานไม่ได้เพราะในเครื่องไม่มี Google Play Services ติดตั้งเอาไว้
ปัญหาโดนสหรัฐแบนไม่ใช่สิ่งที่คาดเดาไม่ได้ และ Huawei เองก็เคยประกาศว่ามีแผนสำรองไว้แล้ว กำลังพัฒนา OS ใหม่ใช้เอง แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดมากนักว่าเป็นอย่างไร
หากพิจารณาความเป็นไปได้ในการสร้าง OS ใหม่ทั้งตัว ต้องใช้ทุน ทรัพยากร และเวลาสูงมาก (ขนาดยักษ์ใหญ่ที่มีเงินหนา วิศวกรพร้อมยังล้มเหลว จำชื่อ Windows Phone กันได้ไหมครับ) ทางเลือกที่ Huawei ทำคงเป็นการ fork ระบบปฏิบัติการ Android ออกมาใช้เอง (จาก AOSP)
แนวทางนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะบริษัทจีนทำระบบปฏิบัติการ Android เวอร์ชันตัวเองใช้กันเป็นปกติอยู่แล้ว แต่เมื่อตลาดนอกประเทศจีนผูกกับแอพและบริการจากโลกตะวันตก การตัดขาดจาก Google Play Store / Google Play Services ไปทั้งหมด 100% คงเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ
ไอดอลที่ Huawei อาจใช้เป็นตัวอย่างได้คือ Amazon ที่พัฒนาจักรวาล Android ของตัวเองโดยไม่พึ่งพากูเกิลเลย (ซึ่งก็คงต้องเป็นบริษัทระดับ Amazon ที่มีทุนมากพอจะทำได้) เพื่อใช้กับสินค้าตระกูล Fire ของตัวเองคือแท็บเล็ต Amazon Fire และกล่องเซ็ตท็อป Fire TV
ส่วนของร้านขายแอพ Amazon มีร้าน Appstore ที่เปิดให้บริการใน 230 ประเทศ และมีแอพประมาณเกือบ 5 แสนตัวให้บริการ
ส่วนตัว Google Play Services ที่เป็นอุปสรรคสำคัญ ทาง Amazon ก็เขียนตัว API หรือ SDK ขึ้นมาทดแทนเป็นกรณีๆ ไป แม้ว่าไม่สามารถใช้ทดแทนกันได้ 100% แต่ก็ช่วยให้แอพ Android ที่มีอยู่แล้วในท้องตลาด สามารถพอร์ตมาอยู่บน Amazon Android ได้ง่ายขึ้น
แนวทางของ Amazon จึงเป็นไปได้มากที่สุดที่ Huawei จะเดินรอยตาม
ปัญหาการ Huawei ถูกแบนจาก Google Android อาจเป็นเรื่องใหญ่ เพราะกระทบกับลูกค้าสมาร์ทโฟนของ Huawei จำนวนมหาศาล
แต่ปัญหาของ Huawei ไม่ได้มีแค่นั้น เพราะ Huawei ยังมีธุรกิจด้านอื่นอีกมาก โดยเฉพาะด้านอุปกรณ์โทรคมนาคม และเซิร์ฟเวอร์ ที่ต้องพึ่งพาชิปจากบริษัทอเมริกันหลายราย และอาจถูกแบนเช่นกัน
Huawei ยังผลิตอุปกรณ์คอมพิวเตอร์อย่างโน้ตบุ๊ก ซึ่งใช้ระบบปฏิบัติการ Windows ของไมโครซอฟท์ (ไมโครซอฟท์ยังไม่ออกมาแสดงท่าทีในเรื่องนี้) และยังไม่รวมถึงฝั่งผู้ซื้อ ผู้ที่ซื้อสินค้าจาก Huawei ในสหรัฐอเมริกาอีกเป็นจำนวนมากเช่นกัน
ถ้าถามกูเกิลว่าอยากแบน Huawei หรือไม่ คำตอบคงแสดงอยู่ในข้อความทวีตข้างต้นว่า "we are complying with all US gov't requirements" แปลว่ากูเกิลไม่อยากแบนหรอก แต่ต้องทำตามข้อบังคับของรัฐบาลสหรัฐ จึงไม่มีทางเลือก และเชื่อว่าบริษัทสัญชาติอเมริกันรายอื่นก็เหมือนกัน
หากคำสั่งแบนของ Huawei ถูกบังคับใช้เต็มรูปแบบ ความเสียหายคงเกิดขึ้นมหาศาลจากทั้งผู้ขายและผู้ซื้อสินค้ากับ Huawei
กรณีของ Huawei ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก เพราะเมื่อปี 2018 สหรัฐก็เคยแบนบริษัทสัญชาติอเมริกัน ห้ามทำการค้ากับ ZTE ซึ่งเป็นผู้ผลิตสินค้าโทรคมนาคมอีกรายจากจีน คู่แข่งของ Huawei มาก่อนแล้ว
ผลของการที่ ZTE โดนสหรัฐแบนนั้นมหาศาล บริษัทต้องหยุดขายมือถือในจีนไปชั่วคราว และส่งผลกระทบเป็นตัวเงินถึง 400-500 ล้านบาทต่อวัน ซึ่งกรณีของ Huawei ที่มีขนาดใหญ่กว่า ZTE มาก ก็ไม่ต้องสงสัยว่าระดับของความเสียหายนั้นเยอะกว่ากันมาก
ผลลัพธ์ของการแบน ZTE ทำให้ ZTE ต้องยอมอ่อนข้อให้กับรัฐบาลสหรัฐแทบทุกอย่าง ทั้งการยอมจ่ายค่าปรับ 1 พันล้านดอลลาร์, เปลี่ยนบอร์ดบริหารและผู้บริหารยกชุด และส่งทีมตรวจสอบที่ได้รับรองจากสหรัฐเข้าไปสอดส่องธุรกิจภายในของ ZTE อีกด้วย
นับจาก ZTE โดนแบนไปจนถึง ZTE ยอมแพ้ ใช้เวลาไม่ถึง 2 เดือนเต็ม ต้องมาดูกันว่ากรณีของ Huawei จะกินเวลายาวนานแค่ไหนกัน
Comments
นั้นสิครับ หวังว่าจะโดนไม่นานนะ
บ เอเชีย น่าจะเริ่มรวมกลุ่มกันเองอย่างจริงจังได้แล้ว จีน เกาหลี ญี่ปุ่น se ถ้ามั่วแต่ไปใช้ความรู้อเมริกาก็จะเป็นอยู่อย่างนี้
เกาหลี ญี่ปุ่น เป็นพันธมิตรอเมริกา แถมไม่ถูกกับจีน...
ญี่ปุ่นเลยแหละที่พอ usa ประกาศอะไรปุ้บ รีบปฏิบัติ
อ่าวกำ 555+
โอ๊ยยย
บันเทิงจริงๆ ภูมิภาคนี้
ถ้าเป็นเกาหลีเหนือนะใช่ แต่เกาหลีใต้และญี่ปุ่นนี้คู่แข่งจีนตัวยงเลย
ความล้มเหลว คือจุดเริ่มต้นสู่ความหายนะ มีผลกระทบมากกว่าแค่เสียเงิน เวลา อนาคต และทรัพยากรที่เสียไป - จงอย่าล้มเหลว
ตกลงเมกามีหลักฐานอะไรออกมาชี้แจงหรือยังว่าหัวเหว่ยเป็นภัยต่อความมั่นคงตรงไหน หรือแค่บอกว่า รัฐเป็น คอมมิวนิสเลยเสี่ยงแค่นั้นครับ?
จากข่าวเก่าๆ ก็ที่จับลูกสาวประธานหัวเว่ยเรื่องดีลกับอิหร่าน และอื่นๆอีกจำไม่ได้
ขนาดโตโยต้ายังโดนครับ หลักฐานไม่ต้องมีครับ
หลักฐานไม่สำคัญแล้วครับ สร้างได้ ลบได้ อยู่ที่ว่าอยากเล่นใคร แต่ที่ชัดคือดราม่า skycom ครับ
แต่นิวเคลียร์ของอิรักยังสร้างได้ คิดว่าเรื่งนี้จะสร้างไม่ได้เหรอ
แต่นิวเคลียร์ของอิรักยังสร้างได้ คิดว่าเรื่งนี้จะสร้างไม่ได้เหรอ
แค่ เปลี่ยนจาก เบอร์ สองมาเป็นเบอร์หนึ่ง นี่ก็ กระทบความมั่นคงแล้วครับ...
ที่แน่ๆ iPhone แพงขึ้นแน่นอน
ดูซิปีหน้า Trump จะได้ไปต่อไหม ยังดีที่คนบ้าที่มีอำนาจมีเวลาจำกัด
ช่วงนี้คนเชียร์พี่จีนกันเยอะ
แต่อยากให้มองอีกมุมนึงคือเมกาต้องระแวงกับฝ่ายจีน ต้องมองแง่ร้ายเอาไว้ก่อน เพื่อประเทศของเขา
จะมาหยวนๆ ใช้คำว่า "คง" กับภัยมั่นคงไม่ได้นะครับ
ถ้าเกิดสงครามระหว่างกัน แล้วเมกาใช้เทคโนโลยีของจีน แบบนั้นอัตรายต่อประเทศเขานะผมว่า
ส่วนเรื่องจริงไม่จริงนั้น ผมไม่รู้
ถ้าเอาด้วยเหตุผลนี้ ผมยิ่งเชียร์พี่จีนครับ
เพราะถ้าจะด้วยเหตุผลที่ว่า "อเมริกาต้องมาก่อน" "เพื่อผลประโยชน์ของอเมริกา" แบบนี้ผมยิ่งไม่ให้ราคากับเหตุผลพวกนี้ครับ เพราะผลประโยชน์ของอเมริกา ไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆ ต่อการใช้ชีวิตของผมในประเทศไทย ดังนั้นไม่มีราคาที่จะไปสนับสนุนแนวคิดพวกนี้ คือถ้าคุณคิดถึงแต่ตัวเอง ไม่คิดถึงคนอื่น มันก็ไม่มีค่าที่ผมต้องไปคิดถึงคุณเหมือนกัน
ยิ่งการทำแบบนี้ จะยิ่งทำให้โลกปั่นป่วน จากเดิมที่ไม่ให้ราคา ก็จะทำให้กลายเป็นการแอนตี้ด้วย
ผมว่างานนี้หัวเว่ยกับจีนเป็นผู้ถูกกระทำครับ เพราะตราบใดที่อเมริกายังหาหลักฐานมายืนยันว่าอุปกรณ์หัวเว่ยเป็นภัยต่อความมั่นคงไม่ได้ (ซึ่งหลายประเทศอย่างเยอรมันก็พยายามถาม แต่ก็ยังไม่ได้คำตอบ) ผมก็ถือว่านี่เป็นการใส่ความ ยิ่งยังไม่มีหลักฐาน แต่กระทำการแบบนี้ ภาพของสหรัฐยิ่งดูติดลบครับ สำหรับผมตอนนี้อเมริกา รวมถึงทรัมพ์ คือทำตัวเด็กมากครับ
ผู้นำจีนนี่ดันกลายเป็นว่าดูดีไปเลย นิ่ง ไม่ก้าวร้าว รอบคอบ และแสดงท่าทีที่ชั้นเชิงเหนือกว่า ดูมีราคากว่าเยอะ
จีนเองก็ทำหลายอย่างที่แย่เพื่อผลประโยชน์ของชาติจีนเช่นกันไม่ได้ต่างกันเลย..ไม่ควรให้ราคาทั้งคู่ครับนั่งห่างรอชมดีกว่า...
เข้าใจครับ แต่เฉพาะเคสนี้ที่จีนเป็นฝ่ายถูกกระทำโดยเหตุผลฟังไม่ขึ้น แถมมันไม่ใช่เรื่องดีเพราะกรณีที่แบนครั้งนี้จะก่อให้เกิดผลกระทบต่อวงการเทคโนโลยีทั่วโลก และอาจส่งผลให้เกิดสงครามเย็นซึ่งยังไงมันก็ไม่ดีต่อภาพรวมทั้งโลกด้วย
เคสอื่นๆ ผมเข้าใจว่าจีนก็ทำเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองเยอะเหมือนกัน เช่นแบนเทคโนโลยีจากต่างชาติเข้ามาบริการในจีน อันนี้ผมก็ว่าแย่ กีดกันคู่แข่งชัดๆ นั่นผมก็ด่า แต่ไม่แรงมาก เพราะผลกระทบมันไม่ได้เป็นวงกว้าง ก็แค่ขายหรือให้บริการในจีนไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้มีผลกระทบต่อส่วนอื่นของโลก แต่่เคสนี้มันกระทบเป็นวงกว้างเลยนะครับ ต้องให้น้ำหนักความแย่มากกว่าเยอะเลย
จีนก็ทำเพื่อผลประโยชน์ตัวเองไม่ต่างกันหรอกครับ ยังไงก็ไม่ควรให้ราคาพอกันนั่นแล
I need healing.
มีบริษัทใหนบ้างไม่ทำเพื่อประโยชน์ตัวเอง แต่นี่มันเป็นการเล่นนอกเกมส์โดยการอ้างว่าอุปกรณ์ไม่ปลอดภัยโดยที่ไม่แสดงหลักฐาน หรือคุณคิดว่านี่เป็นสิ่งที่ถูกต้องที่ทุกคนสามารถทำได้โดยแค่อ้างว่าคุณผิดและตัดสินคุณโดยที่ไม่มีหลักฐานหรือเปล่า
ถ้าจะอ้างการทำผิดแบบอื่นๆที่เกิดจากหัวเหวยก็เห็นชัดแล้วว่าไม่มีความผิดมากพอที่จะใช้เป็นข้ออ้างในการสั่งแบน และไม่ได้เกี่ยวข้องกัน และถ้าจำไม่ผิดก็มีการตัดสินและจ่ายค่าความเสียหายไปแล้ว หรือยังอยู่ระหว่างขั้นตอนก็มีการประเมินความเสียหายกันไปตามความเป็นจริง
ผมเองไม่คิดว่าแปลกที่สหรัฐทำ เพราะมันเป็นเรื่องผลประโยชน์ของตัวเองและเขาก็มีอำนาจที่มากพอที่จะทำในเมื่อแข่งขันไม่ได้ก็ใช้อำนาจที่มีแตะตัดขามันเลย แถมไม่ใช่แค่ประเทศตัวเองอีกต่างหาก
ผลประโยชน์ก็เห็นๆกันอยู่ คือรายได้จากอุปกรณ์เครือข่ายของสหรัฐที่ต้องนำมาทดแทนและที่จะถูกใช้ในอนาคต ซึ่งเป็นเงินมหาศาล และเทคโนโลยีเครือข่ายที่ NSA สามารถเข้าถึงได้ด้วยกฏหมายที่สหรัฐมี
ทั้งๆที่วิศวกรจีนsแอบขโมยโค๊ดจากแอปเปิ้ลกับเทสล่าไปเนี่ยะ ก็ยังเชียร์เหรอครับ
เย้ย ก็ต้องแยกแยะสิครับ เคสวิศวกรจีนแอบขโมยโค๊ดมา อันนี้ก็ต้องด่าครับ ไม่ได้เชียร์
แต่นี่ผมกำลังเชียร์จีนในฐานะที่เป็น "ผู้ถูกกระทำ" จากกรณีถูกแบนโดยคำสั่งของ ปธน. สหรัฐฯ ทั้งๆ ที่ยังไม่สามารถหาหลักฐานมายืนยันได้ว่าผิดจริง และเชื่อได้ว่าเป็นการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ มากกว่าเหตุผลด้านความมั่นคงตามที่อ้างมาครับ
เรื่องนี้ผมไม่เห็นว่า Huawei/จีน เป็น "ผู้ถูกกระทำ" ตรงไหนนะครับ
ต้องยอมรับก่อนครับว่า Android เป็นทรัพย์สินทางปัญหาของ Google และ Google ก็ใจกว้างพอที่จะเปิดโอเพนซอร์ส และให้ Huawei ใช้ส่วนที่เป็นโอเพนซอร์สต่อ
ส่วนที่ Google ไม่ให้ Huawei ใช้เป็นส่วนที่เป็น Proprietary ที่เอาจริง ๆ Google จะจัดการยังไงก็ได้ จะขายใครหรือไม่ขายใครก็ได้ และหากให้ความเป็นธรรมกับ Google ก็ต้องบอกว่า Google ทำไปเพราะสภาพทางกฎหมายบังคับ หากจะตำหนิเรื่องนี้ต้องตำหนิ Trump ไม่ใช่ Google
เรื่องนี้ Huawei ไม่ได้ถูกกระทำแต่อย่างใด เพียงแต่ไม่ได้รับประโยชน์ที่เคยได้เท่านั้น (ผมไม่ใช้คำว่า "พึงได้" ด้วยนะครับ)
ใจเย็นๆ ครับ อย่าเพิ่งตีความผิดไปไกล 555
เอาประเด็นเบื้องต้นก่อนว่า ผมมั่นใจว่าทางบริษัทฝั่งสหรัฐฯ ไม่มีใครเห็นด้วยและเต็มใจทำตามเรื่องการแบนครั้งนี้หรอกคร้บ แต่มันเป็นคำสั่งทางปกครองของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ออกโดย ปธน สหรัฐฯ ที่ต้องปฏิบัติตาม
แม้แต่ Google เองลึกๆ ก็ไม่เห็นด้วยแน่นอน ถึงได้แถลงการณ์ประมาณว่า complying with the order (คือเพราะคำสั่งบังคับ แต่ไม่ได้เต็มใจทำตาม) เอาที่พวกเราติดตามมาก็รู้อยู่แล้วว่าความสัมพันธ์ระหว่าง Huawei กับ Google ก็ดีพอสมควร
ดังนั้นที่ผมว่า Huawei เป็น "ผู้ถูกกระทำ" นั้น ไม่ใช่หมายถึงว่า Google เป็น "ผู้กระทำ" นะครับ ส่วนเรื่องที่คุณว่ามา ประเด็นเรื่องนี้ผมก็เข้าใจดีและเห็นด้วยเรื่อง Android เป็น proprietary ของ Google ที่ Google จะจัดการอย่างไรก็ได้ แต่....ปัดโถ่ว คุณว่ากรณีนี้ Google เค้าเต็มใจทำมั้ยละครับ เอาว่าไม่เฉพาะ Google ด้วย พวก Intel, Qualcomm, Broadcomm ก็โดนบังคับด้วยคำสั่ง ปธน สหรัฐฯ กันทั้งนั้นละครับ
ถ้าคุณได้อ่านคอมเมนต์ก่อนๆ ของผม ทุกเมนต์ที่ผมเมนต์มาผมโจมตี (ด่า) ไปที่รัฐบาลสหรัฐฯ และทรัมพ์ล้วนๆ ครับ นี่ล่ะครับผู้กระทำที่ผมกล่าวถึง (ซึ่งไม่เกี่ยวกับ Google เลย // เอาจริง Google ก็เป็นผู้ถูกกระทำนะ โดนบังคับให้ตัดความสัมพันธ์กับหัวเหว่ยโดยไม่เต็มใจ)
ส่วนเรื่อง Huawei เป็นผู้ถูกกระทำ ผมยังยืนยันตามนั้นนะ เอาว่าใม่ใช่แค่เรื่องที่ถูกแบน แต่ถูกกระทำมาตั้งแต่ตอนโดนใส่ความแล้ว เพราะที่ผ่านมารัฐบาลสหรัฐฯ เอาแต่โวยวายว่า Huawei เป็นภัยต่อความมั่นคงแต่ไม่มีหลักฐานเป็นชิ้นเป็นอันอะไรเพื่อมายืนยันความผิด แถมทำตัวเป็นนักเลงไปเที่ยวบอกให้ประเทศอื่นรวมหัวกันแบน แต่พอรัฐบาลเยอรมันขอหลักฐาน อเมริกากลับไม่มีให้ แถมพอหลายประเทศไม่เอาด้วย ก็ยังจะขู่อีกว่าจะตัดความร่วมมือด้านข่าวกรองกับประเทศที่ใช้ Huawei อีก แล้วในที่สุดก็ออกคำสั่งอย่างที่ว่าคือห้ามบริษัทสหรัฐฯ ทำธุรกิจด้วย ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เคลียร์ปมเรื่องภัยต่อความมั่นคงเลยว่าตกลง Huawei ฝัง backdoor ให้หน่วยข่าวกรองของจีนจริงมั้ยหรือตีโพยตีพายกันไปเอง พฤติกรรมแบบนี้จะให้ผมคิดยังไงกับรัฐบาลสหรัฐฯ ล่ะครับ ตอนนี้ก็สภาพไม่ต่างจากเด็กอายุ 5 ขวบไปหาเรื่องเขาแล้วจะเอาชนะให้ได้ หมดสิ้นกันครับพฤติกรรมแบบนี้เรียกว่าไร้ศักดิ์ศรีแล้วครับ
เอาว่าถ้าสหรัฐฯ เปิดเผยหลักฐานที่เชื่อถือได้ว่า Huawei เป็นภัยต่อความมั่นคงของสหรัฐฯ จริง ผมยอมหน้าหงายเลยนะ นี่ก็รอหงายอยู่ จะได้เคลียร์ๆ ไปซะทีครับว่าหัวเว่ยผิดจริง จะได้ด่าถูกฝั่ง แต่นี่อึมครึม เอาแต่ใส่ความหัวเหว่ยแต่ไม่มีหลักฐานมาซะที (ถ้าเป็นความลับด้านข่าวกรอง ส่งให้ทางรัฐบาลเยอรมันดูก็ได้ตามที่เค้าเรียกร้องมา ไม่ต้องเปิดต่อสาธารณะก็ได้ เอาให้รู้ว่าผิดจริงก็พอ) แต่ตราบใดที่ยังอึมครึมแบบนี้ นาทีนี้ผมให้หัวเหว่ยคือผู้ถูกกระทำจริงๆ ครับ
เอาประเด็นเล็กก่อนนะครับ การเขียนว่า "ใจเย็น ๆ" ตีความได้ว่าผมใจร้อน ผมไม่แน่ใจว่าเป็น personal attack หรือเปล่า ที่แน่ ๆ ไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้แน่นอน
ประเด็นที่มีความซับซ้อนขึ้นมา คือเรื่องออก Executive Order ของทรัมป์โดยอ้างเรื่องภัยต่อความมั่นคง การพิสูจน์ข้อเท็จจริง ผมไม่ขอพูดถึง (เพราะมันซับซ้อน และต้องใช้ระยะเวลาในกระบวนการพิสูจน์) โดยส่วนตัว ผมมองว่ามีเหตุให้เชื่อได้ว่า Huawei มีพฤติกรรมตามที่รัฐบาลสหรัฐกล่าวอ้าง ในองค์กรที่ผมทำงานอยู่ เรื่องแรกที่ต้องทำในสำหรับการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ คือ เปลี่ยนอุปกรณ์ของ Huawei ออก ในการดำเนินการมีรายงาน และความเห็นของผู้เชี่ยวชาญรองรับทั้งหมด แต่หากคุณจะเชื่อว่า Huawei ไม่มีปัญหาดังกล่าว ผมไม่ขอก้าวล่วง มันเป็นสิทธิอันชอบธรรมของคุณเช่นกัน
ส่วนเรื่องการตัดสินใจของรัฐบาลสหรัฐ ผมไม่ขอก้าวล่วง และไม่ขอวิจารณ์เช่นเดียวกัน เขาอาจมีข้อมูลประกอบการตัดสินใจบางอย่างที่ไม่ได้เปิดเผยให้สาธารณชนทราบ แต่จากที่เคยทำงานกับหน่วยงานของสหรัฐมาบ้าง กระบวนการตัดสินใจของเขาไม่ง่ายเหมือนการตัดสินใจของเด็ก 5 ขวบแน่นอน ในแต่ละกระบวนการมีการตรวจสอบถ่วงดุลค่อนข้างมาก (ตามระบอบประชาธิปไตย) ในแต่ละเรื่องจะมีผู้เชี่ยวชาญที่ให้ความเห็นในมุมมองต่าง ๆ หลากหลายมุมมอง แต่เราต้องเข้าใจด้วยว่าวิธีคิดของสหรัฐอเมริกาคือ "Security has no price." กล่าวคือ แม้มีความเสี่ยงแต่เพียงนิด สหรัฐเลือกที่จะไม่รับความเสี่ยงนั้น และเลือกใช้หนทางที่มีความเสี่ยงน้อยกว่า ไม่ว่าจะแลกมาด้วนสิ่งใดก็ตาม วิธีคิดแบบนี้ ดีหรือไม่ดี ก็แล้วแต่มุมมอง ส่วนเยอรมันก็มีวิธีคิดอีกแบบที่ไม่เหมือนสหรัฐ และผมก็ไม่แปลกใจกับการตัดสินใจของสหรัฐในเรื่องนี้ เพราะเรื่องนี้สำหรับสหรัฐไม่ใช่เรื่องคดีความธรรมดาที่ต้องพิสูจน์ข้อเท็จจริงในชั้นศาล อีกทั้งในทางการทหาร "ข่าวกรอง" เป็นสิ่งชี้ขาดผลการรบ มากกว่าอาวุธใด ๆ
ข้างต้นที่เขียนมา ผมไม่ได้ต้องการบอกว่าการกระทำของสหรัฐชอบธรรม แต่ผมต้องการบอกว่าเป็นเรื่องที่เข้าใจได้
อย่างไรก็ตาม เรื่องความมั่นคงก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่เรื่องสิทธิความชอบธรรมในการทำธุรกิจก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง กล่าวคือ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ยังไง Google ก็มีสิทธิที่จะไม่ทำการค้ากับ Huawei และไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม Huawei ก็ไม่ใช่ผู้ถูกกระทำ Google อาจอ้างเหตุผลที่งี่เง่าที่สุด หรือเลือกที่จะไม่อ้างเหตุผลใด ๆ Huawei ก็ไม่ใช่ผู้ถูกกระทำอยู่ดี กล่าวอีกนัยหนึ่ง ผมไม่เห็นว่า การเลือกที่จะทำ หรือไม่ทำธุรกิจกับใคร จะทำให้เกิด "ผู้กระทำ" หรือ "ผู้ถูกระทำ" แต่อย่างใด ผมเลยเลือกที่จะไม่พูดประเด็นความมั่นคงตั้งแต่แรก เพราะผมมองว่ามันไม่เกี่ยวกับประเด็น
ผมต้องพยายามอ่านหลายรอบมาก เพื่อดูว่าที่ reply ตอบสัมพันธ์กับ post ยังไง เพราะอ่านแล้วรู้สึกว่า ไม่ต่อกันเลย
คือ พยายามจะอธิบายว่า Huawei ไม่ใช่ผู้ถูกกระทำ ใช่มั้ยครับ แล้วในโพสต์ต่อมาคือ พยายามจะอธิบายความชอบธรรมของ ทรัมป์ ในการสั่งให้แบน Huawei จากประสบการณ์ตรงที่ทำงานในหน่วยงานของสหรัฐ
ถูกมั้ยครับ
ทำไมผมอ่านยิ่ง "งง" เหมือนคุณเอง ก็ไม่เข้าใจ -*-
หรือไม่ ที่จริงก็เข้าใจ แต่ยังไงยังไง ก็ไม่แค่ไม่อยากนับว่า Huawei ไม่ใช่ผู้ถูกกระทำเฉยๆ
คือเรื่อง
"Huawei ไม่ใช่ผู้ถูกกระทำ เพราะ Google ในฐานะเจ้าของ Android มีสิทธิจะดีล หรือไม่ดีลกับใครก็ได้"
ก็ใช่ไงครับ Google มีสิทธิจะดีล แล้วก็ Google ก็ดีลกับ Huawei ไปแล้ว
แต่พอมาวันนี้
รัฐบาลสหรัฐ บอกให้ Google พอๆ,พวกคุณต้องตัดทุกอย่างที่เกี่ยวกับ Huawei ไปให้หมด!
สังเกดมั้ย ทำไมผมเว้นวรรค รัฐบาลสหรัฐ, Google, Huawei
เพระว่า "รัฐบาลสหรัฐ" สั่ง -> "Google" ให้ตัดทุกอย่างที่เกี่ยวกับ "Huawei"
สรุปว่า ผู้ถูกกระทำ คือ Google และ Huawei ครับ.
มีปุ่มหลงรักมั้ยครับ
ผมก็เข้าใจและรู้สึกแบบคุณครับ ส่วนตัวผมถ้าคนอื่นอ่านข้อความผมแล้วเช้าใจไปคนละทางเลย ผมก็ต้องโทษที่ตัวผมเองว่าคงเขียนไม่รู้เรื่องเอง ผิดที่ผมเองครับ
ถ้าคุยกันสองสามข้อความแล้วยังคุยกันคนละประเด็น ผมคงถอยแล้วครับเพราะยิ่งคุยจะยิ่งไปไกลใหญ่ แต่ที่มาเพราะรู้สึกดีใจที่คุณ Xcboy ยังเข้าใจที่ผมว่ามา
วันนี้เพิ่งคุยกับเพื่อน เพื่อนถามว่าคิดยังไงกรณี Google กับ Huawei ผมเลยตอบไปแบบที่ตอบนี่แหละ สมมติมีตัวละคร A, B และ C
ถ้า A ไปบังคับขืนใจ B ให้เลิกคบ C .. ตัวผมจะไม่พาดพิงอะไรเกี่ยวกับ B เลยเพราะเขาถูกบังคับให้ทำ ในขณะที่ผมจะไปด่าที่ A ว่ามีเหตุผลชอบธรรมและสมเหตุผลหรือไม่ที่ไปทำแบบนั้น แน่นอนว่า A คือรัฐบาลสหรัฐฯ และทรัมพ์ / B คือกูเกิล และ C คือหัวเหว่ย ผมบอกกับเพื่อนว่าไม่ได้ติดใจอะไรใน Google เลย เพราะเขาก็ต้องทำตามคำสั่งทางปกครอง ไม่งั้น Google ก็จะโดนเล่นเสียเอง คนที่ต้องด่ามากกว่าคือรัฐบาลสหรัฐ
เพราะสิ่งที่ทำมันมากกว่าความสมเหตผลครับ สมมติว่าหัวเหว่ยเป็นภัยต่อความมั่นคงจริง ให้แบนการใช้งานกับหน่วยงานในสหรัฐฯ ได้ครับ ถ้าไม่ไว้ใจก็ไม่ต้องใช้ อันนี้สมเหตผลดี แต่การไปออกคำสั่ง ห้ามทุกบริษัทสหรัฐยุ่งเกี่ยวหรือทำธุรกรรมใดๆ ด้วย แบบนี้มันเกินความจำเป็นในการลงโทษไปมาก จนคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้ว่าอเมริกากลัวการเติบโตของหัวเหว่ยจนตัวสั่น กลัวกระทบการแข่งขันชองอเมริกา จึงต้องออกมาเตะขาสกัดหัวเหว่ยกันแบบนี้ (นี่แหละครับวิธีคิดและเหตุผลรองรับของสหรัฐฯ ในสายตาของผม เพราะนโยบายเค้าชัดเจนว่า America first)
แต่คุณกลับลาก Google เข้ามา แล้วพูดว่า Google มีสิทธิขะดีลหรือไม่ดีลก็ได้ ก็เลยงงครับ เพราะใช่ มันก็ถูกอย่างที่คุณว่ามา แต่ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ตรงนั้น แต่ประเด็นอยู่ที่ใครสั่งให้ทำนั่นไงครับ
ทีมงานทำปุ่มกดด่วนเลยครับบ xD
ผมเข้าใจคุณครับ, คุณillusion.
A - พ่อตามะกัน
B - สาวน้อยกู๋
C - พ่อค้าเว่ย มีเจ้าพ่ออยู่เบื้องหลัง
พ่อค้าเว่ยคบหากับสาวน้อยกู๋ ในลักษณะคล้ายๆแต่งเข้าบ้านคนจีนสมัยก่อน(อีกฝ่ายเสียเปรียบ)
พ่อตาสงสัยพ่อค้าเว่ย ทั้งการขโมยความลับทางการค้า การพยายามลอก&ขโมยเทคโนโลยีของพ่อตา การใช้บริษัทลูกไปค้าขายกับศัตรูของพ่อตา แต่พอพ่อตาจะขายบ้างก็โดนเจ้าพ่อเอาเปรียบอยู่เหมือนกัน
พ่อตาจึงสั่งให้สาวน้อยกู๋เลิกกับพ่อค้าเว๋ยซะ
สาวน้อยกู๋จึงต้องเลิกแบบไม่ให้เสียหน้า ส่วนพ่อค้าเว๋ยประกาศไม่แคร์เดวไปมีเมียใหม่
ประมาณนี้ใช้ได้ไหม
(ไม่รู้ผมคิดถูกหรือป่าวนะ)
คือผมคิดว่าอเมริกาคงเปรียบอุปกรณ์ Hauwei เหมือนกล้องที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตจากฝ่ายตรงข้าม แถมราคาถูก ประชาชนเขาก็แห่ซื้อเข้าประเทศกัน ซึ่งมีหลายรุ่นหลายอุปกรณ์มาก
แล้วลองคิดดูอเมริกาจะต้องมานั่งตรวจสอบ
อเมริกาเลยแบนสะเลย
(ผมมองว่าอเมริกาคงคิดแบบนี้, ส่วนเรื่องปลอดภัยไหม ผมไม่รู้, เรื่องปิดกั้นไหม ผมไม่รู้, เรื่องสิทธิบัตรไหม ผมไม่รู้)
Like +1
ส่วนตัวมองว่าทรัมป์แม่มก็เก่งนะยิงปืนนัดเดียวโดนนก2ตัวเลย ถึงส่วนตัวจะไม่ค่อยชอบหน้าก็เถอะ
สหรัฐคือศูนย์กลางโลกโดยแท้ พวกที่มีปัญหากับสหรัฐ ฉิปหายทุกราย ยิ่งยุคทรัมป์ด้วยแล้วอย่าซ่ามาก
ทรัมป์เนี้ยมันตัวแสบจริงๆ สมัยหน้าถ้าหลุดนโยบายก็อาจจะเปลี่ยนอีก
ผมว่าคนหัวอนุรักษ์นิยมน่าจะเลือกเขาเยอะในการเลือกตั้งสมัยหน้าแน่นอน
ความล้มเหลว คือจุดเริ่มต้นสู่ความหายนะ มีผลกระทบมากกว่าแค่เสียเงิน เวลา อนาคต และทรัพยากรที่เสียไป - จงอย่าล้มเหลว
นโยบายชาตินิยม อาจจะได้เป็นอีกครั้งก็ได้ครับ
oxygen2.me, panithi's blog
Device: ThinkPad T480s, iPad Pro, iPhone 11 Pro Max, Pixel 6
ไม่รู้ว่าการแบนจะส่งผลขนาดไหน แต่อย่างตอนนี้มือถือในจีนก็ไม่มี google service อยู่แล้วแต่ เข้าใจว่าทางกฏหมายทำออกมาขายไม่ได้ แต่ในทางปฏิบัติซึ่ง google ไม่ได้อยากทำนักก็คงหาทางใช้ช่องโหว่ของกฏหมายได้แหละครับ
อันที่จริงมือถือ huawei ที่ขายในจีนก็เป็นรุ่นพัฒนาจาก AOSP แต่ใช้ชื่อ Android เฉยๆรึเปล่า ถ้าโดนแบนแต่จะมาทำขายก็อาจจะเปลี่ยนชื่อ ส่วน Google Service เนี่ยมีให้โหลดใน app gallery (ประเทศจีน) คลิกเดียวใช้งานได้เลยครับ มีบาง feature ที่ใช้งานไม่ได้แต่ส่วนใหญ่ก็ทำงานได้ประมาณ 90%
มันจะเป็นลูกโซ่ไหมเนี่ย
เนี่ยแหละ! น่ากลัวจริง อาจจะมี..
ทั้งลูกโซ่
ลูกชิ่งกระทบ
และลูกหลง
เกิดขึ้นตามมา
จีนจะตอบโต้ไหม หรือยอมก้มหัวให้ รอวันแก้แค้นทีเดียว
นโยบายของทรัมป์แน่นอนชัดเจนจริง ๆ "America First"
ที่อ่านบทวิเคราะห์ในเว็บ brandinside มา ซึ่งบอกว่าหัวเว่ยมีทางเลือกแค่สองทาง คือ 1) พึ่งพาตนเองให้ได้ ใช้อุปกรณ์และชิ้นส่วนจากนอกสหรัฐทดแทน แต่จะยากลำบากและเสี่ยงมาก 2) ทำตามเกมสหรัฐแบบ ZTE จ่ายค่าปรับ ยอมความ เปลี่ยนโครงสร้างการบริหาร และให้อเมริกาตรวจสอบการทำงานได้
ซึ่งส่วนตัวคิดว่าแนวทางที่ 2 มันเลวร้ายมาก เพราะในเมื่อยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดว่าผิดจริง การไปยอมความแบบนั้นมันไม่ถูกต้อง และยังเสียศักดิ์ศรีมาก เสียทั้งหัวเว่ยเอง และเสียทั้งประเทศจีนเองด้วย และต่อไปจะเป็นเครื่องมือในการรังแกของรัฐบาลสหรัฐได้ หากสหรัฐไม่พอใจบริษัทไหนก็ยัดข้อหาและสั่งแบนแบบนี้ อีกหน่อยเจอแบบนี้ก็ต้องยอมทำตามไปหมดเพราะขนาด ZTE Huawei ยังยอมเลย แล้วที่สำคัญ การทำแบบนี้ก็เท่ากับยอมรับว่าผิดจริง (ซึ่งจะจริงหรือไม่นั้นอีกเรื่อง) ต่อให้หัวเว่ยจะกลับมาขายของได้ แต่ความเชื่อมั่นมันสั่นคลอนไปแล้วนะ
เป็นผมผมจะสู้ตามแนวทางที่ 1 นะ คือส่วนตัวผมมองว่า ตลาดในจีนเองก็แข่งแกร่งมากอยู่แล้ว ผมเชื่อว่าหัวเว่ยอยู่ได้แม้จะขายของแค่ในจีน (แต่จริงๆ ยังไปขายที่อื่นของโลกได้ที่เขาไม่แบนอีก เช่นไทย) ตอนนี้แบรนด์หัวเว่ยก็เริ่มเป็นที่ยอมรับแล้ว ไม่น่าจะเจ๊งง่ายๆ แต่อาจจะเจ็บตัวหน่อย ส่วนชิ้นส่วนอุปกรณ์ต่างๆ ก็คงต้องหาซัพพลายใหม่นอกสหรัฐ แต่ผมมองว่าเป็นเรื่องที่ดีที่จะได้เริ่มลงมือพัฒนาตรงนี้อย่างจริงจังและลดการพึ่งพาเทคโนโลยีสหรัฐซักที ถึงมันอาจจะไม่ดีเท่าของสหรัฐในช่วงแรก แต่ก็ควรนับหนึ่งได้แล้ว แบบนี้แหละที่จะเป็นการฆ่าบริษัทอเมริกาทางอ้อม เพราะถ้าจีนทำสำเร็จ โมเมนตั้มมันหนีมาทางจีนแน่ๆ 1) ถูกกว่า 2) เห็นเคสที่เกิดขึ้นนี้ ใครก็ไม่อยากจะพึ่งพาบริษัทสหรัฐแล้ว
แล้วธุรกิจที่ผมว่าถือไพ่มากที่สุดคือธุรกิจอุปกรณ์เครือข่ายนี่แหละ ตอนนี้หลายเจ้าเลือกหัวเว่ยเพราะเทคโนโลยีเหนือกว่าแถมราคาถูกกว่า ถ้าจะแบนหัวเว่ยกันจริงๆ งานนี้ 5G ในอเมริกาและประเทศที่แบนล้าหลังแน่ๆ ซึ่งมันก็จะย้อนกลับไปทำร้ายตัวเอง
สรุปงานนี้หัวเว่ยควรเลือกทางที่ 1 แล้วประคับประคองตัวเองไปเรื่อยๆ ถึงจะขายได้น้อยลง เสียตลาดโลกก็ยอมไปก่อน กลับไปพัฒนาเทคโนโลยีที่ไม่ต้องพึ่งอเมริกาแล้วค่อยกลับมาใหม่ก็ไม่สาย แต่กว่าจะถึงตอนนั้น ผมว่าอเมริกาก่อนแหละที่จะเละเทะแพ้ภัยตัวเองไปก่อนแล้ว
ปัญหาของหัวเว่ยตอนนี้ไม่ใช่สินค้า แต่เป็น Eco System ครับ แถมเอาของนอก us มาทำขายส่งออกโดนเล่นเรื่องสิทธิบัตรอีก ทางเลือกเดียวเลยคือต้องตอบโต้โดยการไม่ขายแร่ให้นี่แหละ ซึ่งนั่นกลายเป็นว่าหัวเว่ยมีรัฐบาลเป็น sponser state จริง แบบที่ ZTE ไม่มี
I need healing.
ถ้าเรื่อง ecosystem เอาจริงๆ ส่วนตัวผมยังไม่ห่วงมากครับ ถ้า Fire OS ของ Amazon ขายได้ ใช้งานได้ ผมว่าหัวเว่ยไปเอา AOSP มาใช้แล้วทำ ecosystem ของตัวเอง มันก็พอไปได้เหมือนกัน เพราะจริงๆ แล้ว user มีทางลง Google services เองได้
ส่วนสิทธิบัตร ที่มีข่าวบ่อยๆ ส่วนใหญ่จะมีปัญหาในอเมริกา ถ้ายังไงก็ขายในเมกาไม่ได้อยู่แล้ว ถ้าจะไปขายที่อื่นก็ว่ากันเป็นประเทศๆ ไปครับ ว่าประเทศที่หัวเหว่ยเอามือถือไปขาย บริษัทอเมริกาจะไปจดสิทธิบัตรด้านต่างๆ ในประเทศนั้นหรือเปล่า ยังไงปัญหาสิทธิบัตรนี้ก็ไม่น่าจะหนักเท่าในอเมริกา
ที่เด็ดจริงๆ คือเรื่องแร่แรร์เอิร์ธนี่แหละ อันนี้โหดจริง
User คนไหนจะมานั่งลง gapp ครับ เพราะมันต้อง unlocked bootloader, root ลงบางตัวใหม่ user เขาไม่ทำกันหรอกครับ
ขนาดคนไอทียังไม่ทำเลย
เหมือนคุณจะอคติ มองอเมริกาเป็นผู้ร้าย จีนเป็นคนดีที่ถูกกระทำนะ คุณต้องมองเรื่องนี้ให้ลึกๆครับ เหตุมันเริ่มจากหัวเว่ยก่อน
แต่ข่าวการประกาศยกเลิกสินค้าหัวเว่ยเมื่อต้นปีมันออกมาก่อนข่าว หัวเว่ยกับแอปเปิ้ลและเทสล่า ผมมองว่างี้นะ
ถ้าคุณแอนตี้อเมริกา งั้นคุณก็ห้ามใช้สินค้าเขานะ ไม่ว่าจะเป็น Apple, Oracle, IBM,Dell, Android, Google ไปใช้สินค้าจีนก็ได้
ผมมองว่า ไม่ว่าหัวเว่ยจะเลือกโต้ตอบแบบไหนก็เจ็บทุกฝ่ายครับ เป็นผลมาจากทรัมป์เองนั้นล่ะ
เคยใช้ M2 Note ก็ไม่มี gapp มาให้ต้องลงเองเหมือนกันครับ แต่มันมาให้แบบเบ็ดเสร็จ มี apk วางไว้บน screen เลย ลงปุ๊บ ก็ใช้งานได้เลยไม่ต้อง root ใดๆ
ลง app internet banking แล้วใช้ได้ไหมครับ? อยากทราบตรงนี้ (ไม่เอาแบบเอา apk ข้างนอกมาลงนะ มันไม่ปลอดภัย)
เรื่องลงยากไม่ยาก ถ้ามันมีวิธีลง ก็ไม่มีปัญหา แต่ app พวกที่ security สูงๆนี่แหละจะมีประเด็นหรือเปล่า?
ผมซื้อ Xiaomi รอมจีน ก็ยังลง app Internet Banking ได้ไม่มีปัญหาครับ
อีกเสียงครับ เคยใช้ Meizu M2 Note เหมือนกัน ตัว OS (Flyme OS) เดิมไม่มี Google Apps อะไรมาให้เลย แต่ตัว App Store ของ Meizu มี Google Installer ให้โหลด โหลดปุ๊ปรีเครื่องมันรีเครื่องรอบนึงมี Google Play อะไรมาให้เลย ทีนี้จะโหลด Gmail, YouTube ฯลฯ อะไรก็ได้ตามใจชอบเลย ไม่ต้อง Root ด้วย
เชื่อเถอะ เดี๋ยวก็มีร้านรับลง Gapps หน้าทางเข้า Huawei Shop ทุกสาขา
เครื่องละ 500~1,000 ว่ากันไป
ถ้าจะขนาดนั้นไปใช้ยี่ห้ออื่นง่ายกว่านะ
ถ้ามันยุ่งยากขนาดนี้ไปยี่ห้ออื่นเหอะครับ
I need healing.
ผมว่าไอ้เรื่องแอนตี้ชาติไหน(ไม่ว่าจะแอนตี้จริงหรือไม่ก็ตาม)แล้วต้องเลิกใช้สินค้าชาตินั้นควรเลิกพูดได้แล้วครับ ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันเลย เขาด่ารัฐบาลสหรัฐที่ออกมาตรการแบบนี้ ไม่ได้ด่าเอกชนที่เป็นเจ้าของสินค้าพวกนั้น ผมว่ามันก็เข้าใจไม่ยากนะ
เป็น ม.44 ในคราบอเมริกา ???
คนละเรื่องเลยครับ คำสั่งปธน. นี่โดนตีตกตามกระบวนการได้ คำสั่งฝ่ายบริหารนี่มีทุกประเทศ (ไม่งั้นจะเป็นนายก/ประธานาธิบดีทำไม) แต่ต้องโดนตรวจสอบ, จำกัดอำนาจ, รวมถึงรับผลในกรณีลุแก่อำนาจ ได้
เอะอะก็ไปบอกว่าเขามีเหมือนกันนี่มักง่ายครับ
lewcpe.com, @wasonliw
ร้อนก้นนิดหน่อยเพราะกลัวว่ามือถือที่ใช้อยู่(Xiaomi)จะโดนหางเร่กะเขาด้วย
สงสัยเครื่องหน้าต้องเป็นซัมซุงเป็นแน่แท้
ผมเคยบอกไว้นานแล้วว่าอย่าไปพึ่งพา Google จนขาดเขาไม่ได้ ทางเอเชียหรือทวีปอื่น ๆ ควรจะรวมตัวกันสร้าง search engine มาถ่วงอำนาจกับ Google จากสหรัฐอเมริกาได้แล้ว
ผมขอแค่ search engine ตัวใหม่ทำงานได้เท่ากับ Google สมัย 10 ปีที่แล้วก็พอ
That is the way things are.
ถ้าให้พูดแบบมุมเศรษฐกิจ ตอนนี้ไทยก็พึ่งพาจีนเยอะมากจนแทบขาดไม่ได้นะครับ
ลองรบ.จีนไม่ใก้ประชาชนเค้ามาเที่ยวบ้านเราสิ แบบช่วงที่ประวิทย์ปากไม่ค่อยดีแล้วนักท่องเที่ยวหายไปน่ะ
อีกหลายอย่างเราก็ซุกใต้ปีกจีน เราก็พึ่งพาจีนแทบขาดไม่ได้เหมือนกันนะ
องค์กรแสวงหารายได้ที่ใช้โมเดลนี้ ผมว่าค่อนข้างอันตรายมาก ถ้าลูกค้าเลิกหรือลูกค้าล้ม องค์กรก็เตรียมตัวตามลูกค้าไปได้เลย
ประเทศไทยเราโชคดีที่มีภูมิประเทศสวยงามหลายที่ โดยเฉพาะฝั่งท้องทะเล ทำให้ดึงดูดเม็ดเงินจากนักท่องเที่ยวได้
ผมยังเคยคิดเล่น ๆ ถ้าประเทศไทยไม่มีทะเลสวย ๆ ป่านนี้น่าจะเจ๊งยับ ฮ่า
That is the way things are.
แต่โชคร้าย ที่เรามีคนไทยบางส่วน (หรือส่วนใหญ่?) มักง่ายครับ / ยังไม่สาย มาช่วยกันดูแลทำเลทำกินของชาติกันครับ (พิทักษ์แหล่งท่องเที่ยว) ช่วยกันรักษาความสะอาด งดทิ้งขยะ งดทำลาย บอกกล่าวแก้ผู้ผิดพลาด (อย่าปล่อยผ่าน) ?
ก็มีแล้วนิครับไบดูไง แถมก็ง้อ(ยัดเยียด)คนไทยโดยการทำ เหา123 มาให้อีกต่างหาก
มีแล้วครับชื่อ baidu
คือผมว่า baidu นี่มันห่วยกว่า Google สมัย 10 ปีที่แล้วมากอยู่นะครับ โดยเฉพาะผลการค้นหาด้วยภาษาไทย
ส่วนผลการค้นหาภาษาอังกฤษ ผมว่า bing ก็ทำได้ดีพอสมควร แต่ก็เป็นของทวีปอเมริกาเหนืออีกเหมือนเดิม
That is the way things are.
มันน่าจะเก่งที่สุดถ้าใช้ภาษาจีนมั้ง (เดานะ)
เพิ่มเติม ผมมองในเรื่องของ วีดีโอ ต่างๆนาๆที่เป็นลิขสิทธิ์ของคนไทย ไป post ไว้ใน youtube วันหนึ่งเขาจะคิดเงินหรือ จะไม่ได้เราเข้าถึงแล้วจะทำยังไงกันดี
ผลประโยชน์ จะตกสู่ samsung oppo mi amd
มันจะไม่ใช่แค่นี้ พิมพ์เขียวสำหรับ CPU อีกที่จะโดนไม่ให้ขายให้ Huawei คิดใหม่ทั้ง CPU,OS มันจะไป compatible กะคนอื่นได้ไง
ขาเกมส์เลิกใช้แน่นอน
ถึงรอบนี้ อเมริกา จะดูเป็นเด็กเกเร
แต่เจอคนจีนตามสถานที่ท่องเที่ยวมา . . .
ให้อเมริกา เป็นมหาอำนาจ ยังไงก็ดีกว่า จีน - -"
ใช่ครับ ผมก็เห็นแบบนี้น แม้ว่าบางครั้งอเมริกาจะเป็นคนดี คอยปกป้องโลก รังแกคนอื่น ไม่มีหลักฐาน หรือมีแต่ไม่เปิด แต่ก็ยังดีกว่าจีนนะครับ
คือมองว่า อย่างน้อยอเมริกาก็มีเหตุผลที่จะแบน มากกว่าการแบนตามใจชอบเหมือนจีน
ด้วยเหตุผลนี้ ถ้าเป็นสมัยโอบาม่าทำ มันคงดูมีเหตุผล แต่มาทำสมัยทรัมป์ ได้แต่กอดอก มองบน ^^
ถ้าหัวเหว่ยโดนผมยังสงสัยทำไม lenovo ไม่โดนอะ?
นี่พีซีอันดับหนึ่งของโลกเลยะลองทำจริงนี่ผมว่านีาคนตกงานเป็นล้านอะ?แถมกดดันดีกว่าด้วยหรือเปล่า
ปล.สมมติได้รับผลกระทบจริงเราจะเหลือมือถือดรอยด์ให้ใช้กี่แบรนด์ นับมีแค่ ss asus apple นอกนั่นก็จีนหมดอะนะ
เขาแบนเจ้าเดียวเพราะกรณีที่ผู้บริหารละเมิดข้อห้ามในการค้าขายกับอิหร่านโดยปกปิดตัวตนและหลอกลวงกับธนาคารสหรัฐฯครับ ที่มีดราม่าไปจับกันที่แคนาดานั่นแหละ
เขาเลยแบนเจ้าเดียว ไม่ได้แบนแบรนด์จีนทั้งหมด
Lenovo ไม่ได้ทำอุปดรณ์โครงข่ายสื่อสารครับ ถ้าหัวเว่ยไม่มีธุรกิจอุปกรณ์โครงข่ายสื่อสาร อเมริกาก็ไท่แบนหรอก แต่นี้คือครบทั้งระบบเลย แล้วบริษัทอเมริกา คือตามไม่ทันหัวเว่ยแล้ว
Opensource - Hackintosh - Graphic Design - Scriptkiddie - Xenlism Project
เขาแบนบ.เดียวเพราะกรณีอิหร่าน
ส่วนเรื่องไม่ทันกัน...ทุกวันนี้ซื้อ license จากใครมาผลิตหรือต่อยอด?
ยังมีคนเข้าใจผิดเยอะ นึกว่าเขาแบนจีนทุกแบรนด์
จริงๆเขาแบนแค่เจ้าเดียว เพราะกรณีอิหร่าน และต่อมาเป็นข้ออ้างเรื่องความมั่นคง เพราะกล่าวหาว่ารบ.จีนเป็นเจ้าของบริษัทที่แท้จริง ผิดกับบ.เอกชนจีนอื่นๆ
ไม่จริงครับ
คำสั่งคือ ห้ามบริษัทต่างๆในสหรัฐฯ ใช้อุปกรณ์สื่อสารโทรคมนาคมที่ผลิตโดยองค์กรที่สร้างความเสี่ยงด้านความมั่นคงต่อสหรัฐฯ
ไม่มีคำว่า อิหร่าน เลยครับ
ถ้าวันดีคืนร้าย ทรัมป์จะออกมากล่าวหาบริษัทจีนอื่นอีก ก็ทำได้สบายครับ
ใช่ครับ ในคำสั่งไม่มี แต่มันเป็นเหตุการณ์ต่อเนื่องมา
เพราะบ.นี้โดนตั้งข้อสงสัยว่าเป็นนอมินีของรบ.จีน ทำให้มีแง่เรื่องความอิสระ ประกอบกับเคยมีคดีความลักลอบค้ากับอิหร่าน มันก็โดนยกมาเรื่องความมั่นคง
ส่วนบ.อื่นโอกาสโดนน้อย เพราะไม่ได้ทำอุปกรณ์ network ขายเป็นหลักด้วย ปกติมือถือจีนก็แทบไมไ่ด้ขายในสหรัฐอยู่แล้ว
แค่ อเมริกา แบนไม่ใก้ใช้สินค้าของหัวเว่ยใน USA ก็น่าจะจบปะ แต่นี่ก้ามทำธุรกิจด้วย หมายถึง Supply chain ที่หัวเว่ยจะต้องใช้ในการทำธุรกิจด้วย คือ มันเกินการสอดแนม USA ละ มันเป๋นการใช้อำนาจรัฐทำลายบริษัทเอกชนต่างชาติ เพราะ บริษัทในประเทศไม่สามารถ แข่งขันในตลาดได้ ไม่ใช่แค่ในประเทศ
สอดแนม คือ เป็นห่วงมากว่าจะสอดแนมประเทศอื่น
Opensource - Hackintosh - Graphic Design - Scriptkiddie - Xenlism Project
เดี๋ยวๆ เขาก็ห้ามบ.ของอเมริกาทำธุรกิจด้วย ก็ไม่ต่างจากตอนจีน ห้าม google ,facebook เข้ามาทำตลาดในจีนเลยนะครับ ตอนนั้นเขาก็อ้างความมั่นคงเหมือนกัน
เพียงแต่บ.ของอเมริกาดันมีอิทธิพลทั้งโลก มันเลยดูเหมือนเมกา แบนทั้งโลก มากกว่าตอนจีนแบน gg,fb,yt(ซึ่งคนไทยไม่ได้รู้สึกอะไร เพราะไม่ได้อยู่ในจีน)
คือถ้าเรามองในแง่ความมั่นคง ถ้าห้ามใช้แค่ในประเทศ มันก็ไม่ secure พอสิ ไม่งั้นเกิดมาล้วงความลับของบ.เมกา ที่สาขาประเทศอื่น(เราไม่พูดว่ามีการล้วงจริงหรือไม่ แค่พูดถึงความเสี่ยง)
ไม่อธิบายละครับ เหนื่อย ถ้าคิดว่าเหมือนกันก็ตามใจ แต่ Google ผลิตมือถือที่ประเทศไหนครับ google ทำธุรดิจร่วมกับบริษัทจีนมั้ย
Opensource - Hackintosh - Graphic Design - Scriptkiddie - Xenlism Project
จีนห้ามกูเกิล เฟซบุ๊คมาทำตลาดในจีน ไม่ได้ห้ามบริษัทในจีนไปทำการค้ากับกูเกิลในต่างประเทศนี่ครับ ไม่ห้ามกระทั่งกูเกิลผลิต Pixel ในจีนด้วยซ้ำไป
อย่างมากน่าจะเทียบได้แค่การห้ามใช้อุปกรณ์หัวเหว่ยรึเปล่า นี่ห้ามขายของให้ด้วยนะ
ส่วนเรื่องความมั่นคง ก็เห็นด้วยในแง่หลักการครับ
แต่การไปบังคับประเทศอื่นให้ทำตามตัวเองนี่ ก็ช่วยไม่ได้ถ้าจะมีคนมองว่าเป็นอันธพาลน่ะนะ
ทั้งมวลนี้เราจะแกล้งอินโนเซนส์กันนะครับว่าอเมริกากับจีนไม่ได้ทำสงครามการค้ากันอยู่ ไม่มีการประกาศกำแพงภาษีใส่กันอุตลุต มองแค่ข้ออ้างที่แต่ละฝ่ายว่ากันอย่างเดียว
กรณีเรียกร้องประเทศอื่นให้แบนตาม อันนี้เห็นด้วย ว่าไม่มีอำนาจ และค่อนข้างอันธพาล ยกเว้นกรณีแบ่งปันข่าวกรองฯ ใครจะเชื่อไม่เชื่อก็ขึ้นกับประเทศนั้นๆ
แต่สั่งให้บ.สัญชาติประเทศตัวเองไม่ขายของให้ อันนี้มีอำนาจตามกฎหมายความมั่นคงเขา และผมก็คิดว่าสมเหตุสมผลในแง่ความมั่นคงล้วนๆ (ไม่ต่างจากกรณีอิหร่าน ที่ห้ามทุกบ.ซื้อขายกับกิจการใดๆของอิหร่านด้วย แต่นี่เจาะจงแค่บริษัทเอกชนเจ้าเดียว)
คุณก็พูดเองว่า จีนห้าม google ทำตลาด search engine หรือระบบใดๆที่เกี่ยวกับความมั่นคงเช่น google map แต่ไม่ได้ห้ามมาผลิตของหรือทำธุจกิจอื่น พูดแบบนี้ เมกาเขาก็ไม่ได้ห้าม lenovo,xiaomi หรือบ.อื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับการทำอุปกรณ์ network มาทำการค้ากับสหรัฐด้วยเช่นกัน บ.จีนอื่นก็ทำธุรกิจในสหรัฐเต็มไปหมด เอาแค่ alibaba นี่ก็อยู่ในตลาดหุ้นสหรัฐ
แค่มองแยกส่วนว่าห้ามบริษัทเดียวกัน หรือแค่บ.ลูก google ส่วนที่ทำ search engine มันก็ใหญ่พอจะเป็นบ.ขนาดใหญ่เดี่ยวๆ แยกจาก google ที่ทำมือถือ
ทีขู่จะงดขาย rare earth ให้นี่ไม่เรียกพาลนอกประเด็นหรือ ไม่งงหรือ ทะเลาะกันเรื่องบ.ทำอุปกรณื network แต่จะพาลไปขู่ถึงเรื่องวัตถุดิบอื่น? ยิ่งงงไปใหญ่ว่า ที่มีปัญหาไม่ใช่แค่บริษัทเอกชนเจ้าเดียว หรือว่าเป็นนอมินีของรบ.จีนกันแน่?
ถ้าเมกาสั่งแบนทุกยี่ห้อของจีนตามหมด อันนี้ถึงจะเทียบเท่ากับสิ่งทีจีนกำลังขู่ว่าจะไม่ขาย rare earth ให้
ไหนๆก็อ้างว่าเป็นสงครามการค้า ใครจะทำอะไร ก็ไม่ต้องอ้างความสมเหตุสมผลแล้ว งงที่หลายคนบอกว่าจีนตอบโต้ยังไงก็ได้ แต่ห้ามเมกาโจมตี? อีตอนจีนขู่ทำสงครามช่วงที่ผู้บริหารบริษัทเอกชนโดนจับข้อหาร้ายแรง ไม่เห็นออกมาด่าจีนกันบ้าง เห็นมีแต่อวยให้จับอีกฝ่ายเป็นตัวประกันเต็มไปหมด?
ต่ออีกนิด เพิ่งนึกประเด็นใหม่
ว่าที่เขาห้ามติดต่อค้าขายด้วย นี่คือบ.ในเครือ hw ทั้งหมด หรือว่าเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับ network และมือถือ?
ถ้าห้ามเฉพาะบ.ลูกที่เกี่ยวข้องกับ network และมือถือ แต่ไม่ได้ห้ามบ.ส่วนอื่นๆ เช่น hw cloud ? ก็ยังพอเข้าใจ
แต่ถ้าห้ามบ.ในเครือทั้งหมด กิจการของ hw ในด้านอื่นๆน่าจะกระทบรุนแรงมาก ไม่ใช่แค่ขายมือถือไม่ได้ แต่ทำธุรกิจไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ถ้าแบบนี้ผมก็คิดว่ามากเกินไปเช่นกัน
เดี๋ยวๆ กรณีนี้ คือ US แบน หัวเว่ย ห้ามบริษัทอเมริกันทำธุรกรรมกับหัวเว่ยอย่างเดดขาด ของจีน จีนไม่ให้ บริษัทอเมริกันให้บริการบางอย่าง จีนไม่แบนบริษัทไหนแบบอเมริกาเลย
ผมไม่ได้เชียร์จีนนะ
กรณีนี้เป็นผลดีในระยะยาวเลย เพราะ USA ได้ทำลายความน่าเชื่อถือ ของบริษัทอเมริกันไปแล้ว ในอนาคต ผู้บริโภคจะมีตัวเลือกเพิ่มมากขึ้น อเมริกา คำสั่งของอเมริกาจะไม่มีผลกระทบมากเหมือนตอนนี้แล้ว
Opensource - Hackintosh - Graphic Design - Scriptkiddie - Xenlism Project
จีนห้ามบ.เมกาทำธุรกิจหลายๆอย่างในจีน ใช่ครับเขาไม่ได้ห้ามทำธุรกรรมไปทุกอย่างแบบเคสเมกาสั่งปัจจุบัน แต่การห้ามแบบแยกส่วน อีกแง่นึงก็ถือว่าเป็นการเริ่มกีดกันก่อนใครเลย? ไม่เห็นมีใครเรียกร้อง fair play บ้าง? ยังไม่นับว่ามีการลอกเลียน สร้าง app เลียนแบบมาใช้ทดแทนเสียอีก ตั้งชื่อยังคล้ายๆกันเลย...
และอย่างที่บอก ถ้าจีนขู่จะไม่ส่งออก rare earth จริงๆ อันนี้ก็เป็นการที่จีนตอบโต้เกินสิ่งที่สหรัฐทำเช่นกัน
ส่วนเรื่องความเชื่อถือ ผู้บริโภคมีสิทธิ์เลือกครับ สำหรับผมเลือกที่ความโปร่งใสมากที่สุดเท่าที่มีให้เลือก(มันไม่ได้ใสหมดหรอกแต่เอาเท่าที่ดูแล้วตรวจสอบได้ง่ายกว่า) ไม่ใช่เลือกเพราะเกลียดใคร
การห้ามแบบแยกส่วน คืออะไร? ไม่ใช่แค่จีนหลอกครับที่ห้ามบางธุกิจ หลายๆประเทศก็มีธุรกิจที่ต่างชาติทำไม่ได้แม่แต่สหรัฐเอง หรือบ้านเราเองก็มี ขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมการเมืองการปกคลองและผลประโยชน์
ส่วนการโยงเอาเรื้องโนนเรื่องนี้มาเป็นข้ออ้าง ก็ต้องว่าไปตามความเสียหายที่เกิดขึ้นจริงไม่ใช่ว่า ขโมยของแล้ว ต้องประหาร อย่างที่เกิดขึ้นกับ หัวเหวย ศาลสหรัฐก็มีการไต่สวนและผลลัพที่หัวเหวยต้องจ่ายก็มีไม่น้อย และข้อกล่าวหาที่ใช้ในการแบนก็ไร้หลักฐาน แถมยังกดดันประเทศอื่นๆไม่ให้ใช้อีก
ถึงจะตอบโต้ยังไงตอนนี้ผลกระทบก็เกิดแล้ว หุ้นร่วง ถ้าแบนจริงก็คงจบขายไม่ออก ไลมือถือที่เพิ่งทำได้ดี แน่นอนแล้วว่าปีนี้คงตกแน่ คนที่ซื้อมือถือไปก็โดนผลกระทบแน่นอน
พอพูดถึงกรณีอิหร่านแล้ว....ก็ใช่แฮะ ลืมไปว่าหัวเหว่ยมีคดีขายของให้อิหร่านอยู่ด้วย การจะแบนไม่ขายของให้เลยก็สมเหตุสมผลอยู่ งั้นข้อนี้ผมเห็นด้วยครับ
ส่วนเรื่องหัวเหว่ยมีเอี่ยวกับรัฐบาลจีนหรือไม่ ส่วนตัวเชื่อว่าเอี่ยวแหงๆ
แต่ถ้าจะพูดเรื่องการตอบโต้ที่เกินเลย ผมก็มองว่ามันก็ผลัดกันหาเรื่องตี คนจะหาเรื่องกันมันก็เกินเลยทั้งนั้นละครับ
อย่างที่บอกว่าถ้าเราจะแกล้งทำไม่รู้เรื่องว่าภาคส่วนตลาดอื่นๆทั้งสองประเทศก็กำลังใส่กันยับ ก็คงต้องบอกว่าเห็นด้วยว่าการอ้างเรื่องความมั่นคงนี่สมเหตุสมผลแล้ว และการเอาแรร์เอิร์ธมาขู่นี่ก็ออกหน้าออกตาเกินไปกับการปกป้องบริษัทเดียว
แต่ถ้ามองภาพรวมของสงครามการค้าตอนนี้ มันก็แค่ต่างฝ่ายต่าง"ขุดหาเรื่อง"ที่จะเอามาเล่นกัน
ยังกะอเมริกาไม่เคยรู้เลยว่าหัวเหว่ยเป็นนอมินีของจีน ปล่อยให้ใช้มาได้อยู่ตั้งนาน
แต่ถ้ามองว่ามันก็คือส่วนนึงของเกม ผมก็ไม่คิดว่าจะต้องหาเหตุผลที่คนสองคนจะตีกันเพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ละนะครับ
ตีหัวเว่ยแล้วจีนดิ้นแรงกว่าครับ
ถ้าสหรัฐจะอ้างปัญหาความมั่นคงก็ต้องตีที่หัวเหว่ยครับ
เลโนโว่เน้น consumer product แต่หัวเหว่ยนี่แทรกไปทั่วตลาดโทรคมโลกแล้ว ซึ่งเมื่อดูจากความมีเอี่ยวของรัฐบาลจีนแล้วก็สมเหตุสมผลมากล่ะที่จะกลัว
ปัญหาคือเล่นใหญ่ไปบังคับชาติอื่นให้ทำตามแล้วพอโดนถามหาหลักฐานกลับตอบไม่ได้ เลยดูเหมือนพาลหาเรื่องไปหน่อย
อ่านแล้วหนุกจัง
Huawei เค้ามีประชาชนและประเทศจีนหนุนอยู่ ประเทศจีนมีการใช้ระบบปฏิบัติการแห่งชาติเป็น linux มาตั้งนานแล้ว ผมคิดว่า Huawai มีทางรอดได้อยู่แล้ว แต่หันมามองเมืองไทย ถ้าทรัมป์บอกว่า ไม่ใช้ให้ Microsoft software คงตายกันทั้งประเทศครับ
(ออกตัวก่อน ว่าอันนี้แซวนะครับ) ไม่ตายหมดครับ ผมว่าผมรอด ผมตัดขาดกับ Microsoft นานละ ตั้งแต่ย้ายมา MacOS
ไม่ตายครับ คุณดูถูกคนไทยเรื่องการปรับตัวมากไป ที่คนไทยยังไม่ทำเพราะไม่จวนตัวครับ ถ้า MS ลอบแพ คนก็จะไปใช้ Linux กับ libreoffice กันเอง เพราะถ้าไม่ทำก็ตายแค่นั้นเอง
ย้ำอีกครั้งคนไทยปรับตัวเก่งครับ แต่เงื่อนไขคือต้องจวนตัวครับ
ผมชอบ เงื่อนไขครับ ต้องจวนตัวจริงๆ ถึงปรับครับ สำหรับประเทศไทย 555
+1 จวนตัว ครับ 55555
ความเก่งของการไหลไปเรื่อยนี่ น่าจะระดับ top ของโลกแล้วล่ะ
เห็นด้วยเรื่องจวนตัว อย่างเช่นเรื่องงานเป็นต้น ไม่จวนเจียน ไม่ทำ อิอิ
อยากบอกว่า US Presidential Election มาปีหน้าครับ 2020
ต้องรีบทำแต้ม ? อย่างรุนแรง แต่ถ้า ... ลงจากตำแหน่งวันใหน ผมว่าอาจจะโดนทุบจนน่วมจากรอบด้าน เพราะ ทำอะไรเจ๋งๆ ไว้เยอะ ?
อยากให้ทำ Poll สำหรับไทยดูครับ "จะซื้อโทรศัพท์ Huawei ต่อไหม แม้ไม่มี app google" และ ใครจะชนะ Trade war นี้
เรื่องแรกนี่หลายคนใน group หัวเว่ยพูดอย่างกะตัวเองเป็นหขาประจำที่ xda
I need healing.
รอซื้ออยู่ครับ ถ้าใครขายมือสองถูกๆ ขอให้มีมาอย่างเดียว
Opensource - Hackintosh - Graphic Design - Scriptkiddie - Xenlism Project
สนุกดี
ไม่ต้องห่วงจีนหรอกครับ ทุกวันนี้ก้าวเร็วเกิน ปัญหาความพร้อมไม่ครบทุกด้านก็ตามมาบ้าง ชะลอนิด ด้วยศักยภาพคนสูงกว่าและจำนวนมากกว่า ใช้เวลาพัฒนาอีกสามปีห้าปี น่าจะเป็นประโยชน์กับจีนในระยะยาวมากกว่า ส่วนหัวเหว่ยก็ชั่งเถอะ IBM Blockbuster RadioShack และอื่นๆอีกมากมายก็เคยยิ่งใหญ่ เป็นcase studyของความสำเร็จเมื่อสิบกว่ายี่สิบกว่าปีก่อน ตอนนี้เป็นcase studyของความล้มเหลวไปแล้ว สิ่งที่เราเห็นคือสุภาพบุรุษจอมปลอมกับจอมโจรขัดแย้งกัน เราที่เป็นแค่โจรกระจอกก็คอยดูคอยลุ้นว่าจะเดือดร้อนรึเปล่า หรือจะเป็นโอกาสให้โจรกระจอกอย่างเราได้ขยับสูงอีกนิดเป็นโจรในคราบข้าราชการบ้าง
หวังว่าสุดท้ายในระยะยาวแล้วจะเคลียร์กันได้
..: เรื่อยไป
การตอบโต้ด้วย ด้วย rare earth ของจีนมันรุนแรงกว่าเยอะ เพราะนั้นคือทุกอุตสาหกรรม ยันอาวุธเลยทีเดียว
รอดูว่าประโยค I've come to bargain จะเป็นฝั่งไหน
อเมริกาก็มี rare earth ครับ เพียงแต่เค้าเก็บไว้ก่อนไม่เอามาใช้ เหมือนกับน้ำมันของเค้า
อเมริกาโดนถลุงหนักจนไม่ไหวต้องโกงด้วยการต่อยใต้เข็มขัดให้คู่ต่อสู้จุกและอ่อนแรงลง
สิ่งที่ อเมริกา ทำ สุดท้ายแล้ว จะเป็นการกระตุ้นให้ บริษัทอื่นๆ เกิดความรู้สึกอยากหาระบบปฏิบัติการทางเลือกที่ 2 ไว้สำรอง ซึ่งไม่น่าจะเป็นผลดีกับ อเมริกา เท่าไหร
เขาก็ทำกันอยู่แล้วนี่ครับ แต่รอดไหมก็เรื่องหนึ่ง
I need healing.
ทำอยู่แล้ว ต่อให้เมกาไม่ทำแบบนี้ เพียงแค่ตอนนี้ยังไม่มีทางไหน "ไปรอด"
อันนี้ก่อนที่ ARM จะร่วมวงด้วยสินะ
เมกาแบน Huawei นี่ถ้าอ้างความมั่นคง กับถ้าหันไปดูพฤติกรรมของ Huawei ก็ถือว่าเข้าใจได้
แต่เคส Hikvision กับ Toyota ละ ?
Toyota? ผมว่าน่าจะเป็น Dahua รึเปล่าครับ
Toyota น่าจะเรื่องได้ดุลสหรัฐมากไปครับ
และไม่ใช่เรื่องใหม่ เมกาเคยกดดันญี่ปุ่นเรื่องได้ดุลมากเกินไปจากเงินเยนอ่อนค่า เลยส่งออกมาสหรัฐมหาศาล จนเกิดเข้อตกลง plaza accord ที่บังคับให้ค่าเงินเยนแข็งค่าขึ้น 70% เมื่อเทียบกับ USD มาแล้วเพื่อให้ดุลการค้าสหรัฐดีขึ้นจนทำให้ญี่ปุ่นจำต้องย้ายฐานการผลิตมาอาเซียน ในปี 1985-1990
ข้อตกลง plaza accord เป็นสิ่งที่เมื่อก่อนผมอ่านทีไรก็ไม่เข้าใจ ว่าเมกาทำยังไงทำไมตอนนั้นญี่ปุ่นถึงยอม จนพอมาเจอยุคนี้เลยพอเข้าใจว่า ถ้าเมกาทุ่มสุดตัวเพื่อต่อรองอีกฝ่ายก็ต้องยอม ตราบใดที่ยังต้องพึ่งพากันอยู่
ใช่ครับมันคือ trade war ล้วนๆ
ผมเลยบอกว่าอย่ามาอ้างความมั่นคงเลย เอาจริงๆ ถ้าไม่ได้มีเรื่องเงินเรื่องเศรษฐกิจมาเกี่ยวข้อง ไม่มีทางมาถึงขนาดนี้หรอกครับ
กับโตโยต้าเขาไม่ได้อ้างความมั่นคงนี่ครับ ผมยกตัวอย่างสมัยปี 80 มาแล้วนะ
คงต้องแยกประเด็นกัน กับเคสจีน เขาไม่ได้ใช้เครื่องมือแบบเดียวกันสักหน่อย ถ้าไม่มีเรื่องอิหร่านมาก่อน ก็คงไม่โดนยึดเป็นเป้าแบบนี้
ถ้าแบนเฉพาะบริษัทที่ทำการค้ากับอิหร่าน ข้ออ้างนี้ก็ฟังขึ้นครับ
คงต้องรอดูว่ายังมีบริษัทจีนอีกกี่แห่งที่จะโดน ด้วยข้อหาอะไร
ถ้ายังโดนกันไปเรื่อยๆแบบไม่มีหลักฐานนี่ เรื่องอิหร่านแทบจะเลิกพูดถึงได้เลยละครับ ไม่มีเรื่องนี้ก็มีเรื่องโน้นอยู่ดี
Trade war ล้วนๆครับ ที่เหลือคือข้ออ้าง
US Style ตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว
มันก็ต้องดูการใช้เครื่องมือไงครับ
ไม่ใช่ว่าใช้มั่วๆ โดยอ้าง trade war แล้วคนอื่นจะยอมฟังง่ายๆ
กรณีมือถือ นี่มันต่อเนื่องจากกรณีอิหร่าน ซึ่งมันก็"ฟังขึ้น"สำหรับพันธมิตร ถึงจะบอกว่า มี hidden agenda คือ trade war แต่ บ.มือถือก็มีชนักปักหลังเรื่องอิหร่านมาก่อนจริงๆ
ส่วนโตโยต้าไม่ได้มีชนักปักหลังเรื่องนี้ จะเอามารวมมั่วๆแล้วบอกว่า โตโยต้าเกี่ยวกับความมั่นคงตรงไหน แบบเวบคลิกเบทบางเวบคงไม่ได้ มันเป็นเรื่องเศรษฐกิจล้วนๆ ผมก็พยายามยกตัวอย่างที่เคยเกิดขึ้นจริงมาแล้ว ว่าเขาไม่ได้อ้างความมั่นคง แต่เขาก็มีเครื่องมืออื่นๆกดดัน จนตอนนั้นญี่ปุ่นก็ยอมเช่นกัน โดยไม่ต้องมาปลุกชาตินิยมจากประเทศอื่นๆด้วย
Point ของมันคือ trade war ไงครับ เหมือนที่ผมบอกตั้งแต่แรก
ที่เหลือมันคือข้ออ้างล้วนๆ อยู่ที่ว่าจะยกเรื่องอะไรมา
คุณขายดีกว่าเรา เราเลยแบนคุณ แค่นั้นละครับ
คอมเมนต์นี้ ตั้งอยู่บนพื้นฐานของอคติล้วน ๆ เลยนะครับ
อคติยังไงครับ โปรดอธิบาย
คุณหลงประเด็นที่คุณเขียนเองแต่แรก
คุณเขียนว่า แบน huawei โดยอ้างความมั่นคงมันฟังขึ้น (อันนี้เห็นด้วย)
แต่จะแบนtoyota,hikvision ด้วยเรื่องความมั่นคง มันฟังไม่ขึ้น
ซึ่งผมก็แย้งคุณว่า เขาไม่ได้จะแบน Toyota ด้วยเรื่องความมั่นคงสักหน่อย ข่าวก็ออกมาแล้วว่า เขามองว่าสหรัฐเสียดุลการค้าให้กับสินค้าบางชนิดมากเกินไป เลยมองมาตรการทางภาษีเพื่อป้องกันธุรกิจในประเทศ
มันเป็น Trade war แต่เขาไม่ได้อ้างความมั่นคงเพื่อว่า Toyota ไงครับ ผมยกตัวอย่างเคสเก่าๆที่เคยเกิดมาแล้ว คุณก็ยังบอก พอเป็น Trade war ไม่ต้องสนใจอะไรทั้งนั้น(ทั้งๆที่ทรัมพ์ก็ไม่ได้ว่า Toyota เรื่องความมั่นคงนี่นา?) ก็ไม่รู้จะคุยอะไรไปทำไมแล้วล่ะนะ
เดี๋ยวนะครับ ผมบอกตรงไหนว่าแบน Toyota เพราะความมั่นคง ?
ผมงง หรือคุณงงครับเนี่ย
ผมบอกแต่แรกเลยนะว่ามันคือ trade war ...
เคส Huawei อ้างความมั่นคง ฟังขึ้น แต่ก็ไม่เคยมีหลักฐาน กลับกันประเทศอื่นกลับมาบอกว่า Huawei ไม่มีปัญหา
แต่เข้าใจได้ถ้าจะกลับ HW ของประเทศคู่แข่ง ถูกนำมาใช้ใน Backbone ของบ้านตัวเอง
อ้างอิงจากใน https://www.blognone.com/node/109862#cid-1111217 ที่คุณตอบคคห.ผม ใน https://www.blognone.com/node/109862#cid-1111205
ไงครับ คุณบอกว่า hw เป็นเรื่องความมั่นคงนั้นฟังขึ้น ส่วน Toyota กับ dahua เป็นเรื่องอะไร?
ผมก็ตอบว่า เคส Toyota ไม่เกี่ยวกับความมั่นคงอยู่แล้ว แต่เป็นเรื่องการได้ดุลการค้าสหรัฐมากเกินไป แบบเคสในปี 1985 โดยใช้เครื่องมือทางเศรษฐกิจอื่นๆเพื่อกดดันญี่ปุ่น เพื่อให้สหรัฐเสียเปรียบน้อยลง
แต่คุณก็มาตอบใน cid-1111217 ว่า
"
ใช่ครับมันคือ trade war ล้วนๆ
ผมเลยบอกว่าอย่ามาอ้างความมั่นคงเลย เอาจริงๆ ถ้าไม่ได้มีเรื่องเงินเรื่องเศรษฐกิจมาเกี่ยวข้อง ไม่มีทางมาถึงขนาดนี้หรอกครับ
"
ผมก็งงไงครับ ว่าเราพูดถึงToyotaโดยเทียบเคียงกับเคสเก่าๆ และก็ไม่ได้อ้างเรื่องความมั่นคงเลย ไม่ว่าผม หรือทรัมป์ ก็ไม่ได้พูดถึงความมั่นคงในเรื่องนี้นะ? แต่คุณกลับมาบอกว่า อย่ามาอ้างความมั่นคง? (ใครอ้าง?)
คุณหลุด point ในเรื่อง Toyota ไปแต่แรกมากกว่า (ส่วน dahua ผมยังไม่พูดถึง เพราะเขาไปอ้างเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนมากกว่า)
ที่ผมจะสื่อคือทั้งสามเคส ไม่เกี่ยวกับเรื่องความมั่นคงเลย
คุณขายดีกว่าเรา เราก็เลยจัดการคุณ "ความหมายมีแค่นั้น"
เอาจริงๆมันไม่ใช่ว่าขายดีกว่า เพราะเมกาไม่มีแบรนด์มือถือไปสู้ด้วยซ้ำ (apple นี่คนละtarget group เลย ถ้าไม่งั้นเดือดร้อน samsung มากกว่าสิ)
ทำไมเขาไม่จัดการxiaomi,lenovo,moto ? เพราะค่ายอื่นไม่มีปัญหาเรื่อง อิหร่านหรือการขโมยเทคโนโลยีปักหลังไง
หรืออย่าง Toyota เขาขึ้นภาษีแล้วจะทำให้ ford,gm ขายในประเทศดีขึ้นหรือ? ก็ไม่ แต่เป็นการบีบบังคับให้ toyota ย้ายฐานการผลิตมาในประเทศมากขึ้น สร้างงานสร้างรายได้อีกตะหาก เคสแบบนี้ไทยเราก็ทำประจำ ขึ้นภาษีนำเข้าบางอย่างเพื่อปกป้องการผลิตในประเทศ ผมงงที่มีคนไปด่าเมกาเรื่องนี้สุดๆ
คือถ้าคุณตัดสินจากเหตุผลหยาบสุดโดยไม่มองเชิงละเอียดเลย มันก็ไม่มีอะไรให้คุยกันแล้วล่ะครับ
ตอบแบบนี้มันก็กลับมาถามเหมือนเดิมว่า "มีหลักฐานอะไรหรือเปล่า ว่า HW ทำแบบนั้นจริง ?"
HW มันเกือบๆจะเป็นรัฐวิสาหกิจของจีนอยู่แล้ว เจ้าอื่นๆที่คุณยกมา มันบริษัทเอกชนทั้งนั้นครับ
เคส HW คือจะเปิดสงครามการค้ากับจีน จะไปแบนตัวเล็กตัวน้อยทำไม เล่นตัวใหญ่สุดนี่แหละ ถูกต้องแล้ว ถ้าจะเปิดสงคราม ถูกไหมครับ ?
เรื่อง Toyota เหตุผลที่พูดมา ฟังขึ้นครับ ทำไมไม่บอกแบบนี้ตั้งแต่แรก จะจิกกัด เพื่อ ?
ถ้าตอบสั้น ๆ มันเป็นเรื่องของความมั่งคงครับ
ตอนนี้สถานภาพของจีนและอเมริกานั้นเป็นแบบผัวเมียที่ไม่ได้รักกันแล้ว แต่มีลูก! จะมาหวานชื่นแบบสมัยก่อนก็คงจะไม่มีอีกแล้ว แต่จะเลิกแยกทางกันไปเลยก็ไม่ได้ เพราะต่างฝ่ายต่างพึ่งพาการค้าอะไรกันเยอะมาก ดังนั้นหลังจากนี้ก็จะเป็นแบบขึ้น ๆ ลง ๆ อย่างนี้แหละครับ เดี๋ยวก็จะดีกันเดี๋ยวก็จะร้ายกันไปเรื่อย ๆ