หลังจากที่ช่วงเช้ามีรายงานว่าสหรัฐอเมริกา จะออกใบอนุญาตชั่วคราวให้ Huawei เพื่อทำธุรกิจกับบริษัทในสหรัฐฯ ได้ต่อไปอีก 90 วัน ล่าสุดซีอีโอ Huawei ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับประเด็นนี้แล้ว
Ren Zhengfei ซีอีโอของ Huawei ระบุว่าการต่ออายุ 90 วันของสหรัฐฯ นั้น "แทบจะไม่มีความหมายอะไรเลย" และ Huawei ก็ได้เตรียมพร้อมสำหรับเรื่องนี้อย่างเต็มที่แล้ว
นอกจากนี้ Ren ยังเสริมว่าเทคโนโลยี 5G ของ Huawei จะไม่ได้รับผลกระทบจากการประกาศแบนจากสหรัฐฯ และบอกว่าจะไม่มีบริษัทใดตาม Huawei ทันในด้านเทคโนโลยี 5G ไปอย่างน้อย 2-3 ปี
สุดท้าย Ren ยังบอกอีกว่านักการเมืองสหรัฐฯ นั้นประเมินความสามารถของ Huawei ต่ำไป
ประเด็น Huawei กำลังร้อนแรง หลังเมื่อวานกูเกิลได้หยุดทำธุรกิจกับ Huawei รวมถึงผู้ผลิตฮาร์ดแวร์อื่นๆ ก็มีท่าทีเช่นเดียวกัน ผู้อ่านสามารถย้อนอ่านข่าวเก่าได้ในหมวด Huawei นอกจากนี้ Blognone ยังมีบทความสรุปสถานการณ์และผลกระทบเบื้องต้นให้ด้วย
ที่มา - CGTN
Comments
5g หัวเหว่ยมันดียังไงหรอครับ ทำไมถึงไม่มีใครตามทัน
blog
อุปกรณ์ infrastructure ของ Huawei ราคาถูกกว่าเจ้าอื่นมาแต่ไหนแต่ไรครับ
ส่วน 5G ก็คือทำได้ก่อนเจ้าอื่นเลยชิงตลาดไปได้เยอะ
มันมีเรื่องมาตราฐาน 5G ด้วยครับ
ขาใหญ่ พยายามจะแบนการมีส่วนร่วมในการออกมาตราฐาน ต่างๆ
แต่หัวเหว่ย นี้ พยายามจะเข้าไปมีส่วนร่วมตรงนั้นแล้วยัง ได้ออกอุปกรณ์ที่มีมาตราฐานในแบบของตัวเองจะได้เปรียบ
ถ้าหัวเหว่ยทำสำเร็จ ขาใหญ่ที่เป็นเจ้าของ มาตราฐานก็จะเป๋...พอเซแล้วจะเซยาวเลย
ตีกัน ตีกัน
บล็อกส่วนตัวที่อัพเดตตามอารมณ์และความขยัน :P
ผมกลับมองว่าครั้งนี้สหรัฐได้ทำลายความน่าเชื่อถือ ความไว้วางใจ Huawei ต่อผู้บริโภคทางจิตวิทยาโดยตรงเลยครับ
แน่นอนว่าอาจจะเป็นความเสียหายระยะ สั้น - กลาง เลยก็ได้นะ
เว้นแต่เสียว่า Ecosystem ของ Huawei เค้าดีจริงใช้ระยะเวลาไม่นานในการครองตลาด
และมี Feature นำเทรนด์ฉีกกว่าทุกค่าย ถึงจะยืนอยู่ในใจผู้บริโภคอย่างเหนียวแน่นครับ
// เพราะไม่มีใครรู้อนาคตว่า Psychological warfare , Trade war จะมาในรูปแบบไหน
แต่ถ้าหากไม่ได้เป็นไปตามที่คาดการ์ณนี้ Huawei อาจจะต้องหล่นลงมาเยอะเลย
ขออภัยครับ ถ้าหากวิเคราะห์ผิดพลาดไป
ส่วนตัวตอนนี้รู้สึกใจหายมากกว่าที่มองไปรอบตัวก็เห็นเทคโนโลยีหรือบริการที่มาจากสหรัฐฯ ล้วน ๆ ถ้าเราโดนแบนแบบนี้ เราคงดูไม่จืดเลยครับ ส่วนตัวก็ผูกติดกับบริการของ Google อยู่พอสมควร
ผมว่าสหรัฐต่างหาก ลดความน่าเชื่อถือของตัวเอง เอาเทคโนโลยีมาต่อรองแบบนี้ใครจะมั่นใจอะไรได้อีก
ผมมองว่าเสียความน่าเชื่อถือลงทุกฝ่ายเลย สหรัฐเสียมานานแล้ว, Google เสียความน่าเชื่อถือต่อคู่ค้า, หัวเว่ยเสียความน่าเชื่อถือกับลูกค้า
ค่อนข้างเห็นด้วยเลยครับ จากเดิมที่ทุกคนเลือกใช้บริการจากอเมริกาเพราะคุณภาพที่เหนือกว่า กลายเป็นว่าต้องจำยอมใช้ของคุณภาพด้อยกว่าจากที่อื่นมาเสริมด้วยเพราะไม่รู้จะโดนเอามาเป็นตัวประกันแบบนี้กับตัวเมื่อไหร่
จะกลายเป็นเปิดตลาดให้คนอื่นไปรึเปล่าละรอบนี้
ก็ได้แค่ระยะสั้นแค่นั้นแหล่ะครับ ระยะยาวต้องดูกันปลายปี ว่าใครจะกระเด็นก่อน ระหว่างทรัมป์ กับหัวเหว่ย ถ้าทรัมป์กระเด็น หัวเหว่ยก็รอด ถ้าทรัมป์กลับเข้ามา ช่วงเวลาก่อนถึงตรงนั้นหัวเหว่ยก็เตรียมอะไรหลายๆ อย่างเพื่อลดผลกระทบได้เยอะ ผมว่าทางจีนวางแผนได้รัดกุมกว่านะ
ผมว่าหัวเหว่ยเสียน้อยสุดในสถานการณ์นี้นะครับ
จีนเป็นคู่ค้ารายใหญ่มากของโลกเลย การที่ Cloud Provider/Infrastructure+System Provider รายใหญ่ออกมาบอกว่าไม่สนับสนุนโปรดักส์ของประเทศหนึ่งๆ
ถ้าเป็นพันธมิตรธุรกิจที่กำลังติดต่อดีลกับฝั่งอเมริกา (และมองหาช่องทางการเติบโตในจีนอยู่) มันต้องมีชะงักกันบ้าง อย่างน้อยก็คือ
เอาว่าถ้าจะลงทุน Infra (Cloud) บนบริษัทที่อยู่กับกลุ่มเมกัน แล้วบริษัทของฉัน ในอนาคตจะมีปัญหากับการทำงานกับจีนหรือเปล่า หรือฉันจะไปอยู่ในประเทศที่ถูกห้ามใช้หรือเปล่า
ความแข็งแกร่งของ Cloud ที่ว่า "Anywhere" ก็จะพังลงไปเยอะด้วย ... เกิดสมมติบริษัทย้ายทุกอย่างขึ้น Cloud บน Google/บนอเมซอน ... แล้วอยู่ๆเกิด Trade War ถูกห้ามทำการค้า (หรือเกิดความไม่ไว้ใจว่าวันนี้ทรัมป์จะคว่ำบาตรชาติไหนต่อ) ... บริษัทตัวเองจะล่มสลายเอาเลยไหม หรือยังไงดี
ดังนั้นตัว Google เอง รวมถึงอเมริกาเอง และความน่าเชื่อถือของ Cloud Service มันลดลงอย่างมากทั้งระบบด้วยซ้ำ
----- ทำธุรกิจ เลือกได้ไม่มีใครอยากเลือกข้าง ถ้าต้องเลือกข้างก็อยากเลือก Winning Side กันทั้งนั้น ... คำถามคือมั่นใจได้อย่างไรว่าฝั่งอเมริกากำลังเป็นฝั่งชนะ ?
อเมริกาต่างหากที่เสียความน่าเชื่อถือครับ พี่จีนเค้าค่อนข้างปิดมานานแล้วเจอแบบนี้ก็ไม่ได้อะไรเท่าไหร่ ตรงกันข้าม ทุกวันนี้คนใช้ service ฝั่งอเมริกาเพราะเชื่อว่าจะเป็นอิสระต่อปัจจัยอย่างการเมือง พอมีการเมืองมาเอี่ยวเต็ม ๆ แบบนี้ ต่อไปหากจะใช้อะไรก็ต้องคิดเยอะขึ้น
+1 ตอนนี้เชื่อมั่นใครไม่ได้ละ
+1 แต่จะให้ไปมั่นใจจีนนี่ก็ไม่ไหวนะครับ
I need healing.
อยากให้นี่เป็นจุดเปลี่ยนของ IT โลกเลย อยากให้มีอีกสักขั้วเพื่อมาถ่วงดุลอำนาจ US
+1 ครับ ไม่ชอบการผูกขาด
+2
ผมนึกถึงเรื่องที่รัสเซีย ซ้อมชัตดาวน์อินเตอร์เน็ตในประเทศเลย มันดูมีเหตุผลอย่างมากในวันนี้
ความน่าเชื่อถือของ software จีน กับ อเมริกา
ต่างกันมากเกินไป ถึงจะบอกว่าพร้อมแล้ว
แต่ยังไงก็ไม่ได้ราบรื่นแน่ ๆ สำหรับหัวเหว่ย
แต่ก็อยากให้มีขั้วที่ 3 นะ
เลิกสอดไส้อะไรมา ก็น่าจะทำให้น่าเชื่อถือขึ้นมาก ?
ตอนนี้มี 2 สิ่งเลยที่ต้องทำให้ได้สำหรับ Huawei
1. Ecosystem
2. ความน่าเชื่อถือ(ไม่ใช่แค่ Huawei แต่อะไรก็ตามที่มาจากจีน)
ผมว่าของจีนค่อนข้างน่าเชื่อถือ ยกเว้น Huawei
ผมแนะนำมือถือจืน สินค้าจีนให้เพื่อนใช้ทุกรอบ แต่ไม่เคยแนะนำ Huawei
ประเด็นไม่ใช่เรื่อง Hardware ผมว่าเป็นเรื่อง Software มากกว่านะ
ประเด็นมันอยู่ที่บริการและ software ครับ ผลงานอันลือลั่นในอดีตทำไมลืมกันได้
I need healing.
ผมยังเข็ดพวก baidu, hao123 อยู่เลย ตอนนั้นสำหรับคนมีความรู้คอมไม่มาก ได้แต่ลงวินโดวส์ใหม่ (ลงเอง) ใช้แอนดรอยด์ก็เห็นแอปแปลกๆ เยอะ ดีที่ไม่ค่อยลงอะไรมากนัก
ตัวระบบอาจจะเตรียมเสร็จแล้วจริง แต่ความเชื่อมั่นในระบบเนี่ย ไม่ใช่ว่าจะได้มาง่ายๆนะครับ ถ้ายังไม่ลืมกัน Windows Phone พยายามกันมาขนาดไหน สุดท้ายยังไม่รอด
Software น่าจะเป็น AOSP + opengapps นั้นแหละครับ ...
ไม่น่าจะทำเองใหม่หมดหรอก
samsung ใหญ่แค่ใหน ?
https://youtu.be/6Afpey7Eldo
Huawei os
กับ windows phone os
ผมยอมใช้ windows phone os
เท่าที่มองๆว่าเดิมทีแล้ว 4G คือผู้คิดค้นร่วมกันไม่ใช่มากจากผู้ผลิตโทรศัทพ์แล้วก็เหมือนแบ่งเค้กให้ผู้ผลิตต่างๆได้ทำกำไรกอบโกยทั่วโลกแต่มาคราวนี้ 5G เกิดจากผู้ผลิตโทรศัทพ์มันเหมือนได้ผลประโยชน์ทุกทางและเหมือนว่าเทคโนโลยีที่ว่านั้นจะมาแย่งผลประโยชน์ต่างๆทั่วโลกได้อย่างรวดเร็ว
ปล.ท่าพรุ่งนี้มีโทรศัทพ์ 5G ออกมาว่างขาย 4G ในมือจะดูเก่าทันที
สปีดดี แต่ทำไม latency เยอะ
Pitawat's Blog :: บล็อกผมเองครับ
น่าจะยังเป็นแค่ช่วงแรกๆมั้งครับ แต่พอระบบเริ่มเข้าที่มากขึ้นน่าจะลด Latency ได้เยอะ
แค่มนุษย์คนนึงที่อยากรู้เกี่ยวกับวงการไอที
คนนี้พูดถูกแล้ว เพราะสหรัฐทำตัวร้อนไป ดังนั้นการกำหนด90วัน จึงเป็นการแสดงว่า สหรัฐยอมแพ้