ในยุคที่รถยนต์ไฟฟ้ากำลังเข้ามามีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆ คนบางส่วนก็เริ่มเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้าแล้ว แต่ก็ยังมีอีกมากที่ยังไม่พร้อมเปลี่ยน
เว็บไซต์ Autolist ได้ทำการสำรวจผู้ที่สนใจซื้อรถจำนวน 1,567 ราย ในเดือนสิงหาคม พบว่า 3 เหตุผลแรกที่คนเหล่านี้ยังไม่ตัดสินใจใช้รถยนต์ไฟฟ้าคือเรื่องระยะทางที่วิ่งได้, รถมีราคาสูงเกินไป และไม่มีสถานีชาร์จในบริเวณที่อาศัยอยู่
นอกจากนี้ในการสำรวจยังมีคำถามที่น่าสนใจอื่นๆ อีก เช่นถามว่าหากมีรถยนต์ไฟฟ้าแล้วจะใช้งานอย่างไร โดยผู้ตอบแบบสอบถาม 55% ระบุว่าพร้อมใช้รถยนต์ไฟฟ้าเป็นคันหลักของบ้าน และ 24% ระบุว่าจะใช้เป็นคันรอง
เหตุผลอื่นที่คนยังไม่เปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้าก็เช่น ระยะเวลาที่ใช้ในการชาร์จ, ยังไม่มีความรู้เกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้ามากพอ, กังวลเรื่องวัสดุที่นำมาใช้ทำแบตเตอรี่ ฯลฯ
ที่มา - Autolist
Comments
ที่ไทยผมว่าติดที่ราคานะ ลองToyotaทำรถAltisไฟฟ้าวิ่งได้300โลต่อการชาร์ต1ครั้งราคาเท่าAltisตัวท็อป
Camryไฟฟ้าราคาเท่าCamryตัวท็อป ผมว่ามันก็จะขายดีนะชาร์ตที่บ้านกะที่ทำงานได้
แต่ทุกวันนี้เข้าใจว่าเทคโนโลยีมันยังทำให้แบตถูกและเล็กลงกว่านี้และผลิตเยอะๆยังไม่ได้ คงได้แต่รอก่อน
พี่โตคงไม่ทำ ทำแต่ Hybrid lol
ถ้าเป็นแค่รถไฟฟ้า eco car ก็ยังพอมีคนซื้อเยอะอยู่นะ แต่เห็นชอบไปจับกับรถไฮเอนด์ ถ้าคอนโดหลายๆที่ติดตั้งสถานีชาร์จ รถก็น่าจะขายดีอยู๋
ผมว่าเมืองไทยที่ต้องระวังอีกอย่างนึงคือ เรื่องน้ำ และการรั่วซึ่มของน้ำตามซีลต่างๆ โดยเฉพาะรอต่อที่เข้าถึงแบ็ตเตอรรี่ได้ เมื่อวานไปเห็นคลิปนึง รถมอเตอร์ไซต์ไฟฟ้าจากจีนไฟไหม้ จนเกือบไหม้บ้าน ก็สงสัยว่าทำไมมันถึงไหม้ได้ เพราะจอดอยู่เฉยๆ ในโรงรถ พอย้อนไปดูคลิปอื่นในช่อง เจ้าของเขาเอาเล่นสงการณ์ แล้วพอกลับมาบ้านเอารถมาจอดในบ้าน ตกกลางคืนไฟไหม้เลย เป็น Youtuber ค่อนข้างมีชื่อเสียงด้วย เห็นแล้วทำให้รู้สึกว่ารถไฟฟ้าในเมืองไทย คงต้องรอผลการทดสอบใช้งานจริงสัก 1-2 ฝนก่อน ดีกว่า
ฝนตกมันยัยมาจากข้างบนหรือด้านข้าง แต่สงกรานต์นี่บางคนเอาสายยางฉีดให้มันพยายามเข้าไปโดนใต้ท้องรถก็มี เพลียไหม
ผมนี่อยากให้ยกเลิกการเล่นน้ำเทศกาลสงกรานต์เลย ดูแล้วไม่เห็นมีประโยชน์อะไรเลย นอกจากเปียกน้ำ แต่ก็ให้หยุดปกตินะ
ไม่ต้องรอ มีคนใช้งานตอนน้ำท่วมแล้วไม่มีปัญหา
https://www.youtube.com/watch?v=MWCZY4B2wkc&t=33s
ผมว่าเทคโนโลยีแบตยังพัฒนาได้อีกเรื่อยๆ ผมรอ
หวังว่าเรตนี้คงจะดีขึ้นเรื่อยๆจนเป็นกระแสหลักในที่สุด
ผมแอบสนใจ ZS EV แต่ตัดใจเพราะเท่าที่ตรวจสอบสถานนีชาร์ต ผมว่าเราขาดสถานนีชาร์ตเร็วครับ มีแต่ชาร์ตธรรมกา
Hybrid ก่อน จากนั้น Hydrogen ยาว..
อยากให้ลดสมรรถนะลงแต่เพิ่มประสิทธิภาพขึ้น ไม่ต้องวิ่งเร็วเป็นซุปเปอร์คาร์ แต่วิ่งได้นานๆประหยัดไฟ ถ้าทำได้อีกสักเท่านึง จาก 300โล เป็น 600โล ราคาเท่า eco car ไม่เกิน 5แสน ผมว่าเกิดทันที
รุ่นทั่วๆ ไป สมรรถนะมันก็ไม่ได้สูงนะครับ Nissan leaf นี่ตาม spec top speed 144 km/hr เอง แต่อัตราเร่ง/แรงบิดมันสูงเพราะเป็นคุณสมบัติของ motor ไฟฟ้าอยู่แล้ว รุ่นเริ่มต้นของแต่ละค่าย สมรรถนะนี่ไม่ได้สูงเลย แค่พอใช้ในสถานะการทั่วๆ ไป ไม่ได้แบบ super car เลยครับ
อคติทำให้คนรับเหตุผลด้านเดียว
มันเป็นหลักเศรษฐศาสตร์ สินค้ารุ่นแรกๆ มันขายไ้ด้น้อย เนื่องจากคนยังไม่เชื่อมั่น หรือไม่เคยชิน คนซื้อก็จะเป็นเฉพาะกลุ่ม แล้วคนที่พร้อมจะเสี่ยงกับสินค้าพวกนี้คือ คนรวย ที่อายุน้อย ชอบเทคโนโลยี ซึ่งส่วนใหญ่จะชื่นชอบความเร็ว ถ้าใช้ตามหลักนี้ ก็ต้องทำรถให้วิ่งได้เร็ว ในราคาสูง เพื่อให้ขายได้มีทุนเพียงพอสำหรับพัฒนารุ่นถัดไปสำหรับใช้งานทั่วไปด้วย หลักนี้ใช้กับสินค้าเทคโลยีที่กำลังอยู่ในช่วงการพัฒนากันเป็นส่วนใหญ่
เรื่องหลักคือ จำนวนสถานี ชาร์จ กับ เวลาการชาร์จ
อ่านข่าวแว๊บๆว่า Tesla จอดทิ้งไว้ประมาณ 75 วัน ระยะทางวิ่งหายไปประมาณ 100 ไมล์
ผมว่าก็ไม่น้อยนะ แต่เจ้าตัวก็มีการ Remote เข้ามาเช็คสถานะเป็นระยะๆ
แต่ถ้าเราใช้ไฟจาก Solar Cell หรือพลังงานหมุนเวียน 100% ผมว่าก็ Ok นะ
ยังไม่เจอที่โดน ๆ เลยครับ รอลุ้น BMW กับ Mercedes ทำรุ่นที่วิ่งไกล ๆ ออกมา สำหรับผม ระยะทางน่าจะสำคัญสุด ตอนนี้ได้แต่เอาเงินไปหมุนอย่างอื่นรอ
ไปไกลไม่ได้ครับ อาจจะถึงแต่ต้องวนหาที่ชาร์ทเพื่อกลับอีกก็ไม่ไหวอ่ะครับ
ยังไงคนก็ยังไม่ใช้จนกว่ามันจะมีข้อดีที่ชัดเจนแหละครับ แค่ลดมลพิษไม่น่าจะดึงดูดใจได้มากพอจะให้คนมาลอง
ถ้าราคาเท่ารถยนต์ปกติ ผมว่าเกิดได้ไม่ยากเลย ข้อด้อยอื่นๆจะถูกลดความสำคัญลงมาทันที โดยเฉพาะกับคนในเมือง
ผมยังคิดไม่ออกว่าข้อดีข้อไหนที่จะทำให้รถไฟฟ้าชนะรถเครื่องยนต์ปกติได้ในราคาที่เท่ากัน แค่การเติมเชื้อเพลิงลำบากก็แทบจะทำให้คนไม่อยากซื้อแล้ว
เติมเชื้อเพลิงลำบาก?
ถ้าใช้งานแบบผมนี่สบายเสียด้วยซ้ำครับ เช้ามาขับออก เย็นมาจอด แทบไม่ต้องแวะปั๊มน้ำมันอีกเลย
จอดรถติดนานแค่ไหนก็ไม่ได้เผาน้ำมันทิ้ง ประหยัดไปได้อีกนิดนึง (แม้ว่าจะเปลืองกับแอร์เหมือนเดิม) ง่วงๆ ก็จอดรถเปิดแอร์นอนได้เลย ไปแวะจอดซื้อของไม่นานก็เปิดแอร์ทิ้งให้คนรอบนรถได้ เสียงเงียบกว่า แรงสั่นสะเทือนน้อยกว่า ดูแลรักษาน้อยกว่ามาก ฯลฯ
ผมยังนึกข้อดีของรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปนอกเหนือจากมันเติมน้ำมันได้เร็วไม่ออกเลยครับ
คนเมืองที่ชาร์จที่บ้านได้ สะดวกกว่าครับ ไม่ต้องเข้าปั๊ม กลับถึงบ้านก็ชาร์จ ตอนเช้าก็ออกไปทำงาน
อคติทำให้คนรับเหตุผลด้านเดียว
ผมว่าเติมเชื้อเพลิงง่ายกว่านะ ลากสายจากบ้านใหนก็ได้ ไม่ต้องวิ่งหาปั๊ม เผลอๆในอนาคตอาจมีจุดเติมทุก 7-11 หรือมีแผง solar จอดแช่เฉยๆก็ทำให้วิ่งได้นิดหน่อยออกหาบ้านคนก็ได้
จากข่าวนี้ตากแดด 6 ชั่วโมงวิ่งได้ 3 กม. นะครับ ?
วิ่งได้นิดหน่อยก็ยังดีกว่าไปใหนไม่ได้เลย แต่เคสแบบนี้ต้องไร้หนทางสุดๆ ไม่งั้นถ้าโทรศัพท์ได้ก็ขอความช่วยเหลือดีกว่า
เท่าที่บอกตรงนี้มันเรื่องอนาคตทั้งนั้นนี่ครับ ตอนนี้ยังไม่มีจุดเติมเชื้อเพลิงเยอะขนาดนั้น ผมไม่แน่ใจว่าหากเป็นบ้านแล้วต้องเสียค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ในการทำปลั๊กสำหรับชาร์จไฟ ไหนจะคอนโดอีก รวมถึงค่าไฟที่จะเกิดจากการเติมด้วย ซึ่งบ้านเราคิดอัตราก้าวหน้า หากเติมทุกวันค่าไฟมันจะแพงกว่าค่าน้ำมันรึเปล่าครับ
จริงๆมันชาร์จจากปลั๊กไฟปกติก็ได้ครับแต่ใช้เวลานาน(10ชม+)แต่มันคือชาร์จจาก 0 ถ้าใช้ภายในเมือง 2 วันชาร์จทีก็ได้หลังจากกลับมาบ้าน ส่วนค่าไฟผมเจออันนี้ https://insideevs.com/news/355326/tesla-charging-cost-different-countries/ แล้วถ้านับเรื่องค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้ในการบำรุงรักษาเครื่องยนต์ก็ยิงทำให้ถูกไปอีกครับ
ผมลืมไปเองแหละครับว่าบทความนี้มันของประเทศอื่น เรื่องค่าไฟเรื่องจุดชาร์จไม่น่ามีปัญหา ดันไปคิดว่าเป็นประเทศไทย - -"
ค่าไฟบ้านเราก็มีคนสรุปออกมาแล้ว รถน้ำมันนี้โลนึงตก 2-3 บาท รถไฟฟ้านี่ตก 0.5-1 บาท โดยประมาณขึ้นกับค่าไฟ แล้วปลั๊กก็เสียบปลั๊กปกติได้แต่ชาร์จช้า ใช้ในเมืองไม่มีปัญหาชาร์จข้ามคืนไป อยากทำปลั๊กที่ชาร์จเร็วขึ้นมาหน่อย (แต่ยังไม่ quick charge ติดที่บ้านไม่น่าไหว) อย่างของ MG ก็ราคา 45,000 + ค่าติดตั้ง 20,000
มันไม่ได้เหมาะกับทุกคน แต่มีคนที่ใช้แล้วดีกว่าแน่นอน ถ้าราคาเท่ากันผมก็ใช้
ผมเห็นเหมือนคุณ hisoft นอกจากเรื่องเติมเชื้อเพลิงสะดวกแล้ว รถไฟฟ้าผมว่าเหนือกว่าหมดเลยนะครับ ถ้าราคาเท่ากัน คนไม่มีปัญหาเรื่องชาร์จไฟ รถไฟฟ้าก็ดูดีกว่าอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ติดที่ราคา ส่วนคนอยู่คอนโดหรือต้องเดินทางไกล ตอนนี้ยังไม่เหมาะแน่นอน
อคติทำให้คนรับเหตุผลด้านเดียว
อยู่คอนโดที่จอดรถยังไม่ค่อยมีเลยครับ จะให้ทำสถานีชาร์ตที่คอนโดคงยาก
อยากให้พัฒนาแบตให้มีขนาดเล็กเบาแต่เก็บประจุได้มากๆ
และสามารถถอดแบตออกมาได้ แล้วเวลากลับคอนโดก็แค่ถอดแบตออกหิ้วแบตขึ้นไปชาร์ตที่ห้อง
ตอนเช้าก็เอามาเสียบใช้งานครับ ไม่งั้นคนที่อยู่คอนโดคงหมดสิทธิ์แน่ๆ
ดูความต้องการและข้อจำกัดแล้วสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าน่าจะเหมาะกว่าครับ
สำหรับผมนะ
- อายุแบตเตอรี่ > น้ำมัน/แก๊ส: แหล่งเก็บพลังงานเครื่องยนต์ ก็คือถังน้ำมัน+น้ำมัน/ถังแก๊ส+แก๊ส ซึ่งปกติแล้ว ใช้น้ำมันใกล้หมด ก็เข้าปั๊มเติมเพิ่ม ถ้าเปรียบกับแบตเตอรี่ มันก็เหมือนกับการเปลี่ยนแบตเตอรี่ก้อนใหม่ ทำให้ไม่ต้องนำอายุของพลังงานมาคิดเลย / แบตเตอรี่: แหล่งเก็บพลังงานก็คือตัวแบตเตอรี่ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าใช้แบตเตอรี่ชนิดไหน? เป็นตัวเก็บพลังงาน ถ้าเป็นแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน ผมว่าอายุแบตเตอรี่คงไม่ต่างกับแบตเตอรี่โทรศัพท์หรือแบตเตอรี่ลิเธียมที่เป็นก้อน แล้วยิ่งถ้าแบตเตอรี่ต้องมีการเก็บไฟมาตั้งแต่โรงงาน มันก็จะนับอายุตั้งแต่เริ่มออกจากโรงงานผลิตเลย ซึ่งก็อาจจะอยู่ที่ 2-3 ปี เมื่อเสื่อมสภาพ ก็ต้องไปหาซื้อแบตเตอรี่มาเปลี่ยน ..แล้วตัวแบตเตอรี่ที่ใช้ในรถยนต์ มันจะมีราคาขายก้อนละเท่าไหร่กันล่ะ? ขนาด iPhone ยังล่อไปเกือบครึ่งหมื่น รถยนต์ไม่ล่อไปหลายหมื่นหรือ?
- เวลาในการเติมพลังงาน > น้ำมัน/แก๊ส: แค่วิ่งเข้าปั๊ม เติมน้ำมัน/แก๊สเสร็จ วิ่งต่อได้ทันที / แบตเตอรี่: ต้องการจุดชาร์จ และต้องใช้เวลาชาร์จ ขั้นต่ำก็ประมาณ 10-60 นาที แล้วแต่คุณภาพการชาร์จและหัวจ่ายไฟ ถ้าต้องวิ่งรถทำเวลา เวลาในการชาร์จถือว่ามีผลอย่างมาก
- จุดเติมพลังงาน > น้ำมัน/แก๊ส: มีจุดเติมพลังงานเยอะแยะมากมาย / ไฟฟ้า: ยังมีจุดชาร์จน้อย ถ้าหาจุดชาร์จไม่ได้ ได้มีโทรเรียกรถลากแน่นอน
- อันตรายจากสภาพอากาศ > น้ำมัน/แก๊ส: นอกจากอย่าอยู่ใกล้อะไรที่เกี่ยวกับตัวจุดชนวนไฟ ก็ไม่มีปัญหาอะไรนะ และต่อให้จอดตากแดดร้อนๆ ก็ไม่มีปัญหา / แบตเตอรี่: ยังไม่รู้ว่า ถ้ามาเจอสภาพอากาศร้อนๆ อย่างเมืองไทย แบตเตอรี่จะมีอายุสั้นลงไหม? และยังมีเรื่องจอดรถตากแดดที่มีอุณภูมิสูงๆ อีก ที่เสี่ยงทำให้แบตเตอรี่เสื่อมอายุเร็วมากขึ้น และหนักถึงขั้นทำให้แบตเตอรี่ไหม้หรือระเบิดได้อีกด้วย ซึ่งก็ต้องดูว่าแบตเตอรี่ที่ใช้ในรถยนต์นั้น เป็นแบตเตอรี่ประเภทไหน? มีผลต่อความร้อนมากแค่ไหนด้วย ..นี่ยังไม่นับเรื่องการลัดวงจรของระบบไฟฟ้านะ ถ้าเกิดลัดวงจรขึ้นมา ก็ทำให้ไฟไหม้ได้เช่นกัน เหมือนกับข่าวไฟไหม้บ้านจากเหตุไฟฟ้าลัดวงจร
- ราคา > น้ำมัน: ก็ตามตลาดเลย มีให้เลือกซื้อหลายราคา หลากหลายรุ่น / ไฟฟ้า: แทบจะมีเฉพาะตัว Top ในแต่ละยี่ห้อเท่านั้น ราคาสูง ไม่น่าดึงดูดให้ใช้
- ความซับซ้อนของเครื่องยนต์ > น้ำมัน/แก๊ส: มีความซับซ้อนมาก เพราะมีระบบต่างๆ มากมายเพื่อนำมาเผาไหม้เชื้อเพลิงมาเป็นพลังงานขับเคลื่อน / ไฟฟ้า: แทบจะเรียกได้ว่า น่าจะมีแค่มอเตอร์รับไฟจากไฟฟ้าก็วิ่งได้แล้วนะ ไม่ได้มีความซับซ้อนอะไรเลยอ่ะ ก็เหมือนกับพวกรถบังคับวิทยุไฟฟ้าอ่ะ ..แล้วที่รถมันแพง อยู่ที่อะไร? ..แบตเตอรี่? ..มอเตอร์? ..คือมันสวนทางกับความง่ายของระบบการขับเคลื่อนที่ไม่ได้ซับซ้อนอะไรเลย ยกเว้นแต่อาจจะไปคิดแพงๆ ที่แบตเตอรี่ หรือค่าลิขสิทธิ์หรือค่ายี่ห้อ
ถ้ายังชาร์จไวไม่ได้เหมือนเติมน้ำมันก็เกิดยากและการใช้สเกลใหญ่ก็คงมีปัญหา ลองนึกถึงช่วงสงกรานต์ ปีใหม่ วันหยุดยาว รถออกนอก กทม หลายแสนคัน ถึงจะบอกว่าชาร์จเร็วแค่ 30 นาทีรอได้ นั่งจิบกาแฟหรือเดินเล่น 7-11 แต่ถ้าไม่ได้เป็นคิวที่ 2 ที่รอชาร์จ กลับเป็นคิวที่ 10 ต้องรอ 300 นาที หรือ 5 ชั่วโมง นึกภาพไม่ออกจริงๆ ครับ ถึงจะบอกว่าหัวชาร์จมีเยอะ หัวชาร์จเยอะก็แสดงว่ารถต้องเยอะตามไปด้วยถึงได้มีการลงทุนจำนวนหัวชาร์จ ลำบากครับ
คือจุดจอดรถปกติสามารถเปลื่ยนเป็นจุดชาร์จได้หมด แล้วระหว่างทางไปต่างจังหวัดปั๊มก็เต็มไปหมดเดียวนี้บางเจ้าเริ่มขนาดขนาดเพิ่มร้านค้าเพิ่มที่จอด ที่จอดรถในห้างก็มีจุดชาร์จไฟ ยังไม่นับว่าอาจจะมีเจ้าใหม่ๆเปิดจุดชาร์จเพิ่มขึ้นก็ได้เพราะไม่ไม่เหมือนปั๊มน้ำมัน
จากปัญหาจุกจิกทั้งหลายที่ท่านๆได้กล่าวมา
ผมว่าทางออกคือ hydrogen ของ toyota แล้วด้วยซ้ำไป
หงุดหงิดที่พัฒนาตั้งนาน มั่วแต่กั๊กจะกิน hybrid ให้คุ้ม
จนแบตเบอรี่จะมาครองตลาดแล้ว
มีของดีแต่กลับเสกให้เป็นขี้ซะงั้น
ผมว่า hydrogen นี่ยิ่งแล้วใหญ่
สถานีเติม ต้องสร้างเพิ่มเช่นเดียวกับปั๊มน้ำมัน (เมื่อเทียบกับสถานีชาร์จ ที่เอาไปเพิ่มในปั๊มที่มีอยู่แล้วได้)
ต้องมีโลจิสติกในการขนส่งไฮโดนเจน แบบเดียวกับการขนส่งน้ำมัน
ความปลอดภัย, กระบวนการสร้าง
จะหาแหล่ง hydrogen มาจากไหนหล่ะครับ ถ้าจะตอบว่าแยกจากน้ำ ผมบอกเลยว่าโคตรสิ้นเปลืองครับ
ไม่ได้กั๊กครับ มันขายได้ไม่ถึงหมื่นคันด้วยซ้ำ