สภาของรัฐแคลิฟอร์เนีย ผ่านกฎหมายสำคัญเรื่อง Gig Economy ที่กำหนดให้บริษัทอย่าง Uber, Lyft, DoorDash, Instacart, Postmates ฯลฯ จำเป็นต้องให้สวัสดิการพื้นฐานกับคนทำงานที่เรียกว่าเป็น "คู่สัญญา" (independent contractor) แบบเดียวกับพนักงานประจำ
กฎหมายฉบับนี้มีชื่อเรียกว่า AB5 ตอนนี้ผ่านทางสภาผู้แทนและวุฒิสภาของรัฐแคลิฟอร์เนียแล้ว เหลือขั้นตอนลงนามของผู้ว่าการรัฐ Gavin Newsom ซึ่งก็เคยแสดงท่าทีสนับสนุนกฎหมายฉบับนี้ จากนั้นจะมีผลบังคับใช้ในปี 2020
เป้าหมายของกฎหมาย AB5 คือคุ้มครองแรงงานในระบบ Gig Economy ที่ไม่มีสวัสดิการใดๆ เลย มีเพียงค่าจ้างตามจำนวนชิ้นงานเท่านั้น ไม่มีการการันตีค่าแรงขั้นต่ำหรือค่าแรงล่วงเวลา รวมถึงสวัสดิการด้านอื่นๆ เช่น ประกันสุขภาพ
ส่วนผู้ที่คัดค้านกฎหมาย AB5 มองว่ากฎหมายฉบับนี้จะเพิ่มต้นทุนของบริษัทแนว Gig Economy และมองว่าแรงงานเหล่านี้ต้องการเลือกเวลาทำงานอย่างอิสระ (flexible hours) ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
การผ่านกฎหมายนี้ในระดับรัฐบาลท้องถิ่นระดับรัฐ ถือเป็นก้าวสำคัญของอุตสาหกรรม Gig Economy ในสหรัฐ เพราะผู้สมัครประธานาธิบดีจากฝั่งพรรคเดโมแครต ไม่ว่าจะเป็น Elizabeth Warren, Bernie Sanders, Kamala Harris, Julian Castro, Pete Buttigieg ต่างก็สนับสนุนกฎหมายฉบับนี้ และหากการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2020 เป็นชัยชนะของเดโมแครต ก็มีโอกาสสูงที่เราจะเห็นการผลักดันกฎหมายในระดับชาติตามมา
ที่มา - San Francisco Chronicle, BBC
ภาพจาก DoorDash
Comments
ฝันร้ายผู้ประกอบการ ?
มั้ง ... ผู้ประกอบการ ก็อาจจะไล่คนออก + เก็บส่วนแบ่งมากขึ้น เพื่อชดเชยค่าสัวสดิการที่ต้องจ่ายออกไป
... ถ้าจำเป็น ก็หยุดรับคนขับในรัฐแคลิฟอร์เนียไปเลย
samsung ใหญ่แค่ใหน ?
https://youtu.be/6Afpey7Eldo
รัฐต้องหาทางป้องกันปัญหาในอนาคตจากการที่ตัวประชาชนทำงานในระบบการจ้างงานแบบใหม่นี้ เช่นหากไม่มีระบบประกันสุขภาพ เงินชดเชยระหว่างว่างงาน เงินสำรองเลี้ยงชีพยามแก่ รวมไปถึงความเป็นอยู่ของลูกจ้างของระบบการจ้างงานแบบใหม่ จะตามมาซึ่งปัญหาสังคมในอนาคตของสังคมนั้นๆ
คนไทยอาจจะนึงไม่ออก เพราะรัฐไทยเพิ่งเริ่มมีระบบรัฐสวัสดิการได้ไม่นานนัก จึงเน้นพึ่งตัวเอง กอบโกยให้มากที่สุด เพื่อหวังสบายตอนแก่ ซึ่งไม่ดี เป็นรัฐที่สูบเลือดสูญเนื้อคนในชาติช่วงวัยทำงาน แล้วโยนทิ้งปล่อยตามมีตามเกินในปั่นปลายชีวิต แต่ในหลายประเทศ ประชาชนในปั่นปลายชีวิต รัฐจะลงมาอุ้มคนกลุ่มนี้ให้มีชีวิตอยู่ต่อไปได้จนสิ้นอายุขัย ส่วนกลุ่มคนทำงานก็เสียภาษีเพื่ออุ้มคนแก่อีกทีหนึ่งผ่านระบบภาษี แล้วเป็นวัฏจักรของสังคมแบบนี้ไปเรื่อยๆ (มองในแง่ดีสุด) ทำให้คนในวัยทำงานทำงาน ใช้เงิน ลงทุน แล้วห่วงอนาคตหลังจบวัยทำงานได้น้อยลง คืออย่างน้อยๆ ก็มีระบบอุ้มชูให้มีชีวิตอยู่ได้ในระดับที่ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ไม่ลดต่ำลง
ส่วนบริษัทอาศัยช่องว่างของกฎหมายของรัฐ ในรูปแบบการจ้างงานแบบ gig economy เพื่อลดต้นทุนต่างๆ ผลักภาระหลายๆ อย่างให้รัฐไปดูแล แทนที่จ่ายให้รัฐเพื่อนำไปสนับสนุนประชาชนอย่างเป็นระบบ รัฐก็ต้องหาทางเพื่อดึงจุดที่เสียไปกลับมาเพื่อให้ยังสมดุลเหมือนเดิม ไม่งั้นปัญหาในอนาคตเกิดได้
employee = working Hours
independent contractor = flexible hours
employee = flexible hours ?
employee ≠ working Hours ?
independent contractor = working Hours ?
independent contractor ≠ flexible hours ?
รัฐก็ต้องวิ่งไล่ตามแบบนี้แหละ
นึกถึงสมัยมีโรงงานใหม่ๆ กว่าแรงงานในโรงงานจะได้สวัสดิการคุ้มครองแบบปัจจุบัน ช่วงนั้นผู้ประกอบการก็คงบ่นไม่ต่างกัน