จุดเด่นของ Google Pixel รุ่นที่ผ่าน ๆ มาที่หลายคนให้การยอมรับ ไม่ว่าจะกล้องที่ประมวลผลภาพออกมาได้น่าประทับใจ ได้อัพเดตระบบปฏิบัติการต่อเนื่อง 3 ปีและยังมีเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพิ่มเข้ามา โดยเฉพาะปีนี้ที่กูเกิลนำ Project Soli ที่ซุ่มพัฒนามาตั้งแต่ปี 2015 มาติดตั้งให้เป็นครั้งแรกและเรียกเสียงฮือฮาได้เป็นอย่างดี มีกล้องเทเลโฟโต้รวมทั้งผ่านมาตรฐานการกันน้ำและฝุ่นระดับ IP68 แล้ว
บทความนี้เป็นการรวบรวมรีวิวจากสื่อต่างประเทศได้แก่ TechCrunch, Android Authority, The Verge, CNET, WIRED และ Engadget ที่ได้เครื่อง Google Pixel 4 ไปทดสอบ
ตัวเครื่อง, ดีไซน์และการปลดล็อคใบหน้า
ตัวเครื่องของ Pixel 4 ถูกปรับดีไซน์ไปบ้าง คือขอบตัวเครื่องเป็นรางอะลูมิเนียมรอบตัว แต่ยังประกบหน้าหลังเครื่องด้วยกระจก Gorilla Glass 5 เหมือน Pixel 3 มีสีให้เลือกได้สามสีคือสีดำเนื้อมันวาว ส่วนสีขาวและสีใหม่อย่างสีส้ม Oh So Orange จะเป็นกระจกเคลือบเนื้อด้าน (matte) สื่อเช่น The Verge เห็นว่ากระจกเนื้อด้านช่วยให้จับถนัดมือขึ้นกว่ารุ่นก่อนมาก
กล้องหน้าติ่งขนาดใหญ่ของ Pixel 3 XL เปลี่ยนเป็นขอบบนที่หนาขึ้น ติดตั้งเซนเซอร์ Soli radar เอาไว้ใช้ควบคุมด้วยท่าทางและใช้ระบบปลดล็อคใบหน้าแทน เรื่องนี้เสียงแตกเป็นสองทาง มีทั้งฝ่ายที่ชอบเพราะไม่มีติ่งกล้องหน้ามากวนใจ และฝ่ายที่ไม่ชอบเพราะขอบหนาไป แต่หลายสื่อเห็นว่าการเปลี่ยนมาใช้ระบบสแกนใบหน้าแทนการสแกนลายนิ้วมือที่ใช้มาสามรุ่นแล้ว เป็นการตัดสินใจที่ดี
หน้าจอของ Google Pixel 4 มีขนาด 5.7 นิ้ว ความละเอียด Full HD+ (2,280 x 1,080 พิกเซล) ส่วน 4 XL จะขยายขึ้นเป็น Quad HD+ (3,040 x 1,440 พิกเซล) เป็นจอ OLED ทั้งคู่และหน้าจอเป็นแบบ 90 Hz ที่แสดงผลได้ลื่นตาและเลือกเปิดปิดได้เช่นเดียวกับที่ OnePlus ใช้กับสมาร์ทโฟนของตัวเอง
ทว่า CNET, Engadget และ Android Authority กล่าวตรงกัน คือหน้าจอ 90 Hz จะทำงานกับแอพที่รองรับเท่านั้น นอกจากนี้ยังถูกล็อคการทำงานเอาไว้เมื่อเปิดความสว่างจอสูงสุดอีกด้วยก็เป็นอีกจุดที่สื่อหลายค่ายคิดว่าควรปรับปรุงเพิ่ม
ภาพจากข่าวเก่า
The Verge พบว่าการสแกนใบหน้าด้วยกล้อง IR กับ IR dot projector ทำงานคล้ายกับระบบของ Face ID ของ iPhone คือใช้อินฟราเรดสแกนใบหน้าเพื่อปลดล็อคเครื่อง และไม่เกิดปัญหาปลดล็อคด้วยภาพถ่ายแบบแอนดรอยด์ของผู้ผลิตรายอื่น แต่ระบบปลดล็อคใบหน้าก็ยังมีปัญหาการปลดล็อคแม้จะหลับตาอยู่ ซึ่งต้องรอการอัพเดตจากกูเกิลไปก่อน
นอกจากปลดล็อคใบหน้า สื่อหลายเจ้ารวมทั้ง Linus Tech Tips กล่าวว่า Soli เป็นนวัตกรรม เพราะเพิ่มความสะดวกในหลายโอกาสไม่ว่าจะปัดเพื่อปิดเสียงตอนประชุม, ดับเสียงปลุก, เปลี่ยนเพลงของแอพฟังเพลงและอื่น ๆ ถือเป็นกิมมิคที่น่าสนใจมากและน่าจะต่อยอดได้ในอนาคต
ส่วนข้อจำกัดของ Soli radar ในตอนนี้ยังมีหลายอย่างและยังไม่เสถียร เช่น ถ้าปัดไม่ได้ระยะไม่ว่าจะห่างเกิน, เร็วไปหรือแม้แต่ผิดจังหวะก็จะไม่ทำงานหรือทำงานผิดพลาดได้ ซึ่งสื่อหลายสำนักคาดหวังว่ากูเกิลจะปรับแต่งให้ดีขึ้นตอนอัพเดตซอฟต์แวร์เวอร์ชั่นใหม่ ๆ มาให้
แบตเตอรี
แบตเตอรีของ Google Pixel 4 จะอยู่ที่ 2,800 mAh และเพิ่มเป็น 3,700 mAh ในรุ่น XL โดย Android Authority ทดสอบแล้วเห็นว่ายังไม่น่าประทับใจเช่นเดิมและไม่มีทางใช้งานได้จบวันอีกด้วย โดยเวลาที่ใช้หน้าจอของ Pixel 4 จะอยู่ราว 4 ชั่วโมง 15 นาทีและรุ่น XL จะเพิ่มขึ้นอีก 1 ชั่วโมงเท่านั้น
ต้นเหตุเป็นเพราะหน้าจอ 90Hz กับ Soli radar ที่ใช้พลังงานจากแบตเตอรีเยอะ ทำให้แบตเตอรีของ Pixel 4 ใช้ได้ไม่นาน จนเป็นจุดอ่อนใหญ่ที่ผู้ใช้ควรพิจารณาถ้าคิดจะเป็นเจ้าของ
ระบบชาร์จไฟของ Google Pixel 4 รองรับแค่ 18W เท่านั้น รองรับชาร์จไร้สายที่ 10W และใช้กับแท่นชาร์จ Pixel Stand ได้ แต่ทาง Android Authority เห็นว่าระบบชาร์จไวของ Pixel 4 ด้อยกว่าคู่แข่ง เพราะสมาร์ทโฟนเรือธงหลายรุ่นรองรับระบบชาร์จไวระดับ 25W ขึ้นไปและบางรุ่นยังใช้เครื่องเป็นแท่นชาร์จ (reverse wireless charging) ให้อุปกรณ์อื่นได้ด้วย
กล้อง
กล้องของ Pixel 4ถ่ายภาพได้สวยเหมือนรุ่นที่แล้ว และยิ่งได้เลนส์เทเลโฟโต้ก็ช่วยให้ภาพ Portrait สวยและคม เก็บรายละเอียดเส้นผมได้สวยขึ้นกว่ารุ่นก่อน ส่วนฟังก์ชั่น Live HDR ทำให้เราสามารถเห็นภาพหลังที่กล้องประมวลผลเสร็จแล้วก่อนถ่าย ทำให้เรารู้ว่าภาพที่ได้เป็นอย่างไร แต่มีข้อสังเกตว่าโหมดนี้จะทำงานอัตโนมัติและเลือกปิดไม่ได้
สำหรับ Dual Exposure ที่ให้ผู้ใช้ปรับเพิ่มลดแสง, เงาและไฮไลท์ได้ ก็ทำให้การถ่ายภาพสะดวกยิ่งขึ้น
TechCrunch บอกว่าปล่อยหน้าที่ประมวลผลภาพให้ Pixel 4 จัดการ ส่วนเราถือเครื่องแล้วกดชัตเตอร์พอ (ส่วน DSLR ปล่อยให้อยู่บ้าน) ฟีเจอร์การซูม 8X ที่ทาง The Verge ทดสอบก็ไม่ถือว่าแย่และซอฟต์แวร์ก็เติมรายละเอียดให้คมใช้ได้เช่นกัน แต่หลายสื่อเห็นว่าถ้าเลือกได้อยากได้กล้อง wide-angle มากกว่า โดยเฉพาะทีมงาน Android Authority ที่ขอยอมแลกเลนส์เทเลโฟโต้กับกล้อง wide-angle ถ้าเป็นไปได้อยากให้เพิ่มมาใน Pixel รุ่นต่อไป
โหมดถ่ายดาว (Astrophotography) ที่เป็นจุดเด่นของ Pixel 4 ถ้าเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นต้องใช้งานโหมด Pro หรือกล้อง DSLR และเอาภาพมาแต่งในโปรแกรมแต่งภาพต่อ แต่ Pixel 4 สามารถถ่ายได้เลย แต่ต้องพึ่งขาตั้งกล้องกับความอดทนมากและพื้นที่ที่มืดสนิทจริง ๆ ถึงจะใช้งานได้
เรื่องวิดีโอถ้าเป็นระดับ 1080p ถ่ายได้ดีไม่มีปัญหา มี OIS, EIS ทำให้ภาพที่ถ่ายได้นิ่งคม แต่ที่ถ่าย 4K ได้แค่ 30fps ไม่เป็น 60fps แบบที่เรือธง Android หลายรุ่นทำได้
เรื่องของเสียง Android Authority บอกว่า Pixel 4 จะไม่มีตัวแปลง USB-C เป็นช่องหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร แต่ดีที่รับ SBC, AAC, aptX, aptXHD, และ LDAC codecs แต่กลับไม่รองรับ aptX Adaptive ส่วนลำโพงได้รับคำชมว่าเสียงแหลม, เบสทำได้ดีกว่า Pixel 3 อย่างชัดเจนและตอนเปิดเสียงดังก็ไม่เกิดปัญหาอีกด้วย
ราคาและความคุ้มค่า
ราคาของ Pixel 4 รุ่น 64GB, 128GB ถูกนำไปเปรียบเทียบกับมือถือคู่แข่งหลาย ๆ ค่าย โดยราคาของแต่ละความจุมีดังนี้:
CNET เปรียบเทียบ Google Pixel 4 กับ iPhone 11 ความจุ 64GB ราคา 699 ดอลลาร์ แล้ว iPhone 11 จะถูกกว่า Pixel 4 อยู่ 100 ดอลลาร์ แต่ได้กล้อง wide-angle, กล้องถ่ายภาพได้ดีไม่แพ้กันและมีชาร์จไร้สายเหมือนกัน
ถ้าเทียบความจุด้วย Pixel 4 จาก 64GB ไป 128GB ต้องเพิ่มเงิน 100 ดอลลาร์ ในขณะที่ iPhone 11 จ่ายเพิ่มเพียง 50 ดอลลาร์เท่านั้น นอกจากนี้ iPhone 11 ยังมีความจุ 256GB ให้เลือกที่ราคา 849 ดอลลาร์ แต่ Pixel 4 ไม่มีตัวเลือกนี้ มีความจุสูงสุดที่เพียง 128GB
OnePlus 7T ถูก CNET นำมาเทียบกับ Pixel 4 เพราะได้ Android 10 กับหน้าจอ 90Hz เหมือนกัน แต่สิ่งที่ OnePlus 7T เหนือกว่าคือมีกล้องหลังสามตัว มีเลนส์ wide-angle และแบตเตอรีใช้งานได้นานกว่าและเปิดราคารุ่น 128GB มาแค่ 599 ดอลล่าร์ (ราคาไทย 17,990 บาท) ซึ่งถูกกว่ามาก
คะแนน
CNET : 8.5/10 คะแนน
The Verge : 8/10 คะแนน (Pixel 4), 8.5/10 คะแนน (Pixel 4 XL)
WIRED : 8/10
Comments
ผิดเปล่าครับ soli radar มันเป็น radar ทำหน้าที่เป็น motion sensor ไม่ไช้ตัว scan ใบหน้า
และตัวจับใบหน้าก็กล้อง IR กับ IR dot projector
Ultra Wide เนี่ย ใช้ Photo Sphere แทนก่อนได้นะ เมื่อวานลองใช้มา ภาพที่ได้ก็ออกมาสวยงามอยู่ แทนได้ดีเลยแหละ ตอนแรกก็ติด Ultra Wide เหมือนกัน แต่พอมาเจอฟีเจอร์นี้ก็บอกลาเลย ไม่จำเป็น make do with what I've got เอา ให้เลือก Tele กับ Wide ก็คงเลือกอันแรกไว้ก่อน
แต่ถ้าใส่มาให้ทั้งคู่ก็ตอบเลยว่า... เอานะ
ถ้าเป็นที่กว้างๆโล่งๆก็ได้อยู่ครับ แต่ถ้าเป็นที่แคบๆเนี่ยมันจะไม่ค่อยเนียน แล้วไหนจะเรื่อง Distortion ด้วย
ปกติการใช้เลนส์มุมกว้างถ่ายให้รู้สึกว่ามันไวด์เนี่ย มันต้องถ่ายที่แคบๆครับ ถ่ายที่กว้างๆภาพที่ออกมามันไม่ต่างอะไรจากถอยหลังเท่าไหร่ เพราะงั้นสำหรับผม ยังไงก็เอา UWA ก่อน Tele ครับ เพราะ Tele ถ้าจำเป็นจริงๆก็ยังเอาภาพมาครอปหรือใช้ digital zoom สมัยนี้ก็ยังพอเอามาลงโซเชียลได้ (เว้นเสียแต่ว่าอยากได้ซูมระดับ 10x อะไรแบบนั้น)
ไม่เวิร์คครับ บางทีก็เรื่องเวลาถ่ายที่นาน บางทีกะ distortion บางทีก็เรื่องสภาพแสง (ที่ถ้าถ่ายทีเดียวมันจะปรับรวมมาเลย) ไหนจะการเคลื่อนไหวในภาพ ถ่ายรูปหมู่นี่คนขยับตัวกันหมดแล้ว แล้วยังทำให้ถ่ายด้วย night sight และ astrophotography ไม่ได้อีก
1 องศาของ ช่วง Ultra wide กับ 1 องศาในช่วง tele มันมีความต่างกันมากครับ เพราะ Ultra wide กว้างขึ้นแค่องศาเดียวก็ได้มุมภาพที่ต่างกันค่อนข้างมาก แต่ในช่วง tele ต่างกัน 1 องศานี่แทบไม่รู้สึกถึงความต่าง เป็นผมถ้าให้เลือกแค่อันเดียวยังไงก็ขอเลือก Ultrawide ไว้ก่อน
เห็นมีแต่คนบอกว่า Motion Sense หรือ Soli มันเป็นแค่กิมมิคนะ เท่าที่ดูจากรีวิวหลายที่
Coder | Designer | Thinker | Blogger
ผมดูไลนัส เขาบอกว่ามันเป็นนวัตกรรม “ถ้า” มันทำงานได้สเถียรนะครับ
เห็นเขาทำล้อ ปัดๆ เท่าไหร่ก็ไม่ตอบสนองด้วย
ดูที่ 5:35 เป็นต้นไป
Gimmick เกินกว่าจะใช้ในชีวิตจริงสินะ
ผมด้วย
เสียดายมีแค่กล้องคู่ก็ไม่มีทั้ง wide tof ตามสมัยนิยม
MKBHD ลอง Soli Radar
เห็นว่าค่อนข้าง Gimmick นะ
เป็นสมาร์ตโฟนที่มีแต่เยอะมากกก
พออ่านแล้วต้องกด ctrl+f ตามเลย ?
~ HudchewMan's Station & @HudchewMan~
ทำตามแล้วเยอะจริงด้วยครับ
เต็มไปด้วยฮาร์ดแวร์สูบแบต
Gimmick เหมือนตอน samsung ออก s4
Soli นี่อยากได้มาอยู่หน้าจอคอมจะได้สั่งงานแบบ Ironman ได้
ซัมซุงคงแบบเซง พอ กูเกิลทำบอก นวรรตกรรม ฮ่า
ปีก่อน ๆ เปิดตัวแล้วเอออยากได้ว่ะ พอมาปีนี้เิดตัวมา อืองั้น ๆ อะ ข้าม ๆ ไปเถอะ
ดูมาตั้งเเต่ 1 จน 4 โทรศัพท์ดีเลิศ แต่คนไทยส่วนใหญ่ไม่ได้ใช้ เพราะไม่มีขาย ดีแค่ไหนก็ไร้ค่า
ผมว่า LTT ไม่เชิงชมนะ เขาบอกว่าชอบไอเดีย แต่เหมือนว่ายังใช้งานจริงไม่ได้ โบกไม่ค่อยติด