AirPods Pro เป็นหูฟัง True Wireless ที่ Apple เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ ๆ เข้ามา ทั้งระบบตัดเสียงและการวิเคราะห์จุกยางว่าแน่นหรือหลวมไปสำหรับหูของเราหรือไม่ เสียงถูกปรับจูนให้ดีขึ้นกว่ารุ่นก่อนอย่างสัมผัสได้ ซึ่งสื่อชั้นนำต่าง ๆ เห็นเป็นทิศทางเดียวกันว่าถ้ามีแผนจะซื้อ AirPods อยู่แล้ว รุ่น Pro นับเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดี อย่างไรก็ตาม AirPods Pro ก็ยังมีข้อด้อยอยู่เช่นกัน
รูปลักษณ์ของ AirPods Pro ถือว่าดีไซน์ใหม่หมด หัวจุยางฟิตเข้าหูได้ง่าย ไม่ต้องกลัวหล่นแบบ AirPods 2 และเพิ่มการกันน้ำระดับ IPX4 CNET เห็นว่าการปรับดีไซน์และการกันน้ำช่วยอำนวยความสะดวกตอนออกกำลังกายในยิมหรือในชีวิตประจำวันที่ต้องวิ่งขึ้นลงรถเมล์ได้ดีมาก
ภายในกล่องของ AirPods Pro มีสายแปลง Lightning to USB-C แต่ไม่มีปลั๊กแถมมา, เคสใส่หูฟังรองรับการชาร์จไร้สายผ่านมาตรฐาน Qi
ถ้าระบบแจ้งว่าจุกยางไม่เข้ากับขนาดช่องหู แอปเปิลมีจุกยางให้ปรับเลือกได้ 3 ขนาด ทั้งเล็ก, กลาง, ใหญ่ ถ้าทำหายยังซื้อใหม่ได้ในราคา 4 ดอลลาร์หรือราว 120 บาท ถือว่าไม่แพงนัก เพียงแต่จุกยางของ AirPods Pro เป็นจุกยางเฉพาะที่ต้องซื้อกับแอปเปิลเท่านั้น นำจุกหูฟังของรุ่นอื่นมาใส่แทนไม่ได้
ที่หน้าสเปคของแอปเปิลระบุว่า ก้านหูฟัง AirPods Pro สั้นกว่า AirPods 2 โดยลดจาก 40.5 มิลลิเมตร เหลือ 30.9 มิลลิเมตร และก้านติดตั้ง Touch Sensor ไว้ ทำให้ควบคุม AirPods Pro ด้วยการบีบที่ก้านได้
ในหน้าสเปค แอปเปิลแจงวิธีใช้ไว้ว่าถ้าเราบีบเร็ว ๆ หนึ่งทีเป็นการเล่น/หยุดเพลงหรือรับสาย, บีบสองที ข้ามไปเพลงต่อไป บีบสามทีเพื่อเล่นเพลงก่อนหน้า ถ้าบีบค้างเอาไว้ เป็นคำสั่งสลับโหมดตัดเสียงรบกวน (noise-cancelling) กับโหมดเปิดให้เสียงรอบข้างเข้ามา (transparency) นับเป็นลูกเล่นที่ดี ทว่าหลาย ๆ สื่ออยากให้แอปเปิลช่วยเพิ่มคำสั่งเพิ่มลดเสียงเข้ามาด้วยจะเยี่ยมมาก
ถ้าเอาเสียงของ AirPods 2 เป็นตัวตั้ง เสียงเบสของรุ่น Pro ดีขึ้น, เนื้อเสียงแน่นและชัดเจนแต่ไม่เยอะหรือกระแทกแบบ Beats รุ่น Powerbeats Pro นอกจากนี้ Adaptive EQ ที่เป็นฟีเจอร์ปรับจูนเพลงให้เข้ากับทรงหูของเราโดยอัตโนมัติ ช่วยให้เสียงของ AirPods Pro ดีกว่าเดิมและใช้ฟังเพลงได้หลายแนวยิ่งขึ้น แต่ Adaptive EQ จะทำงานต่อเมื่อเปิดโหมด noise-cancelling อยู่เท่านั้น ถ้าเปิดโหมดให้เสียงรอบข้างเข้ามาจะไม่ทำงาน
ในโหมด transparency ที่เปิดให้เสียงภายนอกเข้าได้ The Verge ยอมรับว่าช่วยให้ชีวิตประจำวันสะดวกขึ้น โดยเสียงที่เข้ามาจะเป็นแบบช่วงสั้น ๆ เช่นเสียงประกาศของสนามบินหรือรถไฟฟ้า ช่วยให้ไม่พลาดประกาศสำคัญ ส่วน Android Authority บอกว่าโหมด transparency ใช้กับระบบ Android ได้ด้วย แต่ต้องไปเลือกในคำสั่ง Bluetooth เอง
โหมด noise-cancelling ของ AirPods Pro จัดว่าทำงานได้ดีในบริบทชีวิตประจำวัน เสียงรบกวนทั่ว ๆ ไปเช่น เสียงคุยของคนรอบข้าง, เสียงดังในร้านกาแฟและเสียงของรถไฟใต้ดินก็ตัดได้ แต่ไม่ถึงขั้น Sony WF-1000XM3 ที่ SoundGuys ยกให้เป็นหูฟัง True Wireless ที่ตัดเสียงได้ดีสุด
การตั้งราคา AirPods Pro ไว้ที่ 249 ดอลลาร์ (ราคาไทย 9,490 บาท) ทำให้สื่อต่างประเทศนำไปเปรียบกับหูฟัง True Wireless ราคาใกล้เคียงกันหลายรุ่นไม่ว่าจะเป็น Sony หรือ Beats ที่อยู่ในเครือเดียวกัน ว่าดีหรือด้อยกว่าอย่างไรบ้าง
ภาพจาก Sony Thailand
CNET คิดว่าถ้าเทียบกับ Sony WF-1000XM3 ที่เป็นคู่แข่งโดยตรงของ AirPods Pro และเปิดราคามาแค่ 229.99 ดอลลาร์ (ราคาไทยที่ 8,990 บาท) ฝั่ง Sony ชนะเรื่องเสียงที่แน่น, เคลียร์และนุ่มนวลกว่า ระบบตัดเสียงยังทำได้ดีกว่าด้วย แถมฟังต่อเนื่องนาน ๆ ได้สบาย แบตเตอรียังใช้ได้นานกว่า โดย AirPods Pro ที่ CNET ทดสอบใช้งานได้เพียง 4 ชั่วโมงครึ่ง (เปิดเสียงดังราว 70%) ขณะที่ Sony ได้ถึง 6 ชั่วโมง โดย Sony แพ้ AirPods Pro เพียงเรื่องเดียวคือตอนใช้คุยโทรศัพท์ที่ AirPods ให้เสียงที่ดีกว่า
ภาพจาก Beats
หากเทียบกับ Powerbeats Pro จาก Beats ที่อยู่ในเครือแอปเปิลด้วยกัน มีราคาถูกกว่าคือ 199.95 ดอลลาร์ (ราคาไทย 8,900 บาท) Powerbeats Pro ชนะที่เรื่องแบตเตอรีใช้ได้นานสุด 9 ชั่วโมง มีชิป Apple H1 เหมือนกัน เชื่อมต่อกับอุปกรณ์แอปเปิลชิ้นอื่นได้สะดวกเท่ากัน ส่วนประเด็นเสียงเบสที่หนักเป็นเอกลักษณ์ของ Powerbeats Pro ก็ต้องอยู่ที่รสนิยมของคนใช้ว่าชอบหรือไม่ชอบ ข้อเสียของ Beats คือเคสยังใหญ่เทอะทะกว่า
จุดแข็งของ AirPods Pro คือ เนื้อเสียงและระบบตัดเสียงที่ดีกว่า AirPods 2 อย่างชัดเจน ถ้าใครกำลังจะซื้อ AirPods อยู่และสามารถจ่ายเงินเพิ่มอีก 2,000 บาทเพื่อเปลี่ยนจาก AirPods 2 ราคา 7,490 บาท มาเป็น AirPods Pro ราคา 9,490 บาท ได้ก็นับว่าคุ้มลงทุน
ภาพทั้งหมดจาก Apple
ส่วนใครที่ไม่ได้ใช้ iPhone เป็นมือถือเครื่องหลัก AirPods Pro อาจไม่ใช่ตัวเลือกที่โดดเด่น เพราะไม่สามารถดึงประสิทธิภาพออกมาได้เต็มที่ และมีหูฟัง True Wireless จากผู้ผลิตรายอื่นให้เปรียบเทียบด้วย
อ้างอิง: The Verge, CNET, Android Authority, WIRED, SoundGuys
Comments
เห็นพวก youtuber เอามารีวิวแล้วทำท่าทางตื่นตาตื่นใจกับ noise cancelling ราวกับว่าเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อนแล้วแบบว่า....
ใช้รุ่นไหนอยู่ครับ?
เห็นตื่นเต้นกับโหมด transparency มากกว่านะ
ราวกับว่าเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อนเหมือนกัน
ซึ่งมันก็ไม่ได้ใหม่อะไร Sony ก็มีอยู่แล้ว และฟังจากที่อ่านดูของ Sony น่าจะสะดวกกว่าด้วย อย่างใน Headphone เอามือวางลงไป หรือใน True Wireless เอานิ้วแตะก็พอ ฟังดูแล้วมันน่าจะสะดวกกว่าบีบก้านของ AirPod Pro อยู่นะครับ
อันนี้ผมไม่แน่ใจเพราะไม่ได้ลองแต่ปรกติ โหมดนี้ที่ผ่านมาหลายค่ายใช้วิธีไม่เหมือนกัน บางค่ายแค่หรี่เสียงเพลง บางค่ายเอาไมค์ดูดเสียงข้างนอกมาใส่
แต่เห็นรีวิวว่าโหมดนี้จะทำงานโดยเสียงที่เข้ามาจะเป็นแบบช่วงสั้นๆ ลักษณะการทำงานแบบนี้ส่วนตัวผมยังไม่เคยเจอนะ
Sony ใช้ไมค์ภายนอกดูดเสียงเข้ามาครับ (WH-1000XM3) ลักษณะเดียวกับ Apple
แต่เหมือน Apple จะบอกว่าแต่ง EQ หน่อยๆ ให้รู้สึกว่าไม่เหมือนกับฟังผ่านไมค์
ของ Sony จะปรับละเอียดได้ทั้ง Noise Cancellation และ Focus on Voice (Transparency) (ถ้าจำไม่ผิดคือปรับได้ 20 ระดับ)
แต่ของ Apple เหมือนจะแค่ NC แบบสุดขั้ว กับ Transparency ที่ใช้ไมค์ดูดเสียงมาแบบสุดๆ ไม่มีปรับแบบกลางๆเหมือน Sony
ผมดู Youtuber เมืองนอกมีแต่คนชมว่าตัดเสียงสู้ Sony ไม่ได้ทั้งนั้นเลยครับ
ผมว่าเราพยายามจับผิดหรือเปล่าก็เลยมองว่ามันเหมือนเป็นเรื่องผิดปกติ ผมเห็น reaction ของ youtuber บางคนก็มักจะออกแนว over acting เป็นธรรมดาอยู่แล้ว เพราะเป็นคาแรคเตอร์หรือเป็นส่วนหนึ่งของการแสดง หรือการสร้างอารมณ์ร่วม สิ่งที่ต้องดูคือ fact ที่อยู่ในนั้นมากกว่า
เห็น youtuber หลายๆ คนบอกเสียงยังไม่ได้ดีที่สุด ระบบตัดเสียงก็ยังไม่ดีที่สุด แต่เรื่องการออกแบบอื่นๆ ชนะคู่แข่งหมด ไม่ว่าจะขนาดของเคสที่เล็กกว่า และพกง่ายกว่า รวมถึงเรื่องของการเชื่อมต่อที่เสถียรมาก และเรื่องเล็กๆน้อยๆหลายเรื่อง (เช่นเรื่องที่มีรูให้อากาศออกเวลายัด earbud เข้าไป ทำให้ไม่รู้สึกถึงแรงกดอากาศ)
สรุปก็เหมือนเดิม คือ จะเลือกอะไรระหว่างคุณภาพเสียง หรือความสะดวก
แนะนำดู review ของ snazzy lab ครับ ว์เคราะห์และเปรียบเทียบได้ครบถ้วนมาก
+1 snazzy lab ทำดีมาก โดยเฉพาะตอนเดโมเรื่อง noise cancellation
เห็นคนวิ่งใช้ Sony WF-1000XM3 เยอะเหมือนกัน มันดูดีกว่าพวก AirPods ที่ยื่นออกมาเป็นก้านๆ
แต่ Apple ก็ยังชนะใจคนด้วยความ Minimal เนี่ยแหละ
ตอนแรกผมก็ใช้ของตัวอื่นครับเพราะเสียงดีกว่า แต่ว่าดูจากการใช้งานและการพกพาแล้ว ผมเลือกซื้อ AirPod 2 อีกตัวมาใช้แทนเพราะกล่องเล็กกว่าใส่กระเป๋ากางเกงไม่เทอะทะรวมกับผมใช้ iPad ด้วยมันสลับการฟังระหว่างอุปกรณ์ง่ายกว่ามากๆ
มันคงอยู่ที่ลักษณะการใช้งานของแต่ละคนจริงๆ
เห็นราคาไทยแต่ละตัวแล้ว แหะๆ
ต้องดู unbox therapy เลยครับ เทปนี้จะเงียบๆนิดนึง เน้นประสพการณ์การเปิดกล่อง กับ package ที่ดีกว่าตัวเดิม อย่าเทียบกับตัวอื่น ก็ถือว่ารีวิวได้ไว้หน้าเจ้าของผลิตภัณท์ ได้แบบผมปรบมือให้ก็แล้วกัน เพราะคนซื้อ Sony ก็ซื้อ Sony คนซื้อ Apple ก็ซื้อ Apple กันไป ไม่ได้ผิดอะไรซักกะหน่อย ก็ซื้อกันไปแต่สำหรับผม ตัวละ 10,000 มีถ่านใส่อยู่ข้างใน นี่จบหมด มันเหมือนระเบิดเวลาตั้งวันเสียอยู่ข้างใน ผมไม่เอา
เดี๋ยวนี้ Lew เค้าลดระดับ Drama ลงไปเยอะครับ หลังจากโดนเมืองนอกบ่นกันเยอะมากเรื่องความพยายามดราม่าของเฮียแก
[S]
ทั้งหมดผมว่า Dave2d เนี่ยรีวิวได้ครบถ้วนไม่ดราม่าได้ดีที่สุดละ
ปกติคนซื้อ AirPods เพราะ ประสิทธิภาพ ด้วยเหรอครับ ?
/ นี่ก็รอซื้อ Surface Earbuds เพราะเป็นของศาสดา MS ไม่เกี่ยวกับ design หรือ คุณภาพเสียงสักนิด
ผมเพิ่งซื้อ airpods2เพราะเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่ามันคุยแล้วรู้เรื่องที่สุดครับ
อย่างผมใช้ฟังเพลง 70% คุยโทรศัพท์ 30% ซึ่งคิดว่าน้ำหนักส่วนนี้แลกกะการที่เสียงธรรมดาได้นะ
แต่ราคาศูนย์แพงไปจริง ถ้าได้ราคาซัก 4000 นิดๆเหมือนชอปปี้นี่จะดีมากเลย
นี่สะกดจิตตัวเองกะรีวิวรุ่นโปรอยู่เรื่อยๆ สงสัยสิ้นปีได้จัดแน่นอน
อาจเพราะผมสายฟังเพลงมั้ง ไม่ได้คุยโทรศัพท์เลย
เลยไม่เคยเห็นคุณค่าของหูฟังแบบนี้
แล้วยิ่งแบตเตอรี่อยู๋ได้แค่ 4 ชม. ยิ่งรู้สึกว่ามันไม่สามารถเอามาใช้งานจริงได้ ?
หัวจุยาง > หัวจุกยาง
เรื่องการสนทนาเป็นจุดอ่อนของโซนี่มานานละครับ เพราะดันใช้ไมค์ที่ใช้ตัดเสียงรบกวนมาเป็นไมค์จับเสียงพูดนี่ล่ะ ...
ส่วน NC Sony รุ่นใหญ่ทำได้ระดับเดียวกับ Bose มานานแล้ว ก็คงใช้เทคนิคเดียวกันเลย คือได้ยินว่า NC เป็นการใช้ไมค์มาจับเสียงภายนอกแล้วกลับเฟสก็จริง แต่มันมีรายละเอียดยิบย่อยมากมาย (เพราะถ้าทำไม่ดีจะกลายเป็นตัดเสียงหลักออกไปด้วย) ก็คงยกเอาเทคนิคย่อย ๆ พวกนี้ไปใช้กับเจ้าตัวนี้ด้วยล่ะครับ
เอางี้... ผมมีทั้ง Airpods Pro, Sennheiser Momentum และ Sony WH-1000MX3 ที่เป็น headphone ผมขอสรุปดังนี้
เรื่อง ANC แน่นอนตัว Momentum ไม่มี แต่ผมเทียบ sony กับ Airpods ผมให้ sony ตัดเสียงดีกว่าประมาณ 20-30% คือเงียบกว่า
เรื่อง Sound quality ผมดันยกให้ Momentum ถูกจริตผมมากกว่า เพราะเคลียร์แบบใส ในขณะที่เบสก็ดิ่งแน่น ถือเป็นตัวจบด้านคุณภาพเสียงใน TWS ของผมเลย ในขณะที่ Sony เสียงจะไม่ใสมาก แต่ออกนุ่มนวล เหมาะกับฟังเพลงร็อกหนักๆ ส่วน Airpods รั้งท้าย เสียงแพ้ทุกทาง ได้อารมณ์น้อยสุด
การใส่สบาย ผมยกให้ Airpods เป็นที่ 1 เชื่อไหมครับ ผมใส่ไปซัก 15 นาที ผมแทบจะลืมว่าใส่ Airpods อยู่เลย มันสบายมากๆ อันนี้ Apple ทำการบ้านมาดีมากๆ ยอมรับ
สรุปเลยอยู่ที่ใช้งานนะ ถ้าเน้นใส่สบาย และฟังนอกบ้านด้วย มี Noise cancelling ระดับนึง Airpods ตอบโจทย์ได้อย่างไม่น่าเชื่อ พกพาสะดวก ขนาดเล็กสุด
ฟังที่บ้าน หรือนอกบ้านแต่เน้นคุณภาพเสียง แยกเป็น 2 ข้อคือ 1. เน้นฟังเพลงช้า ใสๆ เคลียร์ๆ Momentum ตอบโจทย์มากๆ กับ 2. เน้นฟังเพลงร็อก และเน้นน้ำหนักของดนตรี ไป Sony WH-1000MX3 เลย
อ้อ Edit 1 : เรื่อง Transparent นี่ ผมยกให้ Airpods ที่ 1 นะ เพราะเสียงที่ดูดเข้ามามันเป็นธรรมชาติมาก ในขณะที่รุ่นอื่น เสียงที่ดูดเข้ามาจะปลอมๆ (ให้นึกถึงเสียงคนที่ออกลำโพงอะ มันจะประดิษฐ์ๆหน่อย)