Mooky Greidinger ซีอีโอ Cineworld บริษัทเชนโรงหนังรายใหญ่บอกว่า Netflix คือตัวการที่ทำให้รายได้ Box Office หดหาย
Netflix ลงทุนสร้างหนังเรื่อง The Irishman กำกับโดย Martin Scorsese และปล่อยหนังให้ฉายในโรงหนังบางแห่งก่อนจะฉายทางสตรีมมิ่งตามปกติ ซึ่ง Greidinger บอกว่า นี่เป็นการปิดกั้นโอกาสที่จะทำให้หนังของ Scorsese โด่งดังและสร้างรายได้ในระดับ Box Office
กลยุทธ์ของ Netflix ในระยะหลังคือพยายามลงทุนในผู้กำกับมืออาชีพมากขึ้น เพื่อจะได้มีหนังน้ำดีบนแพลตฟอร์ม ในขณะเดียวกันก็ต้องทำให้หนังได้ฉายในโรงหนังเพื่อที่หนังจะได้เข้าเกณฑ์ประกวดรางวัลออสการ์ด้วย Netflix จึงลงทุนเช่าโรงหนังเก่าแก่ เช่น เช่า Paris Theater โรงหนังแบบ single screen ในนิวยอร์ก ฉายหนังเรื่อง Marriage Story และ The Irishman นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างดีลเช่าโรงหนัง Egyptian ในลอสแองเจลิสด้วย
ตั้งแต่เดือนกันยายนที่ผ่านมา Netflix ปล่อยหนัง 10 เรื่องให้ฉายในโรงก่อนฉายลง Netflix 10 เรื่อง ปัญหาคือฉายในช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น ทำให้ผู้ประกอบการโรงหนังมองว่าเป็นการเสียโอกาสทางรายได้
ข้อมูลจาก Motion Picture Association หรือสมาคมภาพยนตร์แห่งอเมริการะบุว่ารายได้ Box Office ทั่วโลกปี 2018 อยู่ที่ 41.1 พันล้านดอลลาร์เพิ่มขึ้น 1% เมื่อเทียบกับปี 2017 ในขณะเดียวกัน การใช้จ่ายในบริการสตรีมมิ่ง ทีวีต่างๆ เพิ่มขึ้น 16% เป็น 55.7 พันล้านดอลลาร์ ส่วนตัวเลขของบริษัท Cineworld ก็คาดว่าจะต่ำกว่าคาดหวังไว้ โดยซีอีโอก็บอกว่าได้ลงทุนถึง 90 ล้านดอลลาร์ทำโรงหนัง 4DX 13 แห่ง
ที่มา - Financial Times
Comments
เห็นหนุ่มๆ สาวๆ คุยกันเรื่องราคาตั๋วหนังในไทย ผมจำไม่ได้ว่ากี่บาทรู้แต่แพงมาก
ผมดูหนังในโรงล่าสุดตอนที่มัน 80 บาทครับ ตอนนั้นก็คิดว่าโฆษณายังไม่เยอะนะ แต่รำคาญอยู่เหมือนกัน เห็นว่าเดี๋ยวนี้โฆษณานานมาก
180-200 แล้วครับราคาปกติ ผมนี่รอดูเฉพาะวันพุธละก็ใช้โปรเท่านั้น ไม่งั้นสู้ราคาไม่ไหว 5555
โปรลดวันพุธยังอยู่เหรอครับ ลดเหลือกี่บาทอ่ะ
ปล. แต่ก่อนฮันนีมูนซีท 260 บาท
ล่าสุดที่จำได้คือ 100 บาท แต่ตอนนี้ไม่รู้ยังมีอยู่หรือเปล่า...
ต่างจังหวัดบางที่ 90 กทม. บางที่หลัง 2 ทุ่ม หรือก่อน 11 โมงก็ 120-140
แต่ผมดูหนังไม่เคยจ่ายราคาเต็มเลยนะครับ มันมักจะมีโปรซักที่เสมอ ไม่บัตรเครดิต ก็ค่ายมือถือ หรือ app อะไรซํกอย่างเสมอ
สิ่งที่คุณจ่าย ไม่เกี่ยวอะไรกับการตั้งราคาครับ โรงหนังจะเจ๊งเพราะตั้งราคาสูง ไม่ได้เจ๊งเพราะว่าคนทั่วไปไม่รู้วิธีหาส่วนลด
ปีนึงดู สองสามเรื่อง พอ ละ ไม่ไหว แพงมาก
ถ้าสามาถจ่ายค่าหันงปีละพันได้ เอามาแชร์ดู Netflix กับเพื่อน นี่ดูได้ไม่อั้นเลย
+1 ครับ สำหรับผม 2-3 ปี ดูเรื่องนึงครับ
my blog :: sthepakul blog
เด๋วนี้ที่นั่งปกติ 250 บาท
ใครซื้อเต็มก็ซวยไป เพราะถ้าซื้อกับพวกโปรโมชั่นบัตรหรือค่ายมือถือ แอพต่างๆจะถูกกว่าเหลือ 100 ต้นๆหรือไม่ก็ไม่ถึง 100 ก็มี
แพงมากครับ ถ้าโรงหนังเจ๊งนี่ผมไม่แปลกใจเลย
ซื้อเต็มก็ไม่ซวยหรอกครับ ผมก็ซื้อเต็มตลอด เป็นคนชอบดูหนังในโรง เลือกเรื่องที่อยากจะดู ไม่เลือกที่นั่งโซนหลังเพราะมันไกลไป 180-240 ราคาประมาณนี้
ไม่โอเคแค่โฆษณานานกับโดนบังคับยืน
ผมสามารถดูหนังได้เดือนละเรื่อง ตกปีนึงเรื่องละ 12 บาท
ไม่ได้ไปโรงหนังหลายปีแล้ว ไม่ว่าหนังจะถูกใจแค่ไหน
ปัจจัยที่สำคัญคือ เวลา
ไป-ดู-กลับ อย่างน้อย 3-4 ชั่วโมง
ราคา เป็นปัจจัยรองลงมา
+1 แล้วยังมีเรื่องจุกจิกหยุมหยิมน่ารำคาญในโรงหนังอีก
+10 ยิ่งมีดราม่าในโรงหนังยิ่งไม่อยากไปดู สมัยก่อนไปดูเอาบรรยากาศแต่บางทีบรรยากาศมันก็โดนทำลายซะดื้อๆ โดยที่เราไม่ต้องการ
ช่วงหลังยอมจ่ายเพิ่มเพื่อไปนั่งสามแถวหลัง
พอจะเลี่ยงดราม่าได้บ้าง
จ่าย Netflix ไปแล้ว
แต่ก็ยังจ่าย 2400 เพื่อดูหนังในโรงอยู่นะครับ
มันแทนกันไม่ได้
เห็นด้วยครับ ดูที่บ้านยังไงก็ไม่มันเท่าดูโรง แต่ผมเลือกดูเฉพาะหนังที่อยากดูจริงๆ ผู้กำกับที่ชอบจริงๆ นอกนั้นรอดูสตรีม
เป็นอีกคนที่ยังชอบดูในโรงหนังมากกว่าครับ เพราะดูผ่าน streaming แล้วมันมักจะมีสิ่งเร้าเข้ามาได้ตลอดเวลา ทำให้รู้สึกไม่ซึมซับกับรายละเอียดของหนังสักเท่าไหร่
จากข่าวนี้ ผมสามารถบอกโรงหนังได้ว่า "คุณกำลังโดน disrupt ไงล่ะ"
+1 อยากไปกระซิบข้างหูเฮียแกเหลือเกิน "คุณต้องปรับตัวด้วย" ลดค่าตั๋ว ลดค่าป๊อบคอร์น ค่าเครื่องดื่ม คนอาจแห่กลับมาก็ได้นะเฮีย ส่วน 4DX อะ มันไม่ได้ตอบโจทย์ขนาดนั้นมั้ง ยิ่งราคามหาโหดด้วยแล้ว จะมีซักกี่ % ของคนดูหนังทั้งหมดอยากดูกันเชียว
เทคโนโลยีไม่ผิด คนใช้มันในทางที่ผิดนั่นแหละที่ผิด!?!
ดูโรงอยู่แต่น้อยลงมากๆ
สมัยเรียน สัปดาห์ละ1เรื่อง
ตอนนี้ ปีละ4-6เรื่อง
โรงหนังคุณไหวหรอกับ The Irishman ความยาวสามชั่วโมงครึ่ง
โรงหนัง : "คุณต้องหั่นหนังให้เหลือ 2 ชั่วโมง"
สก็อตเซซี่ : "กู ไม่ หั่น"
ผมแบ่งดูสามวันเลยครับ หนังมันเครียดด้วย ดูจบเหนื่อยเลย
+1
ผมว่าเฮียแกคิดมาดีแล้วครับ ก่อนตัดสินใจลง Netflix
โรงหนังเดียวนี้เข้าไปฉายโฆษณานานแถมโฆษณาดเป็นสินค้าเยอะมาก พึ่งไปดู Star Wars มาสดๆ ไม่นานจำได้แม่น ฉายโฆษณาหนังนิดเดียว ไม่ติดตามเท่าไรด้วย คือ ถ้าฉาย Trailer หนังดีๆ คนก็อยากดูหนังในโรงเรื่องต่อไปอะนะ ไปดูตาม youtube ยังไงบรรยากาศมันก็ไม่เท่าดูในโรงอยู่ละ โฆษณาสินค้าดูตามป้าย จอ ข้างนอกก็ได้นะ
โรงหนังไทยอยู่ได้เพราะโฆษณานี้แหละครับ ถ้าตัดออกค่าตั๋วยิ่งกระโดด คนยิ่งหนีหายไปอีก
ปล่อยเจ๊งไปครับ ฮ่าๆ ต้องให้เป็นไป Demand Supply จริงตัดโฆษณานิดหนึงเพิ่มรอบแทนยังได้
ซึ่งปัจจุบันผมว่าโรงหนังบางทีสร้างแบบใหญ่โตเกินคนดูไม่เต็ม เปลืองเงินลงทุน เพราะหนังใหญ่ๆ นานๆ ไม่กี่เรื่องแบบที่ดูเต็มโรงในหลายๆ รอบเลย
ผมว่าไม่จริงครับ
จังหวัดที่ผมอยู่ มีโรงหนังเครือไฟว์สตาร์ ค่าตั๋ววันธรรมดา 70 / เสาร์-อาทิตย์ 90 / มีบัตรสมาชิก 50
การตกแต่งก็พื้นๆไม่มีอะไรมาก และผมก็ไม่สนใจอยู่แล้วด้วย เพราะพอปิดไฟมันก็ไม่เห็นแล้วอยู่ดี
เบาะกว้างกว่าสองค่ายใหญ่นั่งไม่เมื่อย
ระบบเสียงก็ไม่ค่อยต่างกันเท่าไหร่ แยกไม่ออก เพราะมันไม่ได้ดีเด่นมากกันทั้งสามเจ้าอยู่แล้ว(โรงหนังที่ดูแล้วผมประทับใจเรื่องเสียงที่สุดคือของเนวาด้า)
แอร์เย็นตั้งแต่ต้นจนจบ แม้จะเป็นรอบดึก ไม่ดูไปเหงื่อออกไป
ขนมของกินแพงกว่าเซเว่น 5 บาท ป๊อบคอร์น 39 บาท
เข้าโรงไป ตัวอย่างหนัง 2 - 3 เรื่อง เพลงสรรเสริญแล้วก็ฉายเลย
ก็ไม่รู้เหมือนกันนะครับว่าเจ้าใหญ่ทั้งสองเจ้ามันแพงเพราะอะไร
อยากได้โรงแบบนี้ใน กทม (หรือแถบชานเมืองก็ยังดี)
Apex Scala
หรือ House Samyan โฆษณา 4 นาที รวมเพลงสรรเสริญแล้ว
+1 อยากได้แบบนี้เลยครับ
ต้นทุนอันมหาศาลคือค่าที่ครับ ที่เราจ่าย เงินในห้าง 40% คือค่าที่เซ็นทรัล ยกตัวอย่างเซ็นทรัลพระราม 2 หลืบๆ 1 ตรม 7000 บาท 1ห้องใหญ่ ชั้น3 300000 - 400000 บาท อย่างบานาน่า พระราม2 ประมาณ 1200000 บาทรวมภาษี
โรงไฟว์สตาร์ที่ผมบอกมา
สถานที่ตั้งเป็นของห้างของคนพื้นที่ครับ พื้นที่ส่วนใหญ่จะเป็นโลตัสที่มาเช่าครับ
โรงเมเจอร์
สถานที่ตั้งเป็นของห้างของคนพื้นที่เจ้าของเดียวกับข้างบนครับ พื้นที่ส่วนใหญ่จะเป็นบิ๊กซีที่มาเช่าครับ
ส่วนสถานที่ตั้งของทั้ง 2 ห้างนั้น อยู่ตรงกันข้ามกันเป๊ะเลยครับ
แต่ราคาตั๋วเมเจอร์แพงกว่า 70 บาท
สิ่งที่โรงหนังต้องตัดออกคือความพยายามที่จะเป็น luxury entertainment complex ครับ พนักงานเยอะ พนักงานหน้าตาดี มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่เกินจำเป็น
โรงหนังขอแค่ระบบเสียงพื้นฐาน ไม่มีหนู เบาะสะอาด ไม่มีกลิ่นรบกวน แค่นั้นพอแล้ว ถ้าทำได้จะตัดค่าใช้จ่ายของโรงหนังได้เยอะมาก อย่างพนักงานนี่เงินเดือนขึ้นตลอดนะครับ
แถมด้วย ชุด การทดสอบระบบต่างๆโดยยัดสินค้าใส่มาแบบเนียนๆ
แล้วอ้างว่าไม่ได้โฆษณา มันเป็นการทดสอบระบบ แสง สี เสียง
ผมชอบที่มีช่วงทดสอบนะ ได้รับรู้ว่าจะได้มิติอะไรระดับไหน
แต่คือกระทั่งช่วงทดสอบเสียงเองเนี่ยทิศเสียงก็มั่วอยู่ ไม่ค่อยทำให้รับรู้ได้จริงจังเท่าไหร่เหมือนจะเอาเวลามาโฆษณาจริงๆ
ผมก็ชอบช่วงนี้ครับ มันแยกทิศทางเสียงชัดดีถึงบางทีมันจะงงๆ กับภาพที่ฉาย
เมื่อสมัยก่อนต้องรีบเข้าโรงหนัง เดี๋ยวจะดูตอนต้นไม่ทัน
แต่ล่าสุดได้ตั๋วฟรี (บอกว่าแจกฟรีแต่พอไปแลกตั๋วยังต้องโดนเก็บเงินภาษีเพิ่ม)
เข้าสายไป 30 นาที...หนังยังไม่ฉายเลย
ดีจัง ล่าสุดเราดู ford v ferrari ไป สาย 15 นาที หนังน่าเริ่มไปก่อนแล้ว 5 นาที เซ็งมาก ปกติโฆษณามัน 20-30 นาทีแท้ๆ
ทุกวันนี้โรงภาพยนตร์จะเข้าเพื่อดู ๓ เรื่อง
๑. Doraemon The Movies
๒. Conan The Movies
๓. Dragonball The Movies
และถ้ามีภาพยนตร์จากเกมส์เท่านั้นผมถึงดู ไม่งั้นก็ไม่เข้าเลย ??? แต่ปกติเป็นคนไม่ดูหนังอยู่แล้ว ถ้าไม่นับการ์ตูน โรงภาพยนตร์ที่ผมดูเป็นเรื่องเป็นราวที่สุดคือ ผีสามบาท โรงภาพยนตร์ราม่า สามย่าน สมัยปี ๒๕๔๔
ดูโรงเฉพาะเรื่องที่อยากดูและกลัวโดนสปอยล์ถ้ารอมันออกแผ่นหรือลง Netflix
ที่นู่น ตั๋วปรกติ $9.5 แต่ก็ยังขาดทุนกำไร ได้ไม่เยอะเท่าที่คิด
เร็วๆ นี้ ไปดู joker คนเดียวตอน 4 ทุ่มเลิก เกือบตี 1 วันที่จะออกโรงแล้ว เจอไปเต็มราคา 260 เจอ ป๊อบคอน โค๊กแก้วใหญ่ อีก 200+ กลางๆ .. ดู 2 คน 1,000 นึง ถ้าไม่เมา หรือมีอะไรไม่รู้มาดลใจ เกาตูดนอนดู Netflix นั่นแหละ เช่า HD ไม่น่าเกิน 200
จำได้ว่าเรื่องล่าสุดที่ไปดูประมาณ 250 แน่ะ
ไม่เข้าไปดูมาหลายปีจริงๆ ครับ แต่ชอบซื้อป็อปคอร์นครับ อร่อยดี
แต่ถ้าเรื่อง "Demon Slayer: Kimetsu no Yaiba" เข้าโรงที่ไทย
ยังไงๆ ก็ต้องไปดูครับ Ufo เขาทำได้งามจริงๆ น้ำตาแทบไหล
ล่าสุดดู Frozen 2 สิบรอบได้ปนกันทุกระบบถ้าหนังมันดีก็คุ้มจะดูในโรงอยู่
unpopular opinion here อยากให้หนังโรงเจ้งไปเลยครับ ผมสายหนังแผ่น เบื่อโดนสปอย :P
ดูหนังโรงส่วนใหญ่ผมดูโปรเท่านั้น ไม่ก็ซื้อตั๋ว Shopee เอา
เว้นบางเรื่องที่ยอมจ่ายราคาเต็ม IMAX อย่าง Avengers แต่ช่วงหลัง ๆ ไม่ค่อยได้ไปแล้ว ปีนี้ดูหนังโรง 2-3 เรื่องเอง เพราะซีรี่ย์ที่ค้างไว้ใน Netflix เพียบเลย รู้สึกว่าไปโรงหนังเสียเวลาดู Netflix เพราะงั้นที่ Mooky Greidinger พูดนี่เรื่องจริงเลย
เวลาดู Netflix จะต้องคิดว่าดูให้ได้สามเรื่องขึ้นไป ถึงจะคุ้มกับรายเดือนที่จ่ายไป เพราะผมชอบเอาราคาไปเปรียบกับในโรงภาพยนต์
ผมเลิกคิดเรื่องความคุ้มไปแล้วเลยครับ ทุกวันนี้จ่ายค่า Netflix เหมือนจ่ายค่าน้ำค่าไฟค่าอินเตอร์เนต คือ ของมันต้องมีเลยอ่ะครับ เพราะส่วนตัวไม่ดูทีวีปกติเลย ก็มีแต่ YouTube กับ Netflix เนี่ยแหละ
อารมณ์ประมาณนี้ เหมือน ค่า internet มีละไม่ได้เล่นไม่เป็นไร แต่พอจะเล่นแล้วไม่มีนี้ดิ ปัญหาใหญ่
ถ้าว่าถึงราคาหนังโรงนี่ผมดูวันแรกเกือบทุกเรื่อง ใช้โปร 89 99 100 120 ตกเดือนละ 410 ปีละ เกือบๆ 5000
เอ่อ เยอะนี่นา นึกว่าจะน้อย ฮ่าๆ
เหมือนแกไปคิดแทนว่าถ้าฉายโรงจะได้ตังเยอะกว่า สร้างรายได้ระดับ Box Office แต่ผู้กำกับบางคนเค้าก็ไม่ได้สนใจเรื่องนี้นะ เค้าอาจจะแค่อยากสร้างงานที่ตัวเองอยากสร้าง นึกภาพสกอเซซี่คุยกับบริษัทใหญ่ ขอทำหนังโรง แต่หนังเนื้อเรื่องแบบนี้ เนื้อหายาวแบบนี้ จะมีสักกี่เจ้าที่ยอมให้แกสร้าง อย่างน้อยต้องขอตัดกันบ้าง แต่พอคุยกับ Netflix แล้วเค้าให้ทุนมาสร้าง สุดท้ายปลายทางก็กลายเป็นหนังที่ตัวเองอยากทำและส่งต่อถึงคนดูได้อยู่ดี อาจจะส่งต่อได้ดีกว่าในโรงด้วยซ้ำ เพราะหนังยาวขนาดนี้ถ้าผมจะต้องดูในโรงก็คิดหนักอยู่นะ
พูดอย่างกับ The Irishman จะขายดี
มันก็ถูกแล้วนะครับ และอนาคตอาจจะมีหนัง ที่กล้าลงโรงฉายทุก platform พร้อมกันด้วย ขอแค่ Netflix ยอมจ่ายเงินซักก้อนนึงให้ก่อน
อยากรู้ว่าโรงหนัง ไทย vs อเมริกา
ต่างกันอย่างไรบ้าง ราคา คุณภาพ บรรยากาศ