เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2018 He Jiankui ประกาศความสำเร็จในการทำคลอดทารกหญิงดัดแปลงพันธุกรรมสองคน สร้างผลกระทบต่อวงการพันธุกรรมว่าเราจะเข้าสู่ยุคดัดแปลงพันธุกรรมมนุษย์กันแล้วจริงๆ หรือ หลังจากนั้นตัว He เองถูกจับกุมและวันนี้ศาลเซินเจิ้นก็ตัดสินโทษจำคุก 3 ปี และปรับ 4 ล้านหยวนหรือประมาณ 13 ล้าน
He เปิดเผยการดัดแปลงพันธุกรรมทาง YouTube หลังจากตัวรายงานวิจัยถูกส่งให้วารสาร Nature แต่ไม่ได้รับการตีพิมพ์ โดย MIT Technology Review นำมาเผยแพร่บางส่วนเพื่อเป็นบทเรียน
ผลกระทบต่องานวิจัยชิ้นนี้ทำให้องค์การอนามัยโลกออกคำสั่งห้ามตัดต่อพันธุกรรมในเซลล์ต้นกำเนิดมนุษย์ (human germline engineering) ไปทั้งหมดจนกว่าจะมีการพิจารณาอย่างถี่ถ้วน
ที่มา - People's Daily
Comments
อนาคตไกลๆ อาจจะได้โนเบลก็ได้นะ
แอบคิดแบบนี้เหมือนกันครับ ...อาจเป็นบิดาแห่งการตัดต่อพันธุกรรม ในอนาคตอันไกล
positivity
อือ.....
ถ้ามองในแง่เสรีนิยม ถือว่าเป็นเทคนิคทางการแพทย์อย่างหนึ่ง เหมือนกับการผ่าตัดนิ้วถุงน้ำดีหรือไส้ติงทิ้ง หรือเป็นมะเร็งปอด แล้วตัดปอดทิ้งไปข้างหนึ่ง แล้วอาจใส่ปอดเทียมหรือเปลี่ยนถ่ายอวัยวะ
หากมองในแง่อนุรักษ์นิยม การดัดแปลงพันธุ์กรรม อาจทำให้เกิดความแปลกแยกแตกต่างในธรรมชาติ จิตใจส่วนบุคคล ร่วมถึงสังคมมนุษย์
แต่ที่แน่นอนคือการใส่ความสามารถพันธุ์กรรมใหม่เข้าไป เช่นเดียวกับพืช GMO
การปลูกพืช หากเป็นหากเป็นเกษตรกรที่ตั้งใจ รู้จักออกแบบระบบนิเวศในแปลงเพาะปลูก ปลูกพืชแบบเกษตรพอเพียง ตั้งเป้าหมายแรกให้พอกินเองก่อน ที่เหลือจึงเอาไปขาย หักกำไรออกไปครึ่งไปลงทุนพวกกองทุน รู้จักวางแผนทางการเงิน เชื่อว่าเกษตรกรคนนั้นย่อมสามารถอยู่ได้ ไม่ต้องซื้อยาฆ่าแมลงหรือปุ๋ยเคมี
ที่เกษตรกรไทยยากจน ก็เหมือนนักลงทุนรายย่อยคนหนึ่ง กำเงินก้อนหนึ่งเอาไว้(ที่ดินแปลงหนึ่ง) เมื่อเห็นหุ้นตัวไหนราคาถีบตัวสูงขึ้นไป(อย่างเช่นยางพาราในสมัยก่อน) ก็ชอบทำตัวเป็นแมลงเม่าบินเข้าไปในหุ้นตัวนั้น
การลงทุนด้านพันธุ์กรรมก็ไม่ต่างกัน ร่างกายมนุษย์ มีการกระจ่ายความเสี่ยงทางพันธ์ุกรรมมานานหลายหมื่นปี (พวกที่กระจ่ายความเสี่ยงผิดไม่ตายก็สูญพันธุ์ไปแล้ว) หากการดัดแปลงเปรียบเสมือนการทุ่มลงไปในหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง อย่างนั้น หากหุ้นตัวนั้นพังลงมา(ซึ่ีงมันต้องพังแน่ๆ) อย่างนั้นก็เป็นการนับถอยหลังสู่การสูญพันธุ์ได้เลย หากไม่ระวังให้ดี
เมื่อเปรียบเทียบกับรางวัลโนเบลทางด้านเศรฐศาสตร์ที่ออกมาสนับสนุนการกระจ่ายความเสี่ยง เชื่อว่านายแพทย์คนนี้ไม่มีทางได้รางวัล ทางที่สุดคงทำไดแต่เปิดโรงหมอในพื้นที่ชนบทเท่านั้น(หากไม่ถูกยึดใบประกอบโรคศลป์เสียก่อน)
มีความเป็นไปได้ถ้ารักษาได้จริง เห็น ข่าวตัดต่อพันธุกรรมแมวโคลนเรืองแสง 3 ตัวรอด 2 ตัวไม่รู้ว่าเด็กจะรอดหรือเปล่าหรือได้ผลแค่ใหน เป็นไปได้ใหมว่าจะสร้าง ยารักษาจากเด็กคนนี้
อาจต้องดัดแปลงให้สังเคราะห์แสงได้ ทนทานต่อสภาวะอากาศ หรือทนรังสีสำหรับออกนอกโลกในการตั้งถิ่นฐานในอวกาศ แก้ไขมวลกระดูกสำหรับอยู่ในพื้นที่แรงโน้มถ่วงต่ำ ในอนาคตคงได้ใช้
ถ้ามองแง่ดี ก็ช่วยลดการตายของโรคร้ายที่ไม่มีทางรักษาได้ ถ้ามองแง่ดีจะเกิดสงครามง่ายมาก
ซึ่งไม่มีอะไรยืนยัน "แง่ดี" ที่ว่า ยังไม่ได้ทดสอบใดๆ แต่ถ้ามีแง่ร้ายที่คนกลัว เรามีทางออกคือจับเด็กที่เกี่ยวข้องทั้งหมดบังคับทำหมัน
lewcpe.com, @wasonliw
เด็กพวกนั้นแอบโคลนนิ่งตัวเอง แล้วก็แพร่พันธุ์ต่อไปครับ
นึกถึงเรื่อง splice
ดีละ
ทำเรื่องดี แต่ยังไม่ถึงเวลาทำ ก็คงลงโทษ..แต่100ปีข้างหน้าก็คงอาจจะเห็นจนชิน เพราะเทคโนโลยีชักนำ
อันนี้คือรู้แล้วหรือครับว่าเขาทำเรื่องดีจริงๆ "หวังดี" กับ "ทำเรื่องดี" คนละอย่างกันนะครับ และเพราะเขาวิจัยแบบลับๆ สุดท้ายเราไม่รู้แม้กระทั่งว่าเขาจริงๆแล้ว "ทำอะไรลงไป?"
Zaft ไม่ถูกใจสิ่งนี้
มีคนนึงโดนฟันเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์บึ้มแล้วยังนอนเท่ห์ๆพร้อมกับผ้าพันแผลไม่กี่ผืนนะครับ
ต้องรอให้หมดเจนของคนที่ยังฝังอยู่กับความเชิ่อด้านศาสนาไปก่อน แล้วมันก็จะเป็นที่ยอมรับเอง ยังไงก็หนีไม่พ้นหรอก เมื่อใดที่คนเชื่อวิทยาศาสตร์จนสุดใจ มันก็จะมาแทนความเชื่อเดิมเอง เพราะมนุษย์เราถูกหล่อเลี้ยงด้วยความเชื่อที่ถูกแทนที่ด้วยความเชื่อใหม่ๆ เรื่อยๆ ซึ่งมันก็ก่อให้เกิดวิวัฒนาการในแต่ละช่วงเวลา
สิ่งที่มันเป็นอยู่มันไม่ได้อิงกับแค่กับศาสนาครับ ปัญหาคือมันยังไม่มีข้อพิสูจน์ใดๆ เลยว่าทำแล้วจะได้ผลลัพธ์ที่พึงประสงค์หรือเชิงบวกมากกว่าผลกระทบด้านลบ
สิ่งหนึ่งที่สำคัญมากๆ ที่ทำให้มนุษย์ประสบความสำเร็จอย่างสูงในการดำรงเผ่าพันธุ์คือการรู้จักกลัว การระแวดระวังถึงภัยอันตรายต่างๆ ครับ
ตอนนี้เราไม่รู้หรอกครับว่า ยีนที่เค้าแก้ไป มันมีผลแค่การไม่ติดเอดส์อย่างเดียว รีเปล่า
blog
จีนเป็นคอมมิวนิสต์ครับ ไม่ได้นับถือศาสนา
นิวไทป์ อินโนเวเตอร์ ซุปเปอร์โซลเยอร์ :v
++ coordinators
positivity
ถ้าปล่อยตัดต่อพันธุกรรมแบบเสรี มนุษย์อาจจะวิวัฒนาการไปอีกขั้นก็ได้มั้ง แบบหน้าตาดีทุกคน อายุยืน 500 ปี โตไวแก่ช้า อะไรพวกนี้
ผมว่านั่นละครับปัญหา คือเป็นไปได้ แต่ไม่ใช่ทุกคนจะได้เป็น คงมีแต่คนทีมีเงินและอำนาจที่ทำได้ ลองนึกภาพเราถูกปกครองโดยผู้ปกครองที่เราไม่ชอบ หรือกดขี่แบบเผด็จการ แต่เค้าไม่มีวันตาย แค่นึกก็ไม่อยากอยู่บนโลกแบบนั้นแล้วครับ ???
5ปีก็แย่เต็มทีละครับ
ซีฟู๊ดค็อกเทลถาดนึงจ๊ะ
โอเค อ่านหลายๆความเห็นแล้วรู้เลยว่าทำไมนักวิจัยท่านนี้ถึงกล้าทำทั้งๆที่รู้ว่าผิดและมีความเสี่ยงติดคุก
มีใครติดกับคำนี้เหมือนผมไหมครับ
ศาลเซินเจิ้น...
+1
ตอนนี้นักวิจัยตัดต่อพันธุกรรมเพื่อจะช่วยลดโรคต่างๆ แต่ในทางกลับกันก็มีโอกาสเกิดโรคใหม่ที่ไม่รู้จักเช่นกัน
มันอาจจะไม่เกิดในรุ่นที่1 แต่อาจไปเกิดในรุ่นถัดๆไปก็ได้ แล้วถ้าเป็นโรคระบาดขึ้นมาคงไม่ต่างกับสมัยก่อนที่เกิดโรคระบาดโดยยังไม่มียารักษา
เคยดูสารคดี บริโภคช็อคโลก
เมื่อ 60 - 70 ปีก่อน สารเคมีกำจัดศัตรูพืช (เจ้าดัง)
ก็มีแต่ประโยชน์ ไม่มีโทษ
แล้วดูปัจจุบัน
งง
ทำไมคนในนี้ถึงสนับสนุนการดัดแปลงพันธุกรรม
ทั้งที่มันเป็นการฝืนธรรมชาติอย่างรุนแรง
เพราะคนไม่ใช่สัตว์ ที่จะเกิดมาเพราะต้องการให้เป็นแบบนั้นแบบนี้ เลือกว่าจะออกมาขาว จะออกมาดำ จะออกมาตาฟ้า ตาม่วง หรือออกมามีแต่ข้อดี จนเพอร์เฟค เกินมนุษย์ ฉลาดล้ำโลก
ผมว่าปล่อยไป คนที่เกิดจากการดัดแปลง จะต้องควบคุมคนที่เกิดจากธรรมชาติเลือกให้แน่ๆ เพราะยังไงก็ด้อยกว่าทุกอย่าง ที่นี้แหละจุดจบของมนุษย์มาถึงแน่ๆ มีฝ่ายมนุษย์ดัดแปลง กับมนุษย์ธรรมชาติเลือกให้
มันเป็นกฎธรรมชาติอย่างหนึ่งเลยนะ
ไม่เกี่ยวกับศาสนาอะไรเลย
หรืออยากจะเป็นเหมือนสัตว์ในฟาร์มที่เกิดจากความต้องการจะใช้ประโยชน์
แทนที่จะเกิดมาเพื่อมีชีวิต
ปล.เคยหวังว่าคนใน Blognone จะมีความรู้ทุกคน แต่ก็นะใครที่มีมือก็พิมพ์ความฉลาด(เท่า)ที่มีอยู่ออกมาก็ได้
คน คือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมครับ
ปล. ของคุณพูดถูกจริงๆ ครับ
เรื่องฝืนธรรมชาติผมมองว่ามนุษย์เราฝืนมาเป็นพันปีแล้วครับ ไม่งั้นป่านนี้คงมีอายุเฉลี่ยกันแค่ 20-30 เองมั้ง
ผมเห็นด้วยกับ ปล. ของคุณมากครับ เป็นตัวอย่างที่ดีจริงๆ
ถ้าอย่างนั้นเราไม่ควรผลิตยาหรือพัฒนาวิธีเพื่อรักษาโรคเลย เพราะมันเป็นการฝืนธรรมชาติ ฝืนกฎการคัดสรรทางธรรมชาติ ในกรณีนี้คุณมีความเห็นว่ายังไงครับ
มันไม่ใช่การฝืนธรรมชาติครับ อะไรคือธรรมชาติ อะไรคือฝืนธรรมชาติกัน
ถ้าอ้างอิงแบบนั้นเราสามารถตัดต่อพันธุกรรมสัตย์จนเพอร์เฟคเกินมนุษย์ฉลาดล้ำโลกได้งั้นหรือครับ?
อันนี้มีความเป็นไปได้สูงอยู่ เห็นด้วยครับ
สงสัยอีกที กฎธรรมชาติอันนี้คืออะไรนะครับ?
ผมไม่ได้อยู่ข้างไหนในเรื่องนี้นะครับ ไม่ได้สนับสนุนแต่ก็ไม่ได้ต่อต้านเช่นกันเพราะผมไม่มีความรู้มากพอที่จะตัดสินหรือออกความเห็นในตอนนี้ แต่ขอออกความเห็นเรื่องธรรมชาติสักหน่อย (จะพยายามรวบๆ เพราะงั้นมีที่ดูข้ามๆ ไปเยอะนะครับ)
หลังจากจักรวาลนี้เกิด (ไม่ว่าจะด้วยบิ๊กแบงค์หรืออะไรก็ตาม) ด้วยสภาพมิติต่างๆ ที่เป็นอยู่ในจักรวาลนี้บีบให้อนุภาคทั้งหลายมันเริ่มเกาะกัน รวมตัวกันเพื่อให้เสถียรไปตามสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติเพื่อให้อยู่รอด เกิดเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ไปเรื่อยๆ รวมจนใหญ่ ระเบิด รวม ระเบิด ฉีก แล้วแต่ที่ไหนจะเสถียรแบบไหนก็ทำตัวเองให้เสถียรและอยู่รอดในธรรมชาตินั้น แม้คำว่า "ทำตัวเองให้เสถียร" นั้นจะเป็นการถูกบังคับจากธรรมชาติให้เปลี่ยนแปลงอยู่ฝ่ายเดียวก็ตาม
จนมาเกิดระบบดาว แล้วมีที่จุดนึงมีสสารกลุ่มหนึ่งเกิดกระโดดข้ามภาวะที่ถูกธรรมชาติบังคับอยู่ฝ่ายเดียว มาเป็นสิ่งที่เริ่มถ่ายทอดความเหมือนได้อย่างสิ่งมีชีวิต (และผมอยากรวมไปจนถึงไวรัส ไวรอยด์ พรีออน อะไรพวกนั้นด้วย) แทนที่สสารกลุ่มนี้จะเกิดเหตุแบบ อ่ะ เจ้าอยู่กับสภาพธรรมชาติตรงนี้ไม่ได้แล้วนะ ต้องถูกเปลี่ยนเป็นแบบนี้แล้ว (เช่น การเปลี่ยนแปลงจากธาตุหนึ่งไปอีกธาตุหนึ่ง หรือการรวมตัวกันเป็นสารประกอบ) มาเป็น อ๊ะ ธรรมชาติเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ฉันเปลี่ยนเป็นแบบนี้แล้วฉันอยู่รอด
ถ้าถามผม การกำเนิดสิ่งมีชีวิตเองก็ถือว่าผิดธรรมชาติที่เคยเป็นมาก่อนหน้านั้นเหมือนกันครับ
เอ แล้วการเกิดจักรวาลนี้ที่เปลี่ยนธรรมชาติ เปลี่ยนลักษณะมิติจากทีเคยเป็นมาก่อนหน้านั้นก็ผิดธรรมชาติเหมือนกัน
ตอนสิ่งมีชีวิตเริ่มเปลี่ยนจาก copy ตัวเองมาเป็นสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศก็ผิดธรรมชาติก่อนหน้านั้นเช่นกัน
ยิ่งตอนสิ่งมีชีวิตเริ่มใช้เครื่องมือภายนอกร่างกายเพื่ออยู่รอดนี่ก็ผิดธรรมชาติไปอีก สิ่งมีชีวิตจำนวนมากมักต้องเอาตัวรอดด้วยร่างกายที่มี
ผมเคยแสดงความเห็นเรื่อง AI ไว้ประมาณว่า
และในลักษณะเดียวกัน เรื่องการดัดแปลงพันธุกรรมมนุษย์ผมเชื่อว่ามันเป็นการพยายามพัฒนาการ วิวัฒนาการ หรืออื่นๆ ไปนั่นแหละ และมันก็ไม่อาจผิดธรรมชาติไปได้เพราะเราเองก็เป็นธรรมชาติ
จะผิดได้ก็แค่วิธีดำเนินการและควบคุมนั่นแหละที่อาจไม่เป็นธรรมกับคนอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่เร็วเกินไปมีโอกาสที่จะพลาดเรื่องพวกนี้ได้สูงมาก
แต่การเปลี่ยนแปลงที่ช้าเกินไปก็อาจไม่ทันการเช่นกัน
ในอีกทางหากเราไม่ทำอะไรเลย สักวันหนึ่งมนุษย์ก็จะสูญพันธุ์จากการที่สิ้นผู้ชายไม่ว่าจะด้วยโครโมโซมเสียหายเกินไปหรือสเปิร์มขาดแคลน (ซึ่งจริงๆ ผมก็ไม่คิดว่าจะถึงขั้นสูญพันธุ์หรอกครับ มันต้องมีกลุ่มที่กลายพันธุ์แล้วอยู่รอดแหละ แค่จำนวนอาจจะหายไปเยอะ) หรือหากไม่สิ้นผู้ชายสายพันธุกรรมของผู้หญิงเองก็ลดลงอยู่ดี
และต่อให้ไม่เกิดอะไรกับการสืบพันธุ์เลย โลกนี้ก็อาจเปลี่ยนแปลงจนเรารับมือไม่ไหว หรือถ้าเรารับมือไหวสักวันดวงอาทิตย์นี้ก็จะเปลี่ยนไปจนดาวโลกไม่สามารถอยู่อาศัยได้อีก (ถ้าไม่มีวัตถุอันใดมาปาดไปก่อนน่ะนะครับ)
ถึงตอนนั้นแล้วหากเราไม่สามารถทำอะไรได้เลย ไม่สามารถดำรงเผ่าพันธุ์ (ที่ลูกหลานผมนับทั้ง AI หรือสิ่งมีชีวิตอื่นที่ดัดแปลงพันธุกรรม) การวิวัฒนาการมาทั้งหมดของระบบสุริยะก็อาจสูญเปล่าไปกับเวลาไม่รู้กี่ล้านปีเลย สูญไปแบบไม่เหลืออะไรและเปล่าประโยชน์
ก็ไม่ผิดหรอกครับที่จะสูญไปหมดเลย แต่ผมก็เสียดายแหละที่ปล่อยให้มันจบลงเหมือนกับระบบดาวอื่นๆ ที่ไม่มีสิ่งมีชีวิต ทั้งที่สิ่งมีชีวิตในระบบดาวของเรา (ซึ่งจริงๆ ก็อาจมีต้นกำเนิดมาจากที่อื่นอีกที) แหกความเป็นไปของธรรมชาติมาได้นับครั้งไม่ถ้วนไปก่อนแล้วแต่ไม่อาจแหกจุดจบสามัญได้
"มันไม่ใช่การฝืนธรรมชาติครับ อะไรคือธรรมชาติ อะไรคือฝืนธรรมชาติกัน" คุณบอกว่าไม่ใช่การฝืนธรรมชาติ ถ้าอย่างนั้นอะไรถึงจะถือว่าฝืนธรรมชาติครับ
ไม่มีครับ
ถ้าฝืนธรรมชาติไม่มี ไม่ฝืนธรรมชาติก็ที่คุณพูดถึงก็จะไม่มีตามไปด้วย
ก็ใช่ครับ
การตัดต่อพันธุกรรมมนุษย์ ทำให้สิ่งที่ได้ออกมาคือ "มนุษย์" ที่ตัดต่อพันธุกรรมแล้วนะครับ
อาจจะดีกว่ามนุษย์ที่ไม่ได้ตัดต่อพันธุกรรม ทุกอย่าง
ถ้าสุดท้ายแล้วจะต้องสู้ให้ตายกันไปข้าง ระหว่าง มนุษย์ สองฝั่งนี้ ก็ยังคงเหลือมนุษย์อยู่ดีครับ ไม่มีทางเป็นจุดจบ
ยกเว้นแต่ว่าการตัดต่อนี้ ไปรบกวนธรรมชาติ มนุษย์ที่ถูกตัดต่อนี้ไปสู้กับธรรมชาติ อันนั้นแหละครับ จุดจบของมนุษย์จริง ๆ
ซึ่งทุกวันนี้ไม่ต้องตัดต่อ เราก็ไปสู้กับธรรมชาติอยู่แล้ว เหมือนจะเอาชนะได้ แต่สุดท้ายแล้ว ธรรมชาติก็เอาคืนโหดขึ้นเรื่อย ๆ
ถ้าด้วยเหตุผลนี้ผมว่า มันดูฟังขึ้นกว่ามากนะครับ
หรืออาจจะเป็นว่ามนุษย์ที่ตัดต่อให้ต่อต้านเชื้อโรคได้ทุกอย่าง สุดท้ายแล้ว เชื้อโรคมันจะวิวัฒนาการตัวเองให้แข็งแกร่งขึ้น จนมนุษย์ที่ไม่ได้ตัดต่อไม่มีทางต้านทางเชื้อโรคนั้นได้จนตายไปหมด เช่นเดียวกันมนุษย์ตัดต่อนั้น ก็เริ่มป่วยเหมือนเดิมอะไรแบบนี้เป็นต้นครับ
สิ่งนึงที่ผมอยากให้คำนึง กรณีที่อาจจะเกิดขึ้นได้ คือมนุษย์ตัดต่อพันธุกรรม ยังคงเป็นมนุษย์ครับไม่ใช่สัตว์ประหลาดที่ไหน
และถ้าเรากับเค้าต่างก็เป็นมนุษย์มันก็ไม่ได้ง่ายที่จะฆ่ากัน แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เราคิดว่าอีกฝ่ายไม่ใช่มนุษย์นี่ ฆ่ากันง่าย ๆ เลยครับ
เพื่อนผม แข็งแรงไม่ป่วย เล่นกีฬาเก่งกว่าผม เล่นดนตรีก็เก่งกว่า หน้าตาดีกว่า เรียนก็เก่งกว่าอีก เรียกได้ว่ายีนส์เด่นเน้น ๆ เลย
มันก็ยังคบผมเป็นเพื่อนนะครับ ไม่ได้คิดจะมากำจัดผม หรือมาปกครองอะไรผม???
"ทุกวันนี้ไม่ต้องตัดต่อ เราก็ไปสู้กับธรรมชาติอยู่แล้ว" ต้องย้ำประโยคนี้ดีๆ
การ "สู้" กับธรรมชาติในช่วงสองร้อยปีที่ผ่านมา เรามีบทเรียนมากมาย การทำบ้าๆ บอๆ (ด้วยสายตาวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน) นั้นโหดร้ายและไร้ประโยชน์ได้อย่างไม่น่าเชื่อ ยกตัวอย่างเช่นการผ่าตัด Lobotomy ที่สุดท้ายเลิกไป
กระบวนการที่ทำให้ช้าด้านการแพทย์ทั้งหลายเรียนรู้จากประสบการณ์ก่อนหน้าให้เราระวัง ทดสอบผลดีอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่ทำเพราะเรา "ทำได้" เช่นผ่าดัดบางอย่างผ่าแล้วคนไข้ไม่ตาย แต่คุณภาพชีวิตแย่ลง โรคที่จะรักษาก็ไม่ได้รักษา
กรณีข่าวนี้ ไม่ว่าจะสนับสนุนการตัดต่อพันธุกรรมมนุษย์หรือไม่ ต้องย้ำว่า He นั้นทำไปโดยไม่ได้ทดสอบว่าเด็กน่าจะมีภูมิป้องกันโรคจริงหรือไม่ และไม่ระวังว่าจะสร้างโรคพันธุกรรมขึ้นมาใหม่รึเปล่า
ไม่ใช่แต่ว่าเด็กที่ออกมาเป็นมนุษย์ที่อาจจะดีกว่าอย่างเดียว แต่เราอาจจะสร้างคุณสมบัติไม่ถึงปรารถนาด้วยตัวเอง และแพร่กระจายไปในอีก 10-100 ชั่วคนข้างหน้าจนกว่าการตัดเลือกตามธรรมชาติจะคุม DNA ที่เราสร้างไว้ได้
แล้วถ้าไม่มีการควบคุม เราจะสร้าง DNA แบบแปลกๆ ไปเรื่อยๆ อาจจะสร้าง combination บางอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นจริงตามธรรมชาติโดยไม่มีใครรู้ว่าสุดท้ายจะได้ผลอะไร ออกผลเมื่อไหร่ ฯลฯ
lewcpe.com, @wasonliw
ถ้ามองมุมที่คุณพูด
มนุษย์ฝืนธรรมชาติตั้งแต่มี วัคซีน แล้วมั้งครับ
การฝ่าฝืน Natural Selection อีกข้อนึงที่ผมนึกออกนะครับ
ผ่าคลอดครับ
อันนี้ถือว่าเป็นการฝืนกฎธรรมชาติด้วยมั้ยอ่ะครับ
โดยกลไกของ DNA duplication ตามธรรมชาติมนุษย์เราก็สร้าง DNA sequence แปลกๆ ขึ้นทุกวันอยู่แล้ว ตั้งแต่กระบวนการสร้าง germ cell ซึ่งต้องอ่าน DNA sequence เป็นล้านและต้องสร้างใหม่อย่างรวดเร็วก็ทำให้เกิด error ในตัวของมันเองอยู่แล้ว (แม้จะมีตัวที่มี proof reading มาอีกที ก็มี error ได้ตลอด) การที่มี random error ทีละเล็กละน้อยเป็นการเพิ่ม genetic diversity ในประชากร ในภาพรวมทำให้เรารับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมได้ดีขึ้น แบบเดียวกับ Sickle cell anemia หรือ CCR5 delta32 mutation ซึ่งก็มีคนที่มี mutation ตัวนี้ในประชากรอยู่แล้ว ไม่ใช่ของที่ไม่เคยมีมาก่อน
ดังนั้นมนุษย์ทุกคนต้องเป็น carrier ของ mutated gene คนละเล็กละน้อยนั้นเป็นเรื่องปกติ (และจำเป็นมากเพื่อคง genetic diversity ในประชากร) เรื่องนี้เรารู้กันดีอยู่แล้ว ไม่ใช่ของแปลกประหลาด (เพียงแต่ถ้า error ไปเกิดในจุดที่สำคัญเช่น cell cycle checkpoint มันก็กลายเป็นโรครุนแรงไป)
สิ่งที่นักวิจัยทำคือ แก้ sequence ในตำแหน่งที่ต้องการ เพื่อวัตถุประสงค์บางอย่าง (กรณีนี้คือลดการติดเชื้อ HIV) ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่แย่ ปัญหาของกรณีนี้จึงไม่ใช่เพราะตัดต่อพันธุกรรม ที่นักวิจัยโดนเยอะขนาดนี้เพราะทำไปโดยไม่รอบคอบ ไม่ได้วางแผนให้รัดกุม ไม่ได้ทดสอบว่าได้ผลจริงหรือไม่ การกระทำแบบนี้ทำให้เห็นว่าขาด Moral อย่างชัดเจน
ในทางการแพทย์ กระบวนการรักษาทุกอย่างมีคนคิดขึ้นมาใหม่ๆ อยู่เสมออยู่แล้ว ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ การใช้ CRISPR-Cas9 ในการแก้ไขพันธุกรรมโดยตรงแบบเดียวกับที่นักวิจัยท่านนี้ทำ ยังมีโรคอื่นๆ อีกมากที่เป็นระดับพันธุกรรมที่ไม่มีทางรักษาด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบัน หรือการรักษาด้วยวิธีปัจจุบันนั้นมีราคาที่แพงมาก
ทุกวันนี้คนที่เป็นพาหะธาลัสซีเมียจำนวนมากยังคงแต่งงานกันเอง (เพราะตอนจีบกันไม่ได้ไปตรวจ genetics กันมาก่อน) และพอจะมีลูกก็รู้ว่าลูกจะมีความเสี่ยงสูงมากที่จะเกิดเป็น severe form ของโรคนี้แต่ ก็ไม่สามารถที่จะต้านทานความต้องการที่จะมีลูกของตัวเองได้ เพราะกลัวว่าจะมีชีวิตครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์บ้าง กลัวไม่มีคนเลี้ยงดูตัวเองตอนแก่บ้าง ฯลฯ ซึ่งถือเป็นปัจจัยส่วนบุคคล จะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ พวกเค้าไม่มีสิทธิ์ทำเพื่อตัวเองเลยหรือ พวกเค้าไม่มีสิทธิ์ที่จะเห็นแก่ตัวในเรื่องนี้ แล้วนั่งมองคนอื่นมีลูกเลี้ยงตอนตัวเองชรา ? แล้วมีวิธีใดบ้างที่จะช่วยลดความเสี่ยงตรงนี้ได้ ถ้าไม่ทำการแก้ไขพันธุกรรมที่ตัวอ่อน เราก็จะต้องมีเด็กแบบนี้เกิดขึ้นมาไปตลอด
ขอแสดงความคิดเห็นแบบชัดเจนว่า เกลียดความคิดที่ว่า "คนไม่ใช่สัตว์" ทั้งที่มนุษย์กลุ่มนี้เป็นแค่สัตว์ที่มี "Cognition และ abstract thought" ที่ดีกว่าสัตว์อื่นๆ นิดหน่อย แต่ชอบคิดว่าตัวเองประเสริฐกว่ามาก และเกลียดความคิดที่ว่า คนอื่นฉลาดไม่เท่ากับตน สิ่งที่ตนคิดนั้นฉลาดล้ำโลกไปมาก แม้จะไม่ได้พูดออกมาตรงๆ ก็ imply จากประโยคที่ว่า "เคยหวังว่าคนใน Blognone จะมีความรู้ทุกคน แต่ก็นะใครที่มีมือก็พิมพ์ความฉลาด(เท่า)ที่มีอยู่ออกมาก็ได้" ซึ่งเท่ากับบอกว่า ยิ่งพูดยิ่งแสดงความโง่ออกมา
ทุกวันนี้ คนที่มีความได้เปรียบมากกว่านิดหน่อย ก็เป็นผู้ควบคุมคนที่ด้อยกว่าอยู่เป็นสิ่งที่เป็นปกติในสังคม คนที่มีหน้าตาสมมาตรกว่าก็เป็นที่หมายปองของส่วนใหญ่ทำให้อยู่ในสภาวะเลือกได้ คนที่มีสมองดีกว่าก็สามารถที่จะเก็บทรัพยากรณ์ได้ไวกว่า คนที่มีสายป่านยาวกว่าก็สามารถทุ่มตลาดให้คู่แข่งรายย่อยไม่ได้เกิด เรื่องแบบนี้สามารถเกิดขึ้นได้โดยไม่ต้องมีเรื่องตัดต่อพันธุกรรมมาเกี่ยวข้องใดๆ ด้วยซ้ำ
คนกลุ่ม elite เหล่านี้เค้าเข้าถึงการรักษา เทคโนโลยีใหม่ๆ ฯลฯ ได้ก่อนคนทั่วไปเป็นเรื่องปกติ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ "คนทั่วไปสามารถวิจารย์ได้แต่ไม่มีวันเปลี่ยนได้" ไม่ว่าจะใช้ระบบแบบไหน คนก็มีช่องว่างระหว่างกัน เพราะในความเป็นจริง ไม่เคยมีใครเกิดมาเท่าเทียมกัน และมันไม่เคยมีความเท่าเทียมกันจริงๆ มันมีแต่ "ความพยายามจะทำให้ช่องว่างนี้ลดน้อยลง" การดัดแปลงพันธุกรรมโดยเสรีจะยิ่งทำให้ช่องว่างตรงนี้มีความห่างออกไปมากขึ้น แต่มันก็จะมีจุดสมดุลใหม่ๆ เกิดขึ้นมาเองเสมอเพียงแต่ที่จุดใหม่นั่น มนุษย์จะยอมรับได้มั้ยนั่นเป็นอีกเรื่อง
ปล. ผมคิดว่าผมจะโดนแบนจากการตอบโพสต์นี้ แต่จะไม่ทำอะไรเลยก็รู้สึกผิดในใจ ว่าปล่อยให้ผลจากการขาด Moral ของนักวิจัยคนนึง ไปทำทำลายเทคโนโลยีที่จะเป็นความหวังของใครอีกหลายคนไม่ได้ จะด้วยเพราะไม่เข้าใจเรื่อง genetics diversity หรือจะด้วย ความกลัว อคติ อื่นๆ ในวันที่ผมต้องเจอคนที่ป่วยด้วยโรคทางพันธุกรรม คนที่แทบล้มละลายด้วยค่ารักษา คนที่นั่งร้องไห้ต่อหน้าพวกเราว่า ทำไมต้องเป็นตัวเค้า ทำไมเค้าถึงต้องเกิดมาแบบนี้ ทำไมถึงต้องห้ามเค้ามีลูก คุณจะไม่มีทางพูดคำพูดหล่อๆ แบบที่คุณพูดออกมา จะไม่มีเลยแม้แต่จะคิด
คุณจะรู้ตัวไหมนะว่า ปล. ที่คุณพิมพ์มาน่ะ มันเข้าตัวคุณเองเน้น ๆ เลย
That is the way things are.
ตามหา @LasPersonas ฮะ
ผมว่าก่อนจะไปถึงขั้นที่ว่า ตัดต่อแล้วดีขึ้นหรือยังไง
เอาแค่หลักมนุษยธรรมก่อนไหมครับ
มันไม่เหมือนกับการทดลองยาในมนุษย์ ที่คนมีสิทธิ์เลือกว่าจะเข้ารับการทดลองหรือไม่
นี่เด็กที่เกิดมาเค้ามีสิทธิ์เลือกไหม แล้วอนาคตเค้าจะสามารถมีชีวิตรอดได้ไหม เค้าจะมีอาการแทรกซ้อนอะไรหรือเปล่า
ผมว่ามันก็ต้องผ่านขั้นตอนว่า"ตัดต่อแล้วดีขึ้นหรือยังไง"ก่อนนะครับ ถึงจะไปตอบคำถามด้านมนุษยธรรมได้ พวกคำถามว่า "แล้วอนาคตเค้าจะสามารถมีชีวิตรอดได้ไหม เค้าจะมีอาการแทรกซ้อนอะไรหรือเปล่า" อันนี้ผมถือว่าเป็นสับเซตของคำถาม "ตัดต่อแล้วดีขึ้นหรือยังไง" นะ
ส่วนเรื่องสิทธิ์เลือก ถ้ากระบวนการวิทยาศาสตร์พิสูจน์แล้วว่ามันมีข้อดีเยอะกว่าข้อเสียมากๆ เราเลือกให้เด็กได้เลยครับ คล้ายๆกับกรณีวัคซีนนี่แหละ
ต้องเข้าใจก่อนว่า นี่มันคือ “การวิจัย” นะครับ ไม่มีอะไรการันตีว่า การตัดต่อพันธุกรรมที่ “สำเร็จ” ตามงานวิจัย มันจะให้ผลลัพธ์ตามที่คาดจริงๆ หรือจะไม่มีผลข้างเคียงใดๆ คนที่ผ่านการตัดต่อมาจะมีชีวิตยืนยาวไหม
วัคซีนสมัยนี้เขาก็ทดลองกับอาสาสมัครก่อน จนมันแน่นอนแล้วว่าผลข้างเคียงไม่มีหรือต่ำมาก เขาถึงให้นะครับ
โลกเรามันผ่านยุควัคซีนฝีดาษมาไกลแล้วนะครับ ประเด็นคือ การทดลอง มันต้องผ่านการ “ยินยอม” ก่อนนะครับ เช่นโรคที่รักษาไม่หาย ผู้ป่วยไม่มีทางเลือกอื่น จนยอมเสี่ยง และรับรู้ความเสี่ยงนั้นๆ
กรณีนี้ เด็กที่เกิดมา ไม่มีโอกาสเลือกเลย
ขอโทษที่สื่อสารผิดครับ ผมไม่ได้หมายถึงงานวิจัยชิ้นนี้ อันที่จริงผมไม่อยากเรียกมันว่าการวิจัยด้วยซ้ำไป
ปูเสื่อ ต้มมาม่ารอ
เกิดมาเลือกไม่ได้ ยังโดนผู้ใหญ่ควบคุมยีนส์มาตั้งแต่เกิดอีก
ส่วนตัวคิดว่าผลกระทบบางอย่างก็ไม่น่ามองข้ามอย่างกลายเป็นพาหนะนำโรคชนิดใหม่ เช่น ซอมบี้
เดี๋ยวนี้โลกมันหมุนไปเร็วกว่าที่คิดนะ แม้กระทั่งการวิวัฒนาการของมนุษย์เอง
การวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตมันต้องใช้เวลาเป็นพัน ๆ ปี กว่าจะเห็นชัดเจนว่าวิวัฒนาการไปเป็นอย่างไร
และอีกอย่าง ถึงจะให้รอกฎธรรมชาติมาเปลี่ยนให้ ก็ไม่รู้ว่ามันจะเป็นไปอย่างที่ต้องการหรือเปล่า
มนุษย์จึงอยากจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วที่สามารถเห็นผลให้ได้ภายในคนรุ่นเดียวไง
ลองคิดเล่น ๆ นะ ถ้าถึงคราวที่มนุษย์ย้ายถิ่นฐานกระจายกันไปยังดาวอื่น ๆ ในเอกภพ (โดยที่ไม่ตัดต่อพันธุกรรมอะไรนะ)
แล้วพอผ่านไปเป็นพัน ๆ หมื่น ๆ ปี ให้ลูกหลานมนุษย์ที่อยู่ดาวอื่น กลับมาผสมพันธุ์กับมนุษย์โลกดั้งเดิม
ผมว่าคงจะผสมพันธุ์กันไม่ได้แน่ ๆ (คิดว่าโครโมโซมไม่เท่ากัน)
เพราะว่าสิ่งแวดล้อมในดาวแต่ละดวงไม่เหมือนกัน มนุษย์จึงปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมนั้นเสมอ
สายพันธุ์ Homo sapiens ที่เป็นเคยเป็น Master Branch ก็จะถูก Fork แยกออกไปเป็นหลาย ๆ สาย
หน้าตาก็คงจะเปลี่ยนไปเป็นเอเลี่ยนหลาย ๆ เผ่าเหมือนในหนัง Star Wars ก็ได้
และการที่มนุษย์รู้สึกกลัวต่อการเปลี่ยนแปลงมันไม่ผิดหรอกครับ
ที่มนุษย์อยู่รอดมาได้ถึงทุกวันนี้ก็เพราะความกลัวทั้งนั้นแหละ (ง่าย ๆ ก็อย่างเช่นกลัวตายไง)
แต่ก็นั่นแหละครับ การจะออกจาก Comfort Zone ได้ มันก็จะทำใจยากหน่อยแค่นั้นเอง
ก็เร็วกว่าวิวัฒนาการของสิ่งไม่มีชีวิตมากแล้วนะครับ
เดี๋ยวนะ...
ผมพูดจริงนะครับ ? คือกว่าอนุภาคจะรวมกันจะมีนู่นมีนี่จนมีเป็นระบบดาวได้ก็นานมากแล้ว แล้วกว่าสิ่งไม่มีชีวิตบนดาวจะเป็นสิ่งมีชีวิตได้อีก
แค่คำว่าวิวัฒนาการมันอาจจะไม่ตรงเท่าไหร่เอง แต่มันก็เป็นขั้นตอนมาเรื่อยๆ นี่แหละ
ประเด็นคือ ปัจจุบันมนุษย์เองยังไม่มีความเข้าใจถึงระดับครบถ้วนสมบูรณ์ในเรื่องการแสดงออกของยีน ด้วยองค์ความรู้ปัจจุบันเราไม่สามารถทราบได้ 100% ว่าสิ่งที่พยายามทำลงไปจะไม่มีผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ใดๆ
และที่สำคัญสิทธิ์ของเด็ก (มนุษย์) คนนั้นที่ต้องรับความเสี่ยงตรงนี้ที่ไม่มีทางได้เลือก ซึ่งทำไปไม่ใช่เพื่อการรักษาให้หายจากโรคร้าย แต่พยายามป้องกันในสิ่งที่ยังมีทางเลือกอื่นๆที่ทำได้และยังมีความเสี่ยงต่ำกว่ามาก ทำไม?
และสิ่งที่ทำจะไม่ใช่หยุดที่แค่เด็กในรุ่นนั้น เนื่องจากเป็นการดัดแปลงที่เซลล์ร่างกายทั้งร่างซึ่งรวมไปจนถึงเซลล์สืบพันธุ์ หมายความว่า ถ้าเด็กคนนั้นเติบโตขึ้น เค้ายังสามารถส่งต่อลักษณะทางกรรมพันธุ์(ทั้งดีและไม่ดี) ไปยังประชากรได้ตลอดไป
ซึ่งอย่างที่บอก สิ่งที่เคลมว่าป้องกันได้ ไม่ใช่ว่ายังไม่มีทางเลือกอื่นๆ ที่มีการพิสูจน์และใช้งานแล้วและค่อนข้างมั่นใจว่ามีผลข้างเคียงน้อยกว่ามาก แล้วทั้งๆที่รู้อย่างนั้น จะทำให้คนกลุ่มนั้นแบกรับความเสี่ยงที่ตัวเองไม่มีสิทธิ์แม้แต่เลือกทำไม?
จำเรื่อง DDT ได้รึเปล่า สมัยก่อนนักวิทยาศาสตร์ก็คิดว่าดีมาก ถึงขนาดเอามาพ่นใส่ตัวคนประหนึ่งสเปรย์ไล่ยุงในปัจจุบัน แต่พอรู้ถึงพิษภัยต่อสิ่งมีชีวิตอื่นๆและต่อมนุษย์ สมัยต่อมาก็แบนกันจ้าละหวั่น
ประเด็นคือ ในกรณีนี้ถ้ามันเกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์และแพร่ในกลุ่มประชากร ใครจะรับผิดชอบ ทั้งชายคนนี้รวมถึงพ่อแม่ของเด็กสองคนนั้น จะรับผิดชอบกันอย่างไร? จะไปไล่ทำหมันเค้ารึ?
ที่นาซี ทดลองมนุษย์ มันไม่มีปัญหา เพราะตัวเองไม่ได้ถูกทดลองไง
คนจีนคนนี้ ยอมให้ตัวเองถูกทดลองเปล่า
สำหรับผมทุกอย่างที่มนุษย์และสัตว์ต่างๆสามารถทำได้ในขอบเขตความรู้ของตน ถือว่าเป็นธรรมชาติทั้งหมด ไม่มีอะไรผิดธรรมชาติ ธรรมชาติมอบความรู้ให้สามารถทำได้แค่ต้องรอเวลาสะสมองค์ความรู้เท่านั้น
ซักวันหนึ่ง เมื่อมนุษย์พัฒนาเทคนิคการตัดต่อจนได้ผล 100% และสามารถถอดรหัส dna มนุษย์จนรู้อย่างถ่องแท้ว่าตรงไหนคืออะไร การตัดต่ออาจจะกลายเป็นเรื่องธรรมดาๆไปก็ได้
แต่ที่ทำตอนนี้้หมือนทำส่งเดชไป โดยหวังเอาว่าที่ตัดไปตรงนี้มันจะใช่ โดยใช้ชีวิตมนุษย์คนหนึ่งเป็นเครื่องทดสอบ