รัฐบาลจังหวัดโอซาก้ากลับมาอนุญาตให้เปิดร้านอาหาร, บาร์, คาเฟ่, โรงภาพยนตร์, พิพิธภัณฑ์, ไปจนถึงร้านปาจิงโกะ สามารถลงทะเบียนเพื่อรับ QR ประจำร้านเพื่อไปติดให้ผู้ที่มาใช้บริการสามารถเช็คอินได้แบบเดียวกับไทยชนะของไทย
กระบวนการทั้งหมดเป็นไปแบบสมัครใจ โดยตัวผู้ใช้บริการเองก็สามารถลงทะเบียนด้วยอีเมลเท่านั้น
ทางรัฐยังไม่แจ้งว่าหากพบผู้ติดเชื้อไปใช้งานช่วงเวลาเดียวกันแล้วจะมีมาตรการอย่างไร แต่บอกเพียงว่าผู้ที่ใช้บริการเวลาเดียวกันจะได้รับการแจ้งเตือนทางอีเมล เพื่อให้ติดต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยกระบวนการแจ้งเตือนแบ่งออกเป็นการแจ้งเตือนธรรมดาที่ไม่บอกข้อมูลจุดที่พบผู้ติดเชื้อ, ชื่อสถานที่, หรือวันเวลา และการแจ้งเตือนแบบระวังการเกิดคลัสเตอร์ใหม่ที่จะแจ้งชื่อสถานที่ พร้อมกับวันเวลามาด้วย
ที่มา - Japan Times, Osaka Prefecture
Comments
โอซาก้าชนะ...
เด็ดตรงไม่บังคับ
เด็ดตรงทำเหมือนเป็นแอปแก้บน เนี่ยแหละครับ
ทำเพื่อจะได้บอกได้ว่าทำแล้ว แต่ได้ผลไม่ได้ผลไม่รู้ เพราะไม่กล้าบังคับ
ผับบาร์ ปาจิงโกะ ไม่กล้าปิด แม้กระทั่งชื่อของกิจการที่ไม่ให้ความร่วมมือก็ยังไม่กล้าประกาศ
สไตล์ญี่ปุ่นแท้ๆเลย
ไม่บังคับแล้วทำมาทำไมครับแอปแบบนี้ หรือทำให้เห็นว่าทำแล้ว เปลืองงบเปล่าๆ
อาจจะเหมือนยุโรป เท่าที่ฟังนักวิชาการวิเคราะห์ยุโรปรายการนึงของบ้านเราบอกว่า คนยุโรปหรืออเมริกาไม่เหมือนเราที่โตแล้วต่างคนต่างอยู่ไม่ได้อยู่เป็นครอบครัวและวัฒนธรรมที่ต่างกัน ไม่ได้มีความผูกพันธ์มากมายอะไร คนส่วนมากก็เป็นผู้สูงอายุ เลยถูกมองว่าเป็นภาระมากกว่า เศรฐกิจเลยถูกมองว่าสำคัญกว่าเพราะคนหนุ่มสาวโอกาศเสียชีวิตต่ำ แต่เขาไม่ได้พูดถึงคนยี่ปุ่น
การไม่บังคับอาจมีนัยยะแฝง อยากรักษาผลประโยชน์ตัวเองใช้ ไม่ใช้ก็ไปรุ้นเอาว่ามีอาการณ์ตอนใหน คนสูงอายุอาจไม่ใช้แอป
เพราะว่ามันมีคน "จำนวนมาก" อยากไปตรวจหากตัวเองเสี่ยงครับ เมืองไทยเองก็มีคนจำนวนมากเรียกร้องให้เปิดเผยสถานที่เพื่อให้รู้ว่าเสี่ยงกันไหมจะได้ไปตรวจกันได้ อย่างของญี่ปุ่นเขามีเกณฑ์ชัดว่าอย่างไหนถึงจะเรียกว่า cluster แล้วเปิดเผยสถานที่ (พื้นที่ใหญ่ คนติดเยอะเกินเกณฑ์)
พวกนี้ต้องคิดว่ามันไม่มีใครอยากติดเชื้อแล้วอยู่บ้านแพร่เชื้อด้วย
ของเราบังคับแล้ว เชื่อหรือครับว่าประสิทธิภาพ (ต่องบ) ดีกว่าเขา
lewcpe.com, @wasonliw
ผมไม่เชื่อครับผมรอดูผล แต่รู้ว่าอย่างนึงความรับผิดชอบต่อสังคมของคนไทยกับญี่ปุ่นต่างกัน เอาที่ผมสังเกตุช่วงแรกๆ 7-11 แถวบ้านผมไม่ได้เข้มมากไม่มีคนเฝ้าให้ลงชื่อ หรือแสกน แต่มีป้ายกับ qr อยู่คนก็เดินเข้าโดยไม่สนใจมันเลย ช่วงหลังมีคนเฝ้าถึงได้ลงชื่อ/แสกนกัน ถ้าบังคับแล้วช่วงปลดล็อกตัวเลขคนติดเชื้อไม่เพิ่มขึ้นมากผมก็พอใจละ
เวลาสแกนแล้วมันไม่ได้สร้างบาเรียร์ขึ้นมาป้องกันไวรัสครับ การบอกว่าบังคับสแกนแล้วตัวเลขไม่เพิ่มนี่คนละเรื่อง ผมยังไม่เคยเห็นรายงานการตามตัวจากไทยชนะแม้แต่ครั้งเดียวเลย
ประสิทธิภาพมันจะเห็นจริงตอนเราตามคนมาตรวจได้ครบถ้วน ซึ่งตรงข้ามคือถ้าเกิดเหตุขึ้นมาจริงๆ แล้วระบบติดตามตัวที่มีประสิทธิภาพจะช่วยให้ตัวเลขมันพุ่ง เพราะตามตัวได้ครบ
lewcpe.com, @wasonliw
เป้าหมายของไทยชนะมันไม่ใช่จำกัดจำนวนผู้ใช้บริการของสถานที่หรอครับ ส่วนเรื่องแจ้งเตือนหรือรายงานตัวอันนี้ผมก็ไม่ทราบว่ามีหรือไม่เพราะในเว็ปก็ไม่ได้มีบอกไว้ แต่เหมือนเน้นไปที่การให้ผูประกอบการสามารถเปิดให้บริการได้มากกว่า มีขอนึงที่เขียนว่า Q : ผู้ใช้ check-in แต่ไม่ check-out จะเกิดอะไรขึ้น A : กิจการ/กิจกรรมนั้น ๆ จะมียอดสะสมของผู้เข้าใช้บริการจำนวนมาก ซึ่งอาจเกินกว่ากำหนด ส่งผลให้มีผู้ใช้บริการหนาแน่นได้ ซึ่งนำไปสู่การไม่อนุญาตให้เปิดบริการได้
ไม่ใช่ครับ สถานที่เต็มก็เข้ากันเยอะแยะครับ เข้าแล้วเช็คอินไม่เช็คเอาท์สถานที่ก็เต็มแล้วครับ อย่าง 7-11 นี่เต็มบ่อยมากที่ๆที่ไม่มีคนเลย
Russia is just nazi who accuse the others for being nazi.
someone once said : ผมก็ด่าของผมอยู่นะ :)
"ถ้าใช่" ก็กากมากครับ ไม่ต้องรอดูผลเลย ไม่มีระบบ management ของร้านค้า
คำโฆษณาแรกของไทยชนะ คือการแจ้งเตือน ใครถูกเตือนได้ตรวจฟรีครับ
lewcpe.com, @wasonliw
ถ้าไม่บังคับใช้ อย่าทำเลยดีกว่า เปล่าประโยชน์
บ้านเราก็ไม่บังคับนะ ..... แต่ใช้วิธีให้สิทธิโทรเรียกให้มาตรวจฟรีแทน แปลว่าใครไม่ scan หรือใช้เบอร์ปลอม ก็ไม่ได้สิทธิตรวจฟรี
รัฐไม่บังคับนะถูกแล้วครับ กฎหมายระดับประเทศยังขอความร่วมมือมาตลอด จะให้กฎหมายระดับจังหวัดบังคับมันก็แปลกๆ
แล้วที่นั้นรัฐไม่บังคับก็ไม่ได้หมายความว่า "ชุมชน" จะไม่บังคับกันเองนะครับ
"สแกน" ครับ ไม่ใช่ "แสกน"
คาร์เฟ่ => คาเฟ่
ถ้าไม่บังคับ พอมีเรื่องก็ตามมาได้แค่คนที่เช็คอิน คนที่ไม่เช็คอินก็แพร่เชื้อต่อไป ไม่รู้ใคร ตามไม่ได้
ถ้าเป็นที่ไทย ก็จะมีคนบ่นยุ่งยาก, คิดว่าคนมีอีเมล์กันทุกคนหรอ ฯลฯ
คงไม่ต้องใช้คำว่า ถ้า เพราะตอนนี้ที่ไทยก็บ่นกันแบบนั้นไปแล้วครับ
ขนาดพิธีกร ยูทูบเบอร์ชื่อดังยัง เอากลวิธีการหลบหลีกการเช็คอิน มาพูดเล่นกันขำขันเลยครับ 555
มันมีวิธีการมากมายทำให้คนแลกความเป็นส่วนตัวบางอย่างเพื่อแสกนเนอะ เช่นถ้าคุณให้ข้อมูลนะ ระบบส่งแจ้งมา ในนั้นมีรหัสเพื่อนำไปตรวจได้ฟรีหากเกิดเหตุ อะไรแบบนั้น ไม่ใช่ขอไปก่อน เหมือนให้เปล่าไปเฉยๆ ไม่บอกว่าหลังจากให้ไปแล้วสิทธิ์ต่างๆ ในข้อมูลและผลประโยชน์มีอะไรบ้าง (เหมือนเซ็นเช็คเปล่าไป)
ส่วนว่าทุกคนมีอีเมลไหม ก็ต้องถามว่าเราสมัคร play store หรือ apple id กันยังไงไม่มีอีเมล แล้วอีกอย่าง หากคิดว่าเออ ไม่เอาอีเมลอย่างเดียวก็ได้ เอาเบอร์โทรศัพท์ก็ได้ ก็ให้คนให้ข้อมูลเค้าเลือก จะให้อีเมลหรือเบอร์โทรศัพท์ เผลอๆ คราวนี้คนใช้อีเมลกันเยอะขึ้น เพราะไม่อยากให้เบอร์โทรศัพท์ก็ได้นะ เพราะอย่างน้อยๆ อีเมลมันมีระบบป้องกัน spam ต่างๆ มากกว่าเบอร์โทรศัพท์มาก
ผมว่า แลกความเป็นส่วนตัวกับความปลอดภัยจากโควิทในชีวิต ก็เพียงพอแล้วนะครับ
ถ้าทุกคนคิดว่าความปลอดภัยคือผลประโยชน์ก็คงพอครับ แต่ยังมีหลายคนคิดว่าผลประโยชน์ต้องเป็นตัวเงินเนี่ยสิ ถ้าพูดว่าใช้แล้วได้ส่วนลดเป็นค่าตรวจ/ค่ารักษาอาจจะกระตุ้นความอยากใช้เพิ่มมากขึ้น
ลองแลกแบบในจีนไหมครับ ฮ่าๆ
สรุปคือเรื่องผลประโยชน์? ฮ่าๆๆ
คิดว่าทุกคนใช้สมาร์ทโฟน? คิดว่าทุกคนมีอีเมล? แนะนำให้คิดใหม่อีกทีครับ
สำหรับญี่ปุ่นผมไม่ทราบ แต่ถ้าบ้านเรา อีเมล์เป็นของหายากและติดต่อได้ยากยิ่งกว่าเบอร์โทรศัพท์เยอะครับ แล้วคนมีอีเมล์กี่เปอร์เซ็นต์ที่จะนั่งเช็คเมล์ตลอด
บ้านเราให้แสกน QR/เบอร์ ยังบ่นกันสารพัดเลย โทรศัพท์ไม่มีกล้อง, ไม่มีเนต, ไม่ใช่สมาร์ทโฟน, ไม่มีโทรศัพท์, ไม่อยากให้เบอร์ ฯลฯ
ถ้ามองว่าเชิงผลประโยชน์ มันก็แลกมากับความเป็นส่วนตัวเนอะ การแลกเปลี่ยนสิทธิ์ต่างๆ น่ะ ถ้าคุณโอเคก็ให้ไปแบบไม่เอาสิทธิ์อะไรก็ได้ ตรวจก็ออกเงินเองก็ได้ เพราะไทยชนะเค้าแจ้งว่าหากได้รับการแจ้งเตือนก็ได้ตรวจฟรี ซึ่ง ปชช บางส่วนเค้ายอมเพราะเค้าก็หวังหวยตรงนี้เผื่อไว้
ส่วนการบันทึกข้อมูลสถานที่ที่ไป มันมีวิธีที่พอจะทำให้ทุกคนทำได้บ้าง เช่นขอให้จดสถานที่ที่ไปมาบ้าง หรือตราประทับลงในแต่ละวันลงสมุดอะไรก็ว่าไป มีปัญหาก็ไล่เช็คตัวเองเอาจากสมุดมันก็พอไหวสำหรับคนไม่มีอุปกรณ์ อะไรแนวนี้
ว่าง่ายๆ ก็คิดเผื่อหลายๆ มุมให้ใช้ได้หลายแนวทางหลายกลุ่ม ปชช ซึ่งผมก็คิดว่ามีคนเสนอหลายแนวทางเพื่อให้ได้ทุกกลุ่มให้มากที่สุด และยังคงความเป็นส่วนตัวอยู่บ้างไม่มากก็น้อย
มันไม่เห็นผลประโยชน์ชัดเจนไงครับ ถึงดูว่าไร้ประโยชน์
ถ้า ...
สแกน แล้ววันนึงมีคนเป็นโควิด เดินดุ่ยๆ โดนจับได้ก็
ส่ง sms เข้าเครื่องที่เข้าข่าย เอาไปใช้ยื่นลาหยุดได้ 14 วัน ได้เงินเดือนครบ
ถ้าเป็น โควิด เอา sms ไปยื่นโรงบาลรักษาฟรี แบบจ่าย 0 บาท
ได้เงินช่วยเหลือทันที โอนผ่านพร้อมเพย์ 15,000 บาท
มีคนอยากสแกนเยอะเลยคราวนี้