จนถึงตอนนี้ มีธุรกิจแห่บอยคอต Facebook จากปัญหา Hate Speech ร่วมกว่า 400 แบรนด์แล้ว ตัวอย่างแบรนด์ใหญ่ๆ คือ Coca-Cola, Starbucks, Verizon ชนวนสำคัญที่ทำให้เกิดการบอยคอตในวงกว้างคือ Facebook นิ่งเฉยต่อโพสต์คุกคามผู้ประท้วงของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไม่ลบออก และไม่แปะป้ายเตือนว่าเป็นเนื้อหารุนแรง
การบอยคอต Facebook มาจากแคมเปญ Stop Hate for Profit ก่อตั้งโดยกลุ่มสิทธิพลเมืองหลายกลุ่ม ตั้งขึ้นหลังการตายของ George Floyd เป้าหมายของแคมเปญคือร่วมกันกดดัน Facebook ให้แก้ไขปัญหา Hate Speech อย่างจริงจัง และเรียกร้องให้แบรนด์หยุดซื้อพื้นที่โฆษณาบน Facebook ด้วย
Reuters ยังรายงานว่า ผู้บริหารใหญ่ใน Facebook อย่าง Sheryl Sandberg, Chris Cox และอาจจะรวมถึงตัวมาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก จะนัดพูดคุยกับกลุ่มก่อตั้งแคมเปญ Stop Hate for Profit
(Photo by Alex Wong/Getty Images)
ด้าน Facebook ออกมาโต้ข่าวยืนยันว่า บริษัทไม่ได้ผลประโยชน์อะไรจากความเกลียดชัง มีเนื้อหามากมายถูกส่งเข้ามายัง Facebook และทางแพลตฟอร์มก็มีการลบเนื้อหาเกลียดชังอยู่ตลอด แต่ในบางครั้งการตรวจจับเนื้อหาเกลียดชังก็เหมือนหาเข็มในกองหญ้า นอกจากนี้ยังอ้างรายงานของคณะกรรมาธิการยุโรปที่ระบุว่า Facebook สามารถประเมินเนื้อหาเกลียดชังได้ภายใน 24 ชั่วโมง ซึ่งเร็วกว่า YouTube และ ทวิตเตอร์
Comments
ขอให้พี่มาร์คและผู้ถือหุ้นโชคดี
ขอให้มาร์คโชคดี หลุดจากโดนตราหน้าสนับสนุนทรัมป์และความรุนแรง
แต่ประเด็นที่เค้าโวยวายกันไม่ใช่เรื่องหาเข็มไม่เจอนะ เค้าโวยวายเรื่องคนเหยียบเข็มแล้วมาชี้ให้ดูแล้วพี่ก็ไม่เก็บไม่ทำอะไรเลย
สมน้ำหน้า
"ประเมินเนื้อหาเกลียดชังได้ภายใน 24 ชั่วโมง" แล้วก็เฉยไม่ทำอะไรต่อ
พูดเหมือนนักการเมืองเลย ผมไม่ได้ผลประโยชน์อะไรทั้งที่ทุกคนรู้ว่าได้ประโยชน์
โดนซะบ้าง ทำอะไรไม่สนใจใคร ผมยังเคยคิดเล่นๆ ถ้าจะเล่นกับ มาร์ค ก็คือวิธีนี้นี่แหละ สิ่งที่มาร์คกลัว คือจุดจบของ Facebook คำพูดแต่ละคำหลอกผู้ใช้งานไปวันๆ กล่าวอ้างนั่นนี่ ก็ยังเป็นซาตานในคราบนักบุญอยู่ดี รอดูต่อไป..
ในวิกฤติมีวิกฤติ facebook เป็นเพียงหมากในเกม เรื่องจริง บ ใหญ่ต้องลดโฆณาลงอยุ่แล้วในตอนนี้ แต่สร้างข่าวมาเพื่อตนเองภาพสวย และต่อรองค่าโฆษณาลงเท่านั้นเอง
ผมก็คิดงั้นในช่วงโควิดอย่างนี้ แถมได้ใจฝั่งที่เห็นด้วยอีกด้วย
ควรแห่บอยคอดผู้ที่ไม่เข้าร่วมด้วย เพราะไม่มีใครเข้าไปโฆษณา ใครถือโอกาสใช้บริการช่วงนี้ ก็เห็นเดี้ยวๆเลย เฟสบุ๊คเลยอาจไม่สน (เหมือนคนจะแบนเซเว่น แต่ก็มีคนเข้าอยู่ เซเว่นก็ไม่เดือดร้อน)
แล้ว เค้า ไปลงโฆษณา กัน ที่ไหน ต่อ นะ
ปัญหาคือ ตอนนี้คนอยู่ในเฟสบุ๊ค ถ้าแบรนด์ไม่ลงโฆษณา เจ้าอื่นก็มาลงแทน เฟสก็ได้ร่ยได้เหมือนเดิม ตราบใดที่คนยังอยู่
แบรนด์เองจะเป็นตัวเายเปรียบ เพราะเป็นการเปิดโอกาสให้ตู่แข่งมาทำการตลาดแทน