หลังแอปเปิลแถลงเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ รวมถึง Apple One รวมบริการสมาชิกรายเดือน ราคาเดียวใช้งานได้ทั้ง Apple Music, Apple TV+, Apple Arcade, iCloud, Apple News+, Apple Fitness+ นั้น Spotify ก็ออกแถลงการณ์ถึงแอปเปิล แสดงความผิดหวัง ว่าแอปเปิลมีท่าทีต่อต้านการแข่งขันในตลาด
ในข้อความแถลงการณ์ระบุว่า เป็นอีกครั้งที่ แอปเปิลใช้อำนาจครอบครองตลาดของตัวเองที่มีอยู่ ที่ส่งผลให้คู่แข่งเสียเปรียบและยังกีดกันผู้บริโภค ทางบริษัทขอให้หน่วยงานตรวจสอบที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการอย่างเร่งด่วนเพื่อ จำกัดพฤติกรรมผูกขาดของแอปเปิล เพราะหากปล่อยไว้ จะส่งผลกระทบต่อชุมชนนักพัฒนาและนักสร้างสรรค์ รวมถึงคุกคามเสรีภาพในการรับสื่อ และการเรียนรู้สิ่งใหม่
อย่างไรก็ตาม Spotify ไม่ได้ระบุอย่างแน่ชัดว่า บริการไหนของแอปเปิลที่ทำให้ Spotify ต้องออกแถลงการณ์นี้ออกมา แต่คาดว่าเป็นบริการ Apple One ที่อาจกระทบบริการสตรีมมิ่งเพลงของ Spotify โดยตรง
Spotify เคลือบแคลงใจในอำนาจการควบคุม App Store ของแอปเปิลมานานแล้ว ในเดือนมีนาคม 2019 Spotify ได้ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อคณะกรรมาธิการยุโรปเรื่องการเก็บภาษี App Store 30% ซึ่งเป็นไปในทำนองเดียวกับไมโครซอฟท์และ Epic Games ที่กำลังวิจารณ์แอปเปิลอย่างหนักในตอนนี้ อ่านบทความย้อนหลังได้ ที่นี่
ที่มา - Engadget
Comments
อ้างเสรีภาพอีกละ เขาก็ไม่ได้บังคับให้คนใช้ Mac ต้องใช้ไม่ใช่รึ
มีเยอะจริงสมัยนี้ ทาสของเสรีภาพ อิสรภาพ
ถือหุ้นอยู่เยอะสินะครับ ถึงยอมแลกกับเสรีภาพของตัวเองขนากนี้ ถถถถถถถถถ
พูดแบบนี้แสดงว่าอยู่ในดงตลาดผูกขาดจนไม่รู้จักคำว่าการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมสินะ
บล็อกส่วนตัวที่อัพเดตตามอารมณ์และความขยัน :P
เท่าที่สังเกตการคอมเมนท์ของเหล่าสาวก ส่วนใหญ่จะประมาณนี้ล่ะ คือยินดีที่จะถูกผูกขาด
ใช่หรอครับ ไปสังเกตเว็บไหนมา
คนเรามักตกเป็นทาสของบางสิ่งโดยไม่รู้ตัว พอไม่รู้ตัวความรู้สึกและสามัญที่เคยมีเหมือนจะหายไป ตราชั่งก็เริ่มเอียง
เหมือนแมวอ่ะ ไม่รู้ทำไมรักแมวมากกว่าหมา ทั้งๆที่หมามันรักเรามากกว่าแมว
จริงคับ เช่นคนที่ติดใช้ Google, Facebook ทั้งๆ ที่รู้ตัวว่าตัวเองถูกใช้เป็นสินค้า แต่ก็ตกเป็นทาสของสิ่งที่ Google, Facebook มอบให้เลยยอมทั้งๆ ที่ต้องแลกมาด้วยความเป็นส่วนตัวของตนเอง
ทุกอย่างมีมูลค่าและราคา Google มีบริการดีๆให้ใช้แลกกับการขอข้อมูลส่วนตัว และผมก็อยู่ใน Ecosystem ของ google เต็มตัวใช้เกือบทุกบริการ และยินดีจะให้ข้อมูลถ้าเค้าสามารถเอาไปปรับปรุงให้มันดียิ่งขึ้นได้ ถือเป็นความไว้ใจที่ผมมีต่อบริษัทและเป็นราคาที่ผมรับได้ แต่กลับกันผมไม่ชอบขี้หน้า facebook ก็ไม่ใช้บริการเลยอ่ะนะ แค่จะให้ชื่อยังรู้สึกแขยงเลยครับ แบบนี้เรียกว่าเป็นทาสหรือครับ ?
นี่ไงๆ ผมก็ใช้ๆ ใจเย็นๆ
แต่ถ้ามี service อื่นที่มาทดแทน google/facebook โดยไม่แลกความเป็นส่วนตัว (อาจจะต้องเสียเงินนิดหน่อย) ผมก็ย้ายไปใช้นะ แต่ก็คงยาก
facebook คงทดแทนไม่ได้ถ้าคุณต้องใช้ทำพวกเพจ ถ้าไม่จำเป็นพวกนั้นลบออกก็ดีครับสุขภาพจิตดีขึ้นด้วย
google นอกจาก youtube ก็มีบ้างตามนี้ ส่วน youtube ก็ใช้ "front-end" เอาถ้าอยากจะลดข้อมูลที่มันเก็บให้มากที่สุด (แต่จะสนับสนุนช่องยูทูปที่ชอบผ่าน Ad ไม่ได้)
ส่วนโปรแกรมอื่นๆก็ privacytools.io หรือถ้าคุณฮาดคอร์หน่อย prism-break.org
โอ้ อาจจะสื่อสารผิดขออภัยครับ จะบอกว่าไม่ใช่ทุกคนที่ถูกหลอกให้ใช้ของฟรีโดยยอมขายข้อมูล แต่คนที่เต็มใจก็มีครับอย่างผมถึงต่อให้ต้องเสียเงินเพื่อใช้ google ก็ยอมจ่ายครับ ส่วนเรื่องความเป็นส่วนตัวก็ไม่ใช่ไม่สำคัญ แต่อย่างที่บอกว่าผมเลือกที่จะให้กับบริษัทที่ผมเชื่อใจและอยู่ในระดับที่รับได้ ผมเห็นหลายคนชอบเขียนบทความ how to exit google อะไรทำนองนั้น ซึ่งก็แล้วแต่จะพิจารณาเลยครับ แต่สำหรับผมคงไม่ไหวชีวิตคงยากขึ้นหลายขุม
4chan
ใช้ของเอเปิล แต่ก้ยังใช้ กุเกิล เฟส เพื่อแลกกับความส่วนตัว
อ่านข่าวนี้ทำให้ผมเห็นตัวอย่างของ "ทาสที่ปล่อยไม่ไป" ได้ชัดเจนขึ้นมากทีเดียว
รอดูท่าที netflix
WE ARE THE 99%
Netflix ไม่น่าจะมีผลกระทบกับบริการนี้ครับ Apple TV+ จะมีแต่หนังของ Apple เท่านั้น (ณ ตอนนี้) ไม่มีส่วนคาบเกี่ยวกัน
อันนี้น่าจะเข้าข่ายขายพ่วงล่ะมั้ง?
ขายพ่วงคือบังคับถ้าจะซื้อ. A ต้องซื้อ B ด้วยไม่ใช่หรอครับ อันนี้เหมืือนเป็นแค่ตัวแพ็กเกจบัลเดิ้ลหลาย ๆ บริการ แต่ถ้าอยากเลือกซื้อแค่บริการใดบริการหนึ่งอย่างเดียวก็ยังได้อยู่นี่ครับ หรือเมื่อคืนแอปเปิ้ลบอกจะไม่ให้ซื้อแค่บริการเดียวแล้ว?
Spotify เคยออก bundle ร่วมกับ Hulu: https://www.blognone.com/node/101456
(ตอนนี้ยังมีอยู่ไหม ผมไม่รู้เหมือนกัน ไม่ได้ใช้ spotify เลย) รวมไปถึงถ้าเป็นนักเรียนก็มีพ่วงกับ Showtime ด้วย (ใน us): https://newsroom.spotify.com/2018-08-29/spotify-premium-for-students-now-with-hulu-and-showtime/
แล้วการที่ Apple ทำแบบนี้ในเครือ service ของตัวเอง มันผิดยังไงเหรอครับ อันนี้อยากทำความเข้าใจเหมือนกัน
เพราะ Apple ไม่ต้องเสียส่วนแบ่งทำให้เปิดบริการพ่วงเยอะๆแบบนี้ได้โดยที่ยังมีกำไรอยู่ หรืออาจจะขาดทุนแต่ก็สามารถเอาส่วนอื่นมาชดเชยได้อยู่ดีเพราะเป็นระบบของตัวเองทั้งหมด ทำให้เจ้าอื่นๆแข่งขันไม่ได้เพราะต้นทุนสูงกว่า
งี้บัลเดิ้ล microsoft 365 หรือ adobe creative ละครับ?
Spotify/Netflix หรือบริการอื่นๆ ที่ขายบน App Store จะมีการจ่ายส่วนแบ่ง หรือ Apple Tax 30% ครับ และไม่สามารถใช้ช่องทางอื่นในการชำระเงินได้
ส่วน Microsoft 365 หรือ Adobe CC ไม่มีการบังคับจ่ายช่องทางเดียวแบบ Apple และโดนขอส่วนแบ่ง 30% แม้จะซื้อแล้วติดตั้งบน Windows ครับ
Spotify/Netflix ปัจจุบันถอดตัวจ่ายเงินที่โดนหัก Apple tax ให้ผู้ใช้ที่สมัครใช้ใหม่ไปจ่ายเงินข้างนอกแล้วนะครับ แต่ก็ยังเอา id มาเปิดใช้งานแอปบน iOS ได้อยู่นี่ครับ
ตามกฎปัจจุบันแอปประเภท Spotify/Netflix ทำได้ครับ แต่สมมุติ Spotify พ่วง xCloud ของ MS มาก็จะโดนเก็บทันที(แถมปัจจุบันยังเอาขึ้น Store ไม่ได้ด้วยซ้ำ)
ก็นั่นแหละครับ ปัญหาของ Spotify/Netflix หรือบริหารอื่นๆ ที่เค้าเรียกร้องกัน
ซึ่งมันทำให้เค้าแข่งขันกับเจ้าของ platform ที่ทำบริการรูปแบบเดียวกันลงมาแข่งกับพวกเค้า แค่ความสะดวกในการจ่ายเงินต่างกัน ก็ทำให้การแข่งขันไม่เป็นธรรมได้แล้วครับ
แล้วถ้าอยากให้เป็นธรรมต้องเป็นรูปแบบไหนครับ ?
That is the way things are.
ยกเลิกการบังคับจ่ายผ่าน App Store ช่องทางเดียว เมื่อยกเลิกการบังคับจ่าย จะเกิดกาาแข่งขันค่า fee ระหว่าง App Store กับผูกให้บริการด้านการเงินเจ้าอื่นๆ
คุณ Ford พูดว่าการบังคับจ่ายนอก store ทำให้ไม่สะดวกและเกิดการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม แต่ comment นี้กลับบอกว่าต้องการให้ app สามารถรับชำระเงินช่องทางอื่นได้ ซึ่งตอนนี้ Spotify ก็รับชำระเงินค่าบริการนอก store ได้อยู่แล้ว ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม 30% ให้ Apple แต่อย่างใดนี่ครับ
อีกประเด็นหนึ่งที่ผมอยากรู้
ตอนนี้ Android อนุญาตให้ลง alternative store ได้ ซึ่งเป็นอย่างที่หลาย ๆ คนต้องการให้ Apple ทำ แล้วตอนนี้ราคาค่า subscription Netflix / Spotify บน Android นี่ถูกกว่าบน Apple ไหมครับ ?
ถ้าไม่ แล้วการเสนอให้ Apple มี alternative store เป็นการแก้ปัญหาด้านราคาได้อย่างครับ ? ในเมื่ออีกเจ้าหนึ่งก็ใช้ model นี้แต่ก็ราคาเท่ากัน
That is the way things are.
เริ่มงงแล้วว่าตกลงเรากำลังคุยเรื่องผลประโยชน์ของผู้พัฒนาหรือผู้บริโภคกันแน่
ผมเองก็งงเหมือนกันครับว่าความเป็นธรรมที่หลายคนต้องการมันอยู่ในรูปแบบไหนกันแน่
เป็นธรรมต่อใครบ้าง Apple, ลูกค้า, ผู้ให้บริการของตัวเองบน platform อื่น เช่น website เกม, และนักพัฒนาที่ทำ smartphone application เป็นหลัก
ผมว่าเส้นแบ่งมันทับซ้อนกันอยู่เหมือนกัน และผมก็ยอมรับว่ายังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนในเรื่องนี้ เพียงแต่ผมเห็นหลายคนออกมาต่อว่า Apple ว่าไม่เป็นธรรม แต่ไม่เคยนำเสนอว่ารูปแบบความเป็นธรรมที่ควรมันเป็นอย่างไร ผมก็เลยค่อนข้างขัดใจว่าแล้วแบบนี้มันจะคุยกันต่อได้อย่างไร จะพัฒนา solution ไปในทางไหน
ส่วนตัวผมไม่เชื่อใน alternative store เลย เพราะผมมองว่าการมี alternative store ก็สามารถนำไปสู่ปัญหารูปแบบอื่นได้เหมือนกัน โดยเฉพาะเรื่องขอบเขตความรับผิดชอบในกรณีที่เกิดปัญหา รวมไปถึงค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้ในการค้นหาและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น
That is the way things are.
ไม่มีความเป็นธรรมใด ๆ ให้กับเจ้าตลาด
สมมุติอย่างงี้ครับ
1. ใน App เขียนไว้เลยว่าถ้าซื้อตอนนี้ได้ราคา 100 บาท(เพราะเสียค่าธรรมเนียมให้ Apple)
2. ถ้าซื้อผ่านเว็บไซต์ ราคา 70 บาท (ไม่มีค่าใช้จาก Apple เพิ่มเติม)
ตอนนี้ Apple ห้ามใส่ข้อความแบบข้อที่ 2. ใน App ข้อความแบบในวงเว็บก็เช่นกัน
อย่างกรณีของ Android ถ้า Alternative store ไม่เกิดหรือไม่มีคนใช้ก็ไม่เป็นไรครับแต่ระบบยอมให้ผู้ใช้งานสามารถติดตั้ง apk ได้ ก็คือถ้า install จาก playstore จะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมตามปกติ มีกฏห้ามไม่ให้เสนอลิงค์ไปจ่ายเงินข้างนอกอันนี้ผมเห็นด้วย แต่ถ้าผู้ใช้งานเข้าไปหน้าเว็บแล้วโหลด apk มาลงถึงราคาจะไม่ถูกลงแต่ยังไงผู้พัฒนาก็ได้รับเงินเต็มเม็ดเต็มหน่วยครับแลกกับการต้องหาฐานลูกค้าเอง ซึ่งมันก็แฟร์ๆครับถึงจะเรียกว่า ใช้ platform ของเค้าก็ต้องจ่ายเงินให้เค้าได้ แต่กับ Apple ที่ปิดทุกทางแล้วบังคับให้ต้อง install แล้วจ่ายส่วนแบ่งเท่านั้น อ้างแต่กระทบความปลอดภัยหรือประสบการณ์ผู้ใช้งานอันนี้ดูแถครับ คนที่เลือกวิธี alternative ก็ต้องรู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรแล้วยอมรับความเสี่ยงไปในตัวแล้วไม่ต้องคิดแทนผู้ใช้ขนาดนั้น ถ้ากลัวกำไรจาก store จะหายขนาดนั้นจะทำ iphone model ที่ปลดล็อคให้ลงสโตร์อื่น หรือแอพอื่นขายในราคาที่แพงกว่าก็ได้ครับ ยังไงผู้ใช้งานก็ควรมีสิทธิ์เลือกครับ
จริงๆมันไม่ได้ "แก้ปัญหาด้านราคา" หรือเปล่าครับ มันมีในมุมการแข่งขันทางธุรกิจด้วย อย่างเงินที่จะเอาไปลงกับ Marketing ก็สัดส่วนต่างกัน คือถ้ามองในมุมลูกค้าผมว่ามันไม่ได้ช่วยอะไรเท่าไหร่หรอก แต่ถ้ามันเกิดเคสที่เคยมีเรื่องราวกันที่ Apple Music ลงราคาแพคเกจได้ถูกกว่า Spotify อันนี้มันก็ชัดละว่าไม่เป็นธรรมเพราะ Spotify ไม่สามารถจะลดราคาลงขนาดนั้นโดยไม่กระเทือนในส่วนอื่นๆได้เพราะติดค่าธรรมเนียม ถ้าตามที่ Spotify อ้างอ่ะนะ
เท่าที่อ่านมาหลายๆโพสข่าว น่าจะเป็นผลประโยชน์ของ dev ที่ต่างคนต่างก็อยากได้ผลประโยชน์สูงสุด
(ซึ่งมักจะปล่อยเบลอผู้บริโภค)
จริงๆมันก็มีทางออก ลด operating cost / เพิ่มความ premium ให้คนซื้อรู้สึกว่าได้มากกว่า
อย่างพวก house brand ในพวกโมเดิร์นเทรด ซันไลแท้กับซันช่าย คนที่ price sensitive ก็คงไปซื้อซันช่าย คนติดแบรนด์ก็คงซื้อซันไลเหมือนเดิม
ซึ่งวาทะกรรมที่เคยบอกว่า ถ้า apple ลดภาษี หรือมี alternate store แล้วราคาจะลดลงผมไม่เชื่อเท่าไหร่
ปัจจุบัน Youtube bundle Youtube premium กับ music แล้วก็ขาย ทั้งใน app store และ ข้างนอกโดยราคาไม่เท่ากันด้วย
สงสัยที่มีปัญหาน่าจะ Spotify มากกว่า ดู Google ไม่เห็นจะเดือดร้อนอะไร
Windows ไม่ได้บังคับลงแอปผ่าน Microsoft Store ครับ
ถ้าคุณไปซื้อ Affinity Photo หรือ WordPerfect มาใช้ ทางผู้พัฒนาเค้าก็ไม่โดนหักค่าหัวคิว Corel สามารถทำบันเดิ้ลราคาถูกมาขายแข่งกับ Adobe ได้ เพราะทั้งคู่อยู่ในสถานะเดียวกันในตลาด
พอจะเก็ตไหมฮะ
iPAtS
Spotify/Netflix ปัจจุบันถอดตัวจ่ายเงินที่โดนหัก Apple tax ให้ผู้ใช้ที่สมัครใช้ใหม่ไปจ่ายเงินข้างนอกแล้วนะครับ แต่ก็ยังเอา id มาเปิดใช้งานแอปบน iOS ได้อยู่นี่ครับ
แปลว่า มันทำให้ผู้ใช้จ่ายเงินผ่าน apple device ไม่ได้ไงครับ มันก็ไม่เท่าเทียมกันไง
ถ้า Product นึงมีเจ้าของตลาดสนับสนุนเต็มที่ จ่ายเงินง่าย ถึงจะโดนหักค่าหัวคิว แต่ก็เจ้าของเดียวกัน เงินย้ายกระเป๋าซ้ายไปกระเป๋าขวา แล้วคนอื่นจะมาแข่งด้วยยังไงให้มันยุติธรรมครับ
iPAtS
MacOS ไม่ได้บังคับลงแอปผ่าน Mac App Store ครับ
ถ้าคุณไปซื้อ Affinity Photo หรือ WordImperfect มาใช้ ทางผู้พัฒนาเค้าก็ไม่โดนหักค่าหัวคิว Serif สามารถทำบันเดิ้ลราคาถูกมาขายแข่งกับ Adobe ได้ เพราะทั้งคู่อยู่ในสถานะเดียวกันในตลาด
อันนี้บอกไว้ เพราะคนไม่เคยใช้แมคมาก่อนในชีวิตมีเยอะ
พอจะเก็ตไหมฮะ
iOS บังคับลงแอปผ่าน App Store ครับ
(ที่เหลือแก้กันเอาเองครับ ผมไม่รู้จะแก้อะไร)
ผมใช้แมคครับ
iPAtS
เพราะ Apple Tax 30% ทำให้ Apple สามารถตั้งราคาได้ถูกกว่าเจ้าอื่นครับ ซึ่งทำให้เจ้าอื่นไม่สามารถแข่งขันกับ Apple ได้อย่างยุติธรรมเพราะมีกำแพงภาษีจาก Apple (หลักการเดียวกับการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าเพื่อให้สินค้าจากต่างประเทศแข่งขันกับสินค้าในประเทศได้ยากขึ้น)
เจ้าอื่นถ้าไปให้จ่ายเงินทางอื่นก็ไม่โดน 30% ครับ แบบพวก netflix
แค่ความสะดวกในการจ่ายเงินต่างกัน ก็ทำให้การแข่งขันไม่เป็นธรรมได้แล้วครับ
การแข่งขันแบบนี้ไม่มีใครเป็นธรรมหรอกครับ มีแต่ได้ประโยชน์มากกว่า
ถ้าไม่มี tax 30% แล้ว payment gateway ใช้ได้ฟรีก็ไม่เป็นธรรมกับ apple แทน
หรือถ้าปล่อยจับฉ่าย แล้วมีปัญหาตัดบัตร support ที่ต้องรับเรื่อง การรับ support ก็เป็นเจ้าของ store ไม่ใช่ spotify อยู่ดี
เหมือนโดน 7-eleven ทำสินค้าเดียวกันราคาถูกกว่าวางข้างๆ โดยสินค้าของ 7-eleven ไม่ต้องเสียค่าวาง ไม่ต้องเสียค่าขนส่ง ไม่ต้องเสียค่าโฆษณาแยกตะหากโฆษณารวมๆ เพราะมัดรวมมาแล้ว
ถ้ามองว่า 7-eleven ไม่ผิดเคสนี้ Apple ก็ไม่ผิดครับ ถ้ามองว่า 7-eleven ผิดยังไง Apple ก็ผิดทำนองเดียวกัน
Spotify กับ Hulu จับคู่กัน ก็เหมือนจับคู่ น้ำกับขนม แต่ยังขายใน 7-eleven อยู่ดีทำนองนั้น
ถ้าไม่มุมผู้บริโภค ผมว่า 7-eleven ไม่ผิดครับ ตราบใดที่สินค้านั้นขายในราคาและคุณภาพที่เหมาะสม
ผมก็เป็น Dev เจอความยากลำบากกับ Apple หลายประการ (มันไม่ได้มีแค่เรื่องเงิน เรื่องเทคนิคอื่นๆร้อยแปดที่ Apple จุกจิก) แต่มองในมุมผู้บริโภคก็คือเขาได้สินค้าราคาถูกและบริการที่ดี ผมก็มองแค่นี้
ส่วนเรื่องอนุญาตให้จ่ายเงินนอก App Store ได้ Apple ก็อนุญาตตั้งนานแล้ว แค่มีกฎว่าห้ามกล่าวถึงแค่นั้นเอง เกมไทยแทบทุกเกมจ่ายเงินข่องทางอื่นได้หมดแถมถูกกว่าตั้งครึ่ง มีแต่ Epic ที่ทำแหกกฎเต็มๆ เหมือนผมเปิด Foodcourt เขาให้ใช้คูปอง ห้ามลูกค้าจ่ายเงินสด มีร้านนึงมาถึงบอกซื้อเงินสดได้แถมได้ส่วนลด ถ้าผมเป็นเจ้าของ Foodcourt ก็คงถีบร้านนี้ไปไกลๆเหมือนกัน
ถ้า Spotify ดีกว่า Apple Music จริง (เช่นอาจจะมีบริการ Streaming แบบ Lossless อะไรแบบนี้) ต่อให้แพงกว่ากี่เท่าคนก็ซื้ออยู่ดี
มีคนซื้อแต่มีคนที่ไม่ซื้ออีกเท่าไหร่นี่อีกเรื่องนะครับ
เรื่องเกมที่จ่ายนอกแอพได้นี้ ผมไม่รู้ว่าได้แค่ที่ไทยที่เดียวในโลกรึปล่าวนะ แต่ถ้าในญี่ปุ่นไม่มีเกมไหนทำได้นะครับ แม้แต่เงินในเกมที่ซื้อจาก android ก็้เอามาใช้ใน ios ไม่ได้ แล้วผมก็ทำงานในบ.เกม มันมีข้อบังคับว่าห้าชัดเจนด้วยนะครับ หรือที่ไทยมีกฏแยกนี้ผมก็ไม่รู้
นั่นซิครับขนาดเหรียญในไลน์ที่ไว้ซื้อสติกเกอร์ยังใช้ข้าม ios/android ไม่ได้เลย 5555
iPAtS
Granblue Fantasy
ผมก็เห็นทุกห้างมีสินค้า House Brand วางหมดนะ เอาจริงๆ ไม่ใช่แต่เฉพาะเซเว่น // ในกรณีของ Apple นี่แตกต่างด้วยตรงใน ตอนแรกเค้าเป็นห้างที่มีแต่ของ House brand ตอนหลังค่อยปล่อยให้คนนอกเอาของเข้ามาขาย
แข่งขันไม่เป็นธรรม แต่รายได้ก็สุดปังนะคะ
ปัญหาคือ apple บังคับให้ต้องลงทุก app ผ่าน App Store มันเลยผูกขาด
พวกแอพที่เสียรายเดือน โดนแบบนี้ น่าจะมีหนาวร้อนๆกันบ้างละ ราคารวมถุกว่าอีก
ช่วงนี้ดื้อครับ หาข้ออ้างไม่ซื้อของ Apple ไปเรื่อย ผูกรวบทุกอย่างไว้กับตัว
ในแง่การพัฒนามันทำให้ไปได้เร็วแหละ แต่การที่รวบทั้งหมดตั้งแต่ผลิตชิปไปจนทำซอฟต์แวร์แล้วไม่แชร์ใช้กับใครเลยนี่ก็อีกเรื่อง มีพาร์ทเนอร์อยู่ดีๆ จะเปลี่ยนเป็นทำเองหรือซื้อพาร์ทเนอร์แล้วเลิกขายให้คนอื่นก็ทำ (แบบตอนเทคบริษัทที่ทำเทคโนใช้ใน Kinect หรือสมัยตัวสแกนนิ้วมือที่ทำระบบสแกนนิ้วบน laptop ลงหลุมดำไปหลายปี จากใช้สแกนกันอยู่ดีๆ ก็ห่วยไปเลย https://www.blognone.com/node/36383 ) ทำตัวชี้เป็นชี้ตายของได้โดยไม่มีทางเลือกให้ แบบ app ไหนหรือกระทั่ง app ประเภทไหนที่ไม่ชอบก็ตัดแบบใช้ทางอื่นไม่ได้แม้จะต้องการทำ ปลอดภัยกับผู้ใช้ ปลอดภัยกับ Apple แต่ก็ปิดทางนวัตกรรมไปอีกระดับนึง ตัวเองทำเงินจากฝั่งนึงแล้วเอามาโปะอีกฝั่งนึงได้ทำให้ราคามันดูไม่ make sense เท่าไหร่ในหลายบริการส่งผลให้คู่แข่งเองก็สู้ด้วยยาก (เหมือนจะเรียกอะไรแบบนี้ว่าการทุ่มตลาด?)
นโยบายที่ว่าบริษัทใหญ่เกินไปควรถูกบังคับแยกเป็นบริษัทย่อยๆ ก็น่าจะเหมาะสมกับกรณีนี้ แต่ถ้าบังคับใช้จริงๆ ก็จะสู้กับบริษัทที่อยู่นอกนโยบายนี้ได้ยากอีก (เช่น บริษัทในจีน)
ผู้ใช้ได้ประสบการณ์ดีแบบไม่มีทางเลือกอื่นใดๆ เอาแค่ Safari ก็สาหัสแล้ว
Apple ไม่ผิดครับ (เพราะ Apple ก็เคยเจ็บกับการไม่ทำแบบนี้ และถ้าไม่ทำขนาดนี้ของของ Apple ก็ดีมาถึงจุดนี้ไม่ได้) แต่ไม่อยากสนับสนุนแนวทางแบบนี้ ก็ได้แค่ดื้อฝืนเหนื่อยไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหนีไม่พ้นก็ค่อยยอมใช้ ?
ผมซื้อแต่ Apple ไม่ซื้ออย่างอื่นเลย เพราะเหตุผลที่ว่ามาเลยครับ คือมันมี Peace of Mind ผมไม่สนว่า Dev จะเป็นอย่างไร หรือคนอื่นจะได้ใช้ฟีเจอร์ว้าวแค่ไหน ผมสนอย่างเดียวคือใช้ทำงานได้ ดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกม เข้าเว็บได้ ก็จบ อย่าง Safari กับ Chrome กับ Edge ผมก็มีหมดทั้งสามอัน ก็ไม่เห็นต่างกันตรงไหนในตอนที่ผมใช้งานตามปกติในชีวิตประจำวัน
มีแค่อย่างเดียวคือ Apple Pay ไม่เข้าไทยกับไม่เปิดให้ใช้ NFC API สักทีแค่นั้นเอง ที่เหลือผมยังไม่เห็นความที่ Walled Garden ของ Apple จะทำให้เกิดความด้อยกว่าชาวบ้าน และผมก็ไม่ใช่สาวกที่หลับหูหลับตาด้วย เพราะผมก็ทำงานบริษัทพัฒนา Mobile App ได้ใช้ ได้ทดสอบทั้งหมด ทั้ง iPhone Android Windows เพียงแต่ถ้าเป็นของส่วนตัวผมซื้อเฉพาะ Apple เพราะเหตุที่ว่ามานี้
มันไม่ต่างเพราะทั้งสามอันมันทำงานด้วย Safari engine ไงครับ Apple ไม่ยอมให้ใครทำอะไรกับเอนจินสำหรับเปิดเว็บเลย
คุณไม่สนแต่มีคนที่สนไงครับ
คุณแค่เจอส่วนของ NFC API ครับ คนอื่นก็เจอส่วนอื่นๆ อย่างผมเจอเรื่อง Safari ไปผมก็โดนหนักเหมือนกัน
อันนี้ว่ากันตรงๆ มันก็เป็นแบบนั้นแหละครับ Apple มีความสามารถมันเลยออกมาดีได้ หลังจากนั้นของดีทั้งหมดก็จะยิ่งไปกองอยู่กับ Apple เรื่อยๆ สุดท้ายถ้าไม่มีใครทำอะไรก็จะอยู่ข้างนอก Apple ได้ลำบากแล้ว
ผมก็ทำอะไรไม่ได้หรอกครับ ก็ทำได้แค่ชะลอออกไปได้อีกเศษเสี้ยว สุดท้ายถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงผมก็ต้องเลือกระหว่างเข้าไปอยู่ในนั้นดีๆ หรือฝืนลำบากชีวิตอยู่ข้างนอกไปเรื่อยๆ
ด้วยกำลังของ Apple แล้วผมเชื่อว่าทำให้มันเปิดกว่านี้แบบปลอดภัยกว่าเจ้าอื่นได้ครับ ยิ่งเป็นเจ้าใหญ่ยิ่งมีพลังในการเปลี่ยนแปลงได้ ทาง Apple เองมีกำลังทุ่มเทเรื่องที่ดีต่อโลกอื่นๆ อีกมากด้วยซ้ำ (อย่างพวกออกแบบเครื่องให้ไม่ใช้สารอันตราย ลดการใช้แร่ธาตุที่ว่าใช้แรงงานคนแบบไม่ดี การรีไซเคิล ฯลฯ) แต่เค้าไม่ทำ แล้วเค้าก็จะมีสิทธิ์ชี้เป็นชี้ตายไอเดียไปได้เรื่อยๆ ไม่ใช่แค่ไอเดียไม่ดีแล้ว Apple ไม่ใช้แต่เป็น Apple ไม่ยอมให้ใครได้ใช้ด้วยซ้ำ หรือกระทั่งไอเดียที่ดีและคนอยากทำ Apple ก็ไม่ยอมแล้วสุดท้ายเอาไปทำเอง ซึ่งผมไม่ชอบตรงนั้นครับ (ซึ่งว่าเค้าไม่ได้ เค้าก็ทำหน้าที่ของบริษัทเค้าตามแนวทางของเค้า)
ไม่ใช่ไม่เข้าใจคุณนะครับ ผมคิดจะยอมเข้าไปอยู่ให้จบๆ มาหลายครั้งแล้วด้วยซ้ำ ? ของส่วนมากดีแบบปฏิเสธไม่ได้ด้วยซ้ำว่าดีที่สุดแล้วและไม่ได้ต้องจ่ายแพงแบบเอื้อมไม่ถึง ข้ออ้างในการไม่ใช้ผมตอนนี้เลยเป็นเรื่องที่ว่ามานั่นแหละครับ
ผมเพิ่มเรื่องการต่อต้านวัฒนธรรม Right to repair ด้วยอีกเรื่องครับ การกีดกันไม่ให้ 3rd party เข้าถึงอะไหล่ (ถึงกับไปให้ศุลกากรให้ยึด part ทดแทนก็มีมาแล้ว)หรือการจงใจให้การซ่อมเป็นไปได้ยากกว่าที่ควร ถึงจะบอกว่าจะป้องกันการซ่อมให้มีคุณภาพ แต่วิธีการอื่นมันก็มีเยอะแยะ (แถมหลายครั้งพวกซ่อมห่วยกว่าช่างข้างนอกอีก) มันยิ่งส่งเสริมการทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์ให้มากขึ้นโดยไม่จำเป็น ดูๆ ไป Apple เป็นพวกมือถือสากปากถือศีลไงไม่รู้
บล็อกส่วนตัวที่อัพเดตตามอารมณ์และความขยัน :P
อันนี้นอกเรื่องจากหัวข้อ แต่ล่าสุดบริษัทรถออกมาต่อต้านกฏหมายเกี่ยวกับ right to repair บอกจะทำให้ข้อมูลในรถอาจตกไปอยู่ในมือผู้ไม่หวังดีและทำให้คดีเกี่ยวกับคุกคามเพิ่มขึ้น(?)
https://www.youtube.com/watch?v=NYp2_oiwtIg
(Question 1 เกี่ยวกับให้เปิดข้อมูลที่รถเก็บ ให้เป็น Open Standard ไม่ใช่แค่ผู้ผลิตรถเข้าถึงได้คนเดียว)
เรื่อง 30% กับให้ชำระผ่านช่องทางอื่นได้นั้นอันนี้แล้วแต่ศาลจะตัดสิน
แต่ถ้าบอกว่าให้ลง App อะไรก็ได้นี่ผมไม่เอาด้วยเด็ดขาด เพราะความเชื่อมั่นและความปลอดภัยจะหายไปในทันที
ลองคิดดูว่ารัฐบาลสามารถเขียน App อะไรก็ได้ขึ้นมา Track ประชาชน แล้วบังคับให้ประชาชนลงได้ โดยไม่มีข้อจำกัดอีกต่อไปว่าไม่ผ่านข้อกำหนดของ Apple ไวรัสต่างๆจ้องตาเป็นมันแน่นอน เหมือนที่ Windows, Android หรือแม้แต่อ Mac โดนอยู่ทุกวันนี้
ไอโฟน ปลอดภัยจากไว้รัส และโดนแฮ้ก ?
ปลอดภัยจากไวรัสที่มาจาก App ที่ Download จาก App Store แต่ถ้าผู้ใช้ไปลง Profile นู่นนี่นั่นเอง (ซึ่งมันเตือนประมาณ 3-4 รอบก่อนลง ก็ช่งยไม่ได้
และไม่ปลอดภัยจากการโดน Hack แบบ Phishing คือผู้ใช้หลงกลใส่ข้อมูลหรืออนุญาตให้อาชญากรทำสิ่งนั้นๆเอง แต่ถ้าอยู่ๆบอกว่าจะไปแฮค iPhone ของใครสักคน FBI ยังทำไม่ได้เลยครับ ถ้าทำได้เขาไม่นั่งมาฟ้อง Apple แหลกลาญให้เปิด Backdoor หรือปลด Encryption แบบนี้หรอก
แอนดรอย วินโดว ลงผ่านสโตส์ นี้มันโดนแฮ็ก และมีไวรัสด้วยเหรอ เพิ่งรุ้
ผมพูดถึงอันที่ไม่ได้ลงผ่าน Play Store ไงครับ
App ที่ลงผ่าน Store อื่นๆ Virus เพียบ
และถ้า Apple ทำแบบนี้ (คือเปิดให้มี Store อื่นได้) ก็จะมี Virus
ผมพูดไม่เคลียร์ตรงไหน
อย่างล่าสุด App Shopee เห็นมีการแอบก็อปรูปจากเครื่องไปใส่ Share ไว้ส่วนใหญ่แอพนี้ก็โหลดจาก Store กัน
ในทางกลับกันฝั่ง Apple ผมจงใจเปิด Location ให้ Google Map ใช้ได้ตลอดเวลา ตัว OS ยังแจ้งขึ้นมาเลยว่า Google Map เรียก Location ใน Background ไป xx ครั้งใน 2 วันนะ มันดูผิดปกตินะจะให้บล็อคให้เรียกใช้แค่ตอนเปิดแอพอย่างเดียวมั้ย อะไรประมาณนี้ แล้วเรื่องกระบวนการความเข้มรีวิวแอพที่จะขึ้นได้ก็ต่างกัน
เวลาเล่นเกมมือถือออนไลน์ส่วนใหญ่ฝั่งโกงๆก็มาจากฝั่งแอนดรอยทั้งนั้น บางทีก็เซ็งอยากให้ Dev แยกเซิฟ iOS กับ Android ไปเลยจะได้ไม่ต้องเจอพวกขี้โกงลง APK Mod มาเล่น
คุณก็พูดไปเรื่อยเลย FBI แฮ็กไอโฟนได้ครับ ทำไปหลายครั้งแล้ว แต่ต้นทุนแพงหลักล้านเหรียญ แล้วทำยากแล้วใช้เวลา เขาเลยอยากให้มันง่ายๆ เลยพยายามผลักดันให้มันมีช่องทางเข้าถึงที่ถูกกฎหมาย
FBI อาจจะแฮ็กได้จริงและใช้ต้นทุนหลายล้านเหรียญตามที่ว่ามา ก็ลองนึกว่าแฮ็กเกอร์อื่นๆเขาจะยอมทุ่มทุนแบบนี้ไหมครับ และเทียบกับระบบอื่นๆที่แฮ็คง่ายกว่า แค่ทำ App โง่ๆแล้วเอาขึ้น Store ที่ไม่ใช่ Official คิดว่าระบบแบบไหนจะใช้แล้วสบายใจกว่า
ผมไม่ได้บอกว่า Apple เก่งกว่าที่ทำให้ระบบ Hack ไม่ได้ แต่ Apple เลือกใช้วิธีการคือดำเนินการทุกอย่างเอง มันเลยแฮ็กไม่ได้ (หรือได้ยาก) แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ Apple ทำเหมือนกับคนอื่นทำคืออนุญาตให้มี App ที่ไม่ต้องผ่านการตรวจสอบให้ลูกค้าโหลดได้อิสระ เมื่อนั้นมันก็จะไม่ต่างกับ Android หรือ Windows อันนั้นคือประเด็นสำคัญครับ ถ้าจะแย้งก็กรุณาแย้งตรงจุดนี้
ผมแย้งว่าคุณพูดจริงบ้างไม่จริงบ้างปนๆใส่สีใส่ไข่ มันเชื่อยาก คุณจะมาบอกให้ผมโฟกัสตรงนู้นตรงนี้อะไรล่ะครับ
อย่างเรื่องการโหลดแอ็พอิสระ ในแอนดรอยด์อันนั้นลูกค้าก็ต้อง enable เอง store ไม่ออฟฟิชเชียลเราก็ต้องไปลงเองอีก แอปเปิลมีเรื่อง legitimate ที่จะชอบเยอะแยะไม่เห็นต้องมาใส่สีใส่ไข่เลยครับยิ่งดูเหมือนใช้อารมณ์มากกว่าข้อเท็จจริงมาถกกัน
เอ่อ ถ้าผู้ใช้ไม่อนุญาต มันก็ไม่ลงให้หรือเปล่า
มีหลายคนเขาทดลองกัน บางครั้งการที่มีตัวเลือกน้อยหรือไม่มีเลยทำให้เรามีความสุขกว่า เทียบกับการที่มีตัวเลือกมากๆที่อาจเสียเวลาเปรียบเทียบ หรือเสียดายว่าน่าจะเลือกตัวเลือกอื่น
แต่สุดท้ายแล้วเราอยากจะมีชีวิตอยู่โดยไม่มีตัวเลือกเลยจริงๆเหรอ?
กว่าจะคลิกขวาได้ก็เกือบตาย แต่ผมรู้จักบางคนใช้คลิกขวาไม่เป็นนะ ขนาดแม็คให้ทำได้แล้ว แกก็กดคอนโทรลอยู่นั่นอะ
ซึ่งมันแสดงให้เห็นว่าบางทีเราไม่รู้ว่ามีอะไรดีกว่านี้ เราก็อาจจะแฮปปี้กับสิ่งที่มีอยู่
อ่านหลายๆความเห็นแล้วดูไม่ค่อยเก็ต บ้างก็เอาตัวเอาเป็นบันทึกฐาน เอาง่ายๆ อะไรที่ได้เงิน ได้ส่วนแบ่งมา กลายเป็นเจ้าอำนาจนั้นมันจะสาวได้สาวเอา เพราะงั้นถึงจุดๆหนึ่ง มันต้องมีการควบคุมให้ระบบมันแฟต่อผู้เล่นหน้าใหม่ ต่อให้ผู้เล่นมาเล่นในสนามบ้านคุณ (อย่าติดกรอบความคิดเรื่องเค้าทำเค้าต้องได้ กติกาเค้า คุณต้องเคราพ เค้ารวยมาก และอำนาจต่อรองมากจนมากๆไป มันก็ควรมีระบบมาจัดการ พูดง่ายๆอย่าโตแค่คนเดียว)
รอ spotify จับมือกับ Netflix อยู่นะครับ :D
Medium + Spotify + Dropbox + Netflix + ...