Paul Tassi คอลัมนิสต์ของ Forbes วิเคราะห์ดีลไมโครซอฟท์ซื้อ Bethesda ว่าเป็นการซื้อเกม exclusive สำหรับ Xbox จริง แต่ไม่ได้ซื้อเพื่อต่อสู้กับโซนี่เพียงอย่างเดียว
ในระยะสั้น เราอาจมองการแข่งขันในวงการเกมที่ Xbox vs PlayStation เป็นหลัก ซึ่งไมโครซอฟท์ยังอ่อนแอกว่าในแง่เกม exclusive ที่เป็นจุดขายของแพลตฟอร์ม การควักเงิน 7.5 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 2.4 แสนล้านบาท) เพื่อแก้ปัญหานี้จึงเป็นเรื่องสมเหตุสมผล
แต่ในระยะยาว ตลาดคลาวด์เกมมิ่งจะกลายเป็นสมรภูมิใหม่แทนคอนโซล โดยเฉพาะล่าสุดหลังการเปิดตัว Amazon Luna ยิ่งทำให้ภาพอนาคตยิ่งเด่นชัด รูปแบบของ Amazon Luna คือการจ่ายรายเดือนเพื่อสมัครสมาชิก "ช่อง" ของค่ายเกม (ตอนนี้มี 2 ช่องคือ Luna Plus ของ Amazon เอง และ Ubisoft)
การซื้อ Bethesda รวมถึงข้อตกลงของไมโครซอฟท์กับ EA ก่อนหน้านี้ จึงถือเป็นการการันตีว่าบริการคู่แข่งอย่าง Luna หรือ Stadia จะไม่มีเกมเด่นๆ ที่เป็นจุดขายของแพลตฟอร์ม และช่วยให้ไมโครซอฟท์ได้เปรียบอย่างมาก ถือเป็นการเดินหมากที่สำคัญของไมโครซอฟท์ ก่อนที่ Luna จะเริ่มก้าวขาออกเดินด้วยซ้ำ
ที่มา - Forbes
Comments
แทบจำไม่ได้แล้วว่ากูเกิ้ลมี Stadia
MS มองกาลไกลมาก เพราะรู้ว่าในอนาคตตลาดในทุกๆทางจะมุ่งไปสู่เกม สู่กราฟฟิก เลยเริ่มเดินหมากตั้งแต่ยังยังไม่มีอะไรเป็นรูปเป็นร่าง อุปสรรคความยิ่งใหญ่เดียวของ MS คือ Play station เพราะถ้าล้ม Play station ไม่ได้ โอกาสกินรวบตลาดอภิมหายักษ์ใหญ่ จะเป็นรองทันที ลองนึกเล่นๆถึงอนาคตที่ว่า มี VR AR ที่ไมีประสิทธิ์ภาพมากๆ + Cloud ที่มีประสิทธิภาพมากๆ องค์ประกอบสุดท้ายคือ กราฟฟิก และ เกมนี่แหละที่ MS พยายามปั้นอยู่.....
จริง บริการ cloud ต้องกว้านซื้อค่ายเกมเข้ามาไว้ในมือ
ดู geforce เป็นตัวอย่าง ค่ายเกมย้ายออกกันรัวๆ
เห็นด้วยเลย ตลาดเกมมิ่งค่ายที่ไปได้คือค่ายที่มีเกม exclusive ในมือ อย่าง Nintendo ไม่ว่าจะพลาดไปกี่ครั้งก็จะพลิกตัวกลับมาได้เสมอ เพราะมีฐานแฟน ๆ คอยสนับสนุนอยู่ตลอด พอไอเดียปังปุ๊บก็จุดติดเลย
คราวนี้ไอเดีย game pass ยังเป็นแนวคิดทดลองอยู่ ยังไม่แน่ใจว่าตลาดให้การตอบรับจนถึงจุดที่สามารถอยู่รอดได้ในอนาคตหรือเปล่า แต่อย่างน้อยการที่มีค่ายเกมอยู่ในมือก็ยังสามารถปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ได้ตลอดเวลา
ซึ่งไทยไม่มีทั้ง Xbox และ Cloud Gaming ของไมโครซอฟต์ -.-'
ก็ได้แต่ฝันไป ไม่กลายเป็นจริงสักที
ก็ได้แต่รอทั้งปี และฉันต้องเหงาอย่างนี้ถึงเมื่อไร
ไปเล่นเกม PC ต่อไป
ตลาดโลกที่สามก็สู้รบด้วยสตีมแทน อะไรแบบนี้ครับ
มันต้องเปนหนังที่ interact แบบเกม ผ่าน cloud service แน่ๆ อย่างที่ netflix พยายามทดลอง แล้วถ้ารวมๆไปวิเคราะห์แบบ scene by scene ว่าแบบไหนจะปัง ก็สร้างแบบนั้น ล้ำมาก
เมื่อไหร่จะทำตลาดไทย รอซื้อแต่ไม่มาขายซักที
+1
ผมกำลังรอดู latency ติดลบอยู่นะครับ :)
-(-100) ได้มั้ยครับ
เอาจริง ๆ ผมก็ไม่ใช่ว่าจะไม่สนับสนุนสตรีมมิ่งนะ เพราะมันแก้ปัญหาได้หลายอย่าง โดยเฉพาะการม๊อดเกมและการโกงเกม (ซึ่งก็คงไม่หายไปเลยแต่น่าจะน้อยลงมาก) แต่ตราบใดที่ยังทำ overall latency ต่ำกว่า 15-30ms ไม่ได้ คนเล่นคงไม่โอเคน่ะครับ
แต่มันก็สร้างปัญหาระยะยาว เช่นการพัฒนาเกมจะแพงขึ้นมาก GPU จะกลายเป็นของใน data center แทน คนเล่นจะซื้อไม่ได้ developer เองก็ต้องเช่าใช้ และคิดว่าราคาไม่น่าจะถูกครับ ซึ่งอันนี้เป็นปัญหาของ developer ที่คนเล่นคงไม่โดนอะไร
อ้อ อีกอย่างคือ ผมยังอยากเห็นตัวเลข "ไม่ต้องห่วงฉัน" ของไมโครซอฟท์อยู่ว่า เท่าไหร่กันแน่ นะครับ
เห็นข่าวไปซื้อ ZeniMax Media ด้วยราคาเท่านั้นก็ไม่ต้องห่วงฉันแล้วละครับ
พอมาดูแล้วเหมือนโซนี่โดนจุกเหมือนกันนะดีลนี้
อาจจะต้องมีการรีครูทสตูดิโออื่นมาภายใต้ปีกให้มากขึ้น
มองว่าคู่แข่งที่แท้จริง คือ Amazon Luna
Google Stadia ไม่ใช่ เพราะไม่จริงจัง
สุดท้าย Sony เองก็จะไม่ใช่คู่แข่ง เพราะระบบคลาวด์ก็มาใช้ของ Microsoft แล้ว
สมมติว่า ถ้า Sony เอา Gaikai/PS Now มารันบน Azure นี่ยังเข้าข่ายไม่ใช่คู่แข่งไหมครับ
ไม่คิดงั้นครับ ผมว่า Sony มีความเป็นอาร์ตเยอะ ดูจาก AAA ก็ไอ้ตัว AAA นี่แหละคือจุดขายอนาคตของ VR/AR ไม่ใช่ปริมาณของเกม หรือ ความแรงของ ฮาร์ดแวร์