เมื่อเช้านี้หลังกรมประชาสัมพันธ์เผยแพร่คำเตือนของกระทรวงดิจิทัลว่าให้ระวังการโพสโซเชียลผิดกฎหมาย ทางกระทรวงเองก็ประกาศรายละเอียดออกมาเพิ่มเติมว่าจะเอาผิดกับกลุ่มผู้โพสต้นทางก่อน โดยระบุชื่อได้แก่ ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์, สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล, ภาณุพงศ์ จาดนอก (ไมค์ ระยอง) พร้อม Voice TV และเพจ Free YOUTH
ทางกระทรวงไม่ได้ระบุว่าจำนวนโพสที่จะเอาผิดกับบุคคลเหล่านี้เป็นจำนวนกี่โพส แต่ระบุเพียงจำนวนรวม 324,990 เรื่อง เป็นทวิตเตอร์ 75,076 เรื่อง, เฟซบุ๊ก 245,678 เรื่อง, และเว็บบอร์ด 4,236 เรื่อง ในจำนวนนี้รวมถึงการรีทวีตและกดแชร์ไปด้วย
ทางกระทรวงยังระบุว่าได้สั่งปิด Royalist Market Place (ตลาดหลวง) ไปแล้วสองครั้ง หากแพลตฟอร์ม (ซึ่งก็คือเฟซบุ๊ก) ไม่ยอมปิดก็จะดำเนินคดีตามมาตรา 27 ของพ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ต่อไป โดย Royalist Marketplace นับเป็นจุดเริ่มต้นความขัดแย้งระหว่างเฟซบุ๊กและทางกระทรวงเนื่องจากเฟซบุ๊กออกมาเปิดเผยว่าทางกระทรวงขู่จะดำเนินคดีอาญากับตัวแทนเฟซบุ๊กในไทย ทางเฟซบุ๊กจึงต้องยอมปิดเพจ อย่างไรก็ดีหลังปิดเพจไปเพียงวันเดียวเพจ "ตลาดหลวง" ที่เปิดขึ้นมาใหม่ก็มีสมาชิกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
Comments
กระทรวงนี้เพื่อเศรษฐกิจและสังคมจริงหรือ?
เศรษฐกิจของใครอ่ะ
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจ(ของคนรวย)และสังคม(ชนชันสูง)
ไม่เข็ดใช่ไหมครับกระทรวงนี้ ชอบทำอะไรให้คนอื่นเขาสมน้ำหน้าได้เนาะ
สมเส็ดโดนอีกแล้ว
บล๊อกได้จริงเหรอ?
ได้มีทำ backup ไว้ไหมเนี่ย พวกเพจ Facebook เนี่ย ถ้าโดนบ่อย มีเหนื่อยจนไม่อยากสร้างเพจอีก
ความล้มเหลว คือจุดเริ่มต้นสู่ความหายนะ มีผลกระทบมากกว่าแค่เสียเงิน เวลา อนาคต และทรัพยากรที่เสียไป - จงอย่าล้มเหลว
ผมละอยากรู้จริงๆ เพจอาจารย์ สมศักดิ์ นี่มีคนกดlikeกี่คน เวลาแกโพสแต่ละทีบาง status นี่ยอดlikeพอๆกับเพจเจี๊ยบเลียบด่วนเลยนะ (รายนั้นคนlikeเกือบ3ล้าน)
อจารย์เหมือนเป็นเฟสส่วนบุคคลครับ ไม่ใช่เพจ แต่แกตั้งเป็น Public
การไล่ปิดไม่ใช่วิธีการทำให้คนเปลี่ยนความคิดครับ
สิ่งที่เด็กรุ่นใหม่และคนรุ่นใหม่มีก็คือสกิลการสืบหาข้อมูล เมื่อแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่เคยเข้าถึงยากและออฟไลน์ในอดีตรุ่นพ่อรุ่นแม่มันถูกปลดปล่อยออกมาสู่โลกออนไลน์ที่คนคลิกเพียงไม่กี่คลิกก็สามารถรับรู้ข้อมูลที่ต้องการได้แล้ว
รวมถึงการดิสคัสในเรื่องราวที่ตัวเองสนใจและเพิ่งรับทราบมามันไม่ถูกจำกัดด้วยการมี Social Media โลกหมุนไป สังคมและแนวคิดคนก็หมุนตาม
ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืนในโลกใบนี้
เปลี่ยนชื่อเป็นกระทรวงบล็อกเว็บ หน้าที่และผลงานมีอยู่แค่นั้น
single gateway สิครับ ง่ายดี
ขาดฝรั่งคนนึงนะ
...
เบาได้เบา เดี๋ยวผมไม่เหลือที่เสพย์ข่าวของประเทศตัวเองที่ต้องให้ประเทศอื่นรายงาน
แอนดรู.....
"Those who make peaceful revolution impossible will make violent revolution inevitable." JFK.
... บิกส์ ใช่ไหมครับ? :-)
นักฟุตบอลลิเวอร์พูลป่าวครับ
เค้ามีนโยบายเชิงรุกถี่ๆ
แสดงว่า.... จะถึงแล้วซินะ
หาเสียง?
ปิดเพื่อเอาใจชาวของหวาน แค่นั้นแหละ
เขาจะรู้เรื่องบ้างไหมนะ ว่าที่ทำไปมันเปล่าประโยชน์
การปิดสื่อพวกนี้ไม่ได้แก้ปัญหาที่ปลายทางเลย
กลับกัน เพราะมันยิ่งจะทำให้คนรู้สึกต่อต้านมากขึ้นกว่าเดิมอีก นี่เขานึกไม่ได้หรือไง?
มันเหมือนเป็นการช่วยยืนยันว่าสิ่งที่ปิดเป็นเรื่องจริงนะสิ
เพราะถ้าเป็นเรื่องไม่จริงจะต้องโต้แย้งด้วยความจริง
ขยี้ตาแล้วดูชื่อกระทรวงสองสามรอบ
ยิ่งปิด แล้วเปิดใหม่คนยิ่งเยอะ พอออกข่าวว่าโดนปิดคนยิ่งอยากเข้า กลุ่มเก่าแค่หลักแสน พอมีข่าวโดนปิดแล้วเปิดมาใหม่ทีเกือบ 2 ล้านแล้ว
โง่ซ้ำซาก
v2 ต้องมาแล้ว
ฺV3 ครับ ไม่ใช่ V2 ถถถถถถถ
การสั่งปิดเพจมันเป็นการแก้ที่ปลายทางนี่สิ คือยิ่งสั่งปิด คนก็จะสงสัยว่า ทำไมเพจถึงสั่งปิดก็จะยิ่งติดตาม แล้วถ้าเจอว่ามีการไปเปิดชื่อใหม่ ก็จะตามชวนๆ แชร์ๆ เพื่อให้ไปเพจใหม่ มันเหมือนวิ่งไล่จับอ่ะ แบบนี้มันก็ไม่ต่างกับรัฐบาลยุคก่อนๆ ที่ผ่านมาเลยนะ ถ้ามีนักวางกลยุทธการเมืองเก่งๆ ที่ไม่ใช่นักการเมืองที่เล่นแต่การเมือง หรือไม่ใช่นักการทหารที่เล่นแต่กลยุทธวิธีทางทหาร ผมเชื่อว่าการเมืองมันจะดีกว่านี้เยอะมาก
แบบนี้เค้าเรียกว่า...
ทำงานแล้วนะ.php
ปิดปากคุณได้ก็จะปิดปาก เดี๋ยวคุณรับฝาก ความรักจากใคร
พี่ก็อตก็มา
ปิดจมูกไม่ให้ได้กลิ่น ปิดหูไม่ให้ได้ยินเสียงใคร
ปิดไม่พอ ไม่อธิบายด้วยว่าที่เค้าเขียนมามันผิดยังไง ความถูกต้องคืออะไร หรือที่เขียนมาถูกต้องทั้งหมดอยู่แล้ว?
มือใหม่!! ใหม่จริงๆนะ
รับรองกลุ่มที่จะเกิดใหม่จะคนเยอะยิ่งกว่าเดิมอีก การปิดกั้นไม่ช่วยแก้ไขหรอก
รับรองกลุ่มที่จะเกิดใหม่จะคนเยอะยิ่งกว่าเดิมอีก การปิดกั้นไม่ช่วยแก้ไขหรอก
ลองฟ้อง Facebook ว่าเจ้าของบัญชีเหยียดคนกินกะเพราใส่ถั่วฝักยาวดูครับ
:-)
คือเค้ายังยืนยันจะใช้วิธีเดิมๆในโลกสมัยใหม่ ซึ่งจากที่ทำๆมาคือยังไม่รู้ตัวอีกเหรอว่ามันเปล่าประโยชน์
พยายามปิดหูปิดตาประชาชนไม่ให้มีการเผยแพร่ข้อมูลด้านลบของฝั่งตัวเอง ทั้งบล๊อคเว็บ, แบนเพจ, ปิดสำนักพิมพ์, จับแกนนำเข้าคุก แต่นี่มันยุคที่ข้อมูลไหลผ่านมือกันได้ทุกวินาทีเนี่ยนะ
เหมือนว่าพวกเขาไม่สนใจอะไรแล้ว สนแต่ปิดหูปิดตาประชาชน ให้เชื่อในสิ่งที่พวกเขาสะสมและบ่มเพาะมานานหลายสิบปี ถ้าจะปิด Internet ก็ย่อมทำได้ ตราบใดที่เขายังมีอำนาจและเมื่อถึงขีดสุดจริงๆ
จากสภาพของรัฐบาลในตอนนี้ เขากล้าปิด Internet ทิ้งแน่นอน ซึ่งเป็นยาแรงสูงสุด ยอมแลกระหว่างความเสียหายทางเศรษฐกิจกับการควบคุมสถานการณ์ที่เบ็ดเสร็จ และอาจมีรัฐประหารซ้อนด้วย
ความล้มเหลว คือจุดเริ่มต้นสู่ความหายนะ มีผลกระทบมากกว่าแค่เสียเงิน เวลา อนาคต และทรัพยากรที่เสียไป - จงอย่าล้มเหลว