ศบค. แถลงข่าวถึงประกาศฉบับที่ 17 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินโดยระบุถึงมาตรการเพิ่มเติมจากเดิมคือการสนับสนุนการติดตั้งและใช้แอปพลิเคชั่นหมอชนะ โดยในการแถลงข่าวโฆษกศบค. ระบุว่าผู้ติดเชื้อ COVID-19 แล้วไม่ได้ติดตั้งแอปหมอชนะจะถือว่าทำผิดจากประกาศนี้
ข้อความในตัวประกาศไม่ได้บังคับให้ติดตั้งโดยตรง แต่บอกเพียงว่า "รัฐบาลสนับสนุนให้ประชาชนติดตั้งและใช้ระบบแอปพลิเคชัน “หมอชนะ” ซึ่งเป็นการพัฒนาและประสานความร่วมมือระหว่างภาคเอกชนและภาครัฐ"
แอปพลิเคชั่นหมอชนะเป็นแอปพลิเคชั่นที่เก็บข้อมูลอย่างละเอียดโดยอาศัยการกระจายหมายเลขประจำตัวบัญชีผู้ใช้ออกไปรอบๆ ทำให้โทรศัพท์เครื่องอื่นๆ สามารถมองเห็นได้ว่าเข้าใกล้บัญชีผู้ใช้งานอื่นเวลาใดบ้าง พร้อมกับการเก็บข้อมูลพิกัดจาก GPS และยังอัพโหลดข้อมูลเหล่านี้กลับเซิร์ฟเวอร์ตลอดเวลา แนวทางของหมอชนะนับว่าแตกต่างจากการให้บริการ Contact Tracing ที่กูเกิลและแอปเปิลเพิ่มเข้าไว้ในโทรศัพท์ โดยทั้งสองบริษัทหลีกเลี่ยงการดึงข้อมูลส่วนตัวมากเกินไปด้วยการใช้กระจายหมายเลขประจำตัวชั่วคราวที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาเพื่อป้องกันคนที่ไม่เกี่ยวข้องไปติดตามตัวผู้ใช้งาน ไม่เก็บข้อมูล GPS ตลอดจนไม่อัพโหลดข้อมูลกลับเซิร์ฟเวอร์จนกว่าจะยืนยันว่าเป็นผู้ป่วย
แนวคิดการบังคับติดตั้งแอปพลิเคชั่นหมอชนะมีมานาน ปีที่แล้วแนวคิดเช่นนี้ทำให้ดร. นพ.นวนรรน ธีระอัมพรพันธุ์ ถอนตัวออกจากโครงการไป
ที่มา - NBT
Comments
ปู่ย่าตายายที่ใช้มือถือปุ่มกดล่ะ
รู้สึกผิดหวังจริง ๆ
บล็อก: wannaphong.com และ Python 3
ปกติอ่านอย่างเดียว
วันนี้ต้อง Login มาขอร่วมลงชื่อในกระทู้นี้ครับ
Feel disappoint ฮะ
รัฐบาล ส้....น เห้อ เดี่ยวโหลดให้ แต่ block background running และ permission ทุกอย่างเลยละกัน
ในฐานะแพทย์เอง ผมก็รู้สึกผิดหวังครับ orz
ไม่ว่าจะในฐานะแพทย์หรือประชาชนผมก็รู้สึกเช่นนั้นครับ ผิดหวัง
ไม่ผิดหวังอะไรทั้งนั้นแต่ รู้สึกของขึ้นเลย
ถ้ามีปัญญาแจกมือถือฟรี + app ก็ยินดีครับ
ต้องแถม net ด้วยครับ มันเป็ภาระสำหรับหลาย ๆ คน
จังหวัดที่ผมอยู่ประกาศไม่เผยไทม์ไลน์ ไม่ลงข้อมูลพิกัดผู้ติดเชื้อ หยุดอัพเดทพิกัดผู้ติดเชื้อมาจะครบอาทิตย์ละ แต่ยอดผู้ติดเชื้อแถวบ้านเพิ่มทุกวัน
จะให้ผมลงแอพทำไม ถ้ามันไม่เข้าระบบ แถมระบบก็ยังมีบั๊กอยู่เพราะลองกรอกข้อมูลแบบหลอกๆ ว่าสัมผัสผู้ป่วยโดยตรงแถมอยู่ในโซนแดง แอพยังบอกว่าเสี่ยงต่ำ
ต้องมีสมาร์ทโฟนแล้วต้องมีเน็ตด้วยอีกนะ
รัฐบาลควรให้ใช้ Exposure Notification แทนได้แล้ว (พูดเป็น 10 รอบแล้ว) เพราะระบบนี้มันเกินไปหน่อย และไม่ respect privacy ด้วย
Coder | Designer | Thinker | Blogger
ไม่ Respect จริงครับ ขอเยอะสุดในบรรดา app tracing
Ref: https://www.dpexnetwork.org/articles/comparative-review-contact-tracing-apps-asean-countries/
ไอ้ที่ขอไปไม่ค่อยแปลกนะ ผมมองว่ายังไงก็ดีกว่าปินส์ ที่ขอสิทธิ์ media file ด้วย
คือตอนนี้ต้องเชื่อตามที่ประกาศใช่ไหมครับ (ถ้าไม่คิดว่าการประกาศอาจจะพูดผิดก็ได้) ถึงแม้ตัวกระดาษไม่ได้เขียนไว้ ก็เชื่อตามนั้นไม่ได้
ถ้าตามหลักการจริงๆ มันควรจะเชื่อเอกสาร แล้วการประกาศก็ควรจะตรงกับในเอกสารด้วย แต่ของเราไม่ต้องเชื่ออะไรหรอกมั้งครับ เดี๋ยวสักบ่ายสามนายกก็ออกมาพูดอีกอย่าง
ถูกเผง กลับลำแล้วครับ 555
นอสตาดามุส
แอคอวตารของสุกรีหรือเปล่าครับ
:-)
ทีแรกเข้าใจว่าตัวประกาศไม่ได้บังคับ แต่ต้องไปอ่านข้อ 2 ในข้อกำหนดครับ เขียนว่า พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (จันทบุรี ชลบุรี ตราด ระยอง สมุทรสาคร) ใช้คำว่า "และให้ผู้ที่อยู่ในเขตพื้นที่ดังกล่ำวติดตั้ง และใช้ระบบแอปพลิเคชันหมอชนะ" ผมจึงเข้าใจว่าใครอยู่ใน 5 จังหวัดนี้ บังคับลงแอพครับ
ข้อกําหนดออกตามมาตรา 9 ฉบับที่ 17
http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2564/E/004/T_0001.PDF
ตามประกาศนี้จริงๆ ก็บังคับแค่ 5 จังหวัด
แต่หมอ บอกว่าบังคับ 28 จังหวัดเลย....ตอนหลังออกมาขอโทษที่ทำให้"คนฟัง"เข้าใจผิด"ไปเอง"ว่าบังคับ
แจก net ฟรี
แจกโทรศัพท์ให้เขาด้วย
ลง app แล้ว สามารถกำหนดว่าจะให้ความเสี่ยงสูงมาก หรือต่ำมากก็ได้ แล้วแต่อารมณ์ตอนกรอก
แจกมือถือแจกเน็ตแจกค่าไฟด้วย เด๋วจะติดตั้งตาม
แจกพาวเวอร์แบงค์ด้วย กินแบตมากแอปนี้
ผมแอบเห็นด้วยนะ เรื่องบังคับให้ทุกคนลง แต่ควรมีข้อยกเว้นสำหรับคนที่ไม่มีสมาร์ทโฟน
เพราะเท่าที่ดู คอนเซปของหมอชนะ จะไม่มีใครรู้ว่า id นี้เป็นของคนชื่ออะไร เพราะเก็บแค่รูป
จนกว่าจะไปเจอตอนตรวจเจอ. ซึ่งผมว่ามันก็ไม่ได้แย่นะ ผมชอบมากกว่าไทยชนะมาตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ
เพราะ app นี้มันจะดีมาก ๆ ก็ต่อเมื่อคนลงเยอะ ๆ การบังคับมันจะทำให้เกิดผลเร็วกว่าในการควบคุมโรคและการตรวจสอบ timeline เพราะมีคนปกปิดเยอะมาก จนบุคลากรทางการแพทย์เสี่ยงมาก ๆ
ถ้าไม่ไปทางนี้ก่อน แล้วเราจะไปทางไหนล่ะ ถ้ามันช่วยให้การติดตามง่ายขึ้นมาก ๆ ทำไมถึงจะไม่ทำมันล่ะ
ตอนนี้รัฐก็แทบไม่บอกไทม์ไลน์แล้วครับ แต่รัฐดันไม่ผิดนี่สิ ปาะชาชนก็หวังพึ่งพาข้อมูลจากรัฐให้รัฐประกาศ แต่รู้สึกว่าจะพึ่งพาไม่ได้เลย
ผมเองลงแอพนี้ก่อนหน้าเพราะคนในหมู่บ้านติดโควิด 4 คนแล้ว แอพยังบอกเสี่ยงน้อยอยู่เลย
เอาจริงๆ ลองทำแบบสอบถามให้เสี่ยงสูงก็ยังประเมินออกมาว่าเสี่ยงต่ำอยู่เลย
ทฤษฎีและแนวคิดผมก็เห็นด้วยครับ แต่มันพังเพราะในทางปฏิบัติมันทำงานไม่คลุมตามแนวคิดที่วางไว้อ่ะ
รัฐประกาศนะครับ แต่การประกาษมันขึ้นกับแต่ละจังหวัดจัดการ
ถ้าเป็นของ กรุงเทพ กับ นนทบุรีที่ผมตามอยู่
timeline ค่อนข้างละเอียด. แต่ นนทบุรีจะบอกชื่อสถานที่เยอะกว่าของ กรุงเทพ
แล้วก็ line AWAY COVID 19 ก็. update ตลอดนะ
สามารถกดดู timeline ของคนที่ติดได้เลยด้วย
ถ้าแบบนั้นก็ make sense เฉพาะพื้นที่อ่ะครับ
คล้ายๆ แบบนี้ไหมครับ
ผมคิดว่าการป้องกันการระบาดที่ดีที่สุดไม่ใช่การป่าวประกาศว่าผู้ติดเชื้อไปไหนมาด้วยซ้ำครับ
อนามัยส่วนบุคคลต่างหากที่ต้องส่งเสริม ถ้าจะบังคับอะไรสักอย่างนึง บังคับสวมหน้ากาก 100% ในที่สาธารณะน่าจะตรงจุดกว่า
ถ้าสร้างข้อยกเว้น นั่นคือการเลือกปฏิบัติในการบังคับใช้กฏหมายครับ นี่กฎหมายอาญานะครับ
I need healing.
หมอเขาบอกนะครับถ้าไม่มีก็ช่วยจดใส่กระดาษด้วยว่าไปไหนบ้างจะได้ตามถูก
ให้รองรับ Exposure Notification ก่อน เราถึงจะลง
แต่ลงไปแล้ว ถ้าต้องการตำแหน่ง GPS ก็รับ ละติจูด null ลองติจูด null ไปนะ
ก็ลงไปปิด permission ให้หมดซะ
ลงก็เหมือนไม่ลง
เคยลงตอนมันมาใหม่ๆ ใช้ Mate20X แบต 5000 เหมือนทำให้ใช้มือถือแบต 2500 ได้ แล้วก็ขอ permission ส่วนตัวในส่วนที่ไม่น่าจะเกี่ยวข้องไปทำไม
ที่คอมเม้นกัน ทุกๆท่านก็มีโทรศัพท์ มีเน็ทใช้ไม่มีท่านใดมีปัญหา
ไม่ต้องไปซีเรียสคนไม่มี
ช่วยกันทุกๆทางเพื่อป้องกันเท่าที่ทำได้ แก้ได้ไม่ได้ก็ช่วยส่วนรวมไปก่อน ทำได้ง่ายๆคือให้ความร่วมมือ เพื่อประโยชนส่วนรวม
ประเด็นคือเรื่องของ privacy และเรื่องของการกินแบตครับ ระบบที่ออกมานั้นมีการเก็บ location ตลอดเวลาว่าไปที่ไหนมาไหน ส่งผลให้เราเสียความเป็นส่วนตัว แถมสูบแบตในเครื่องมหาศาล
ซึ่งเมื่อเทียบกับระบบ Exposure Notification ที่รักษาความเป็นส่วนตัวและกินทรัพยากรน้อยกว่า มันจึงเป็นตัวเลือกที่ดีกว่ามาก
ผมเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องประโยชน์ส่วนรวม แต่ประเด็นคือ เราจะเชื่อใจรัฐบาลมากน้อยแค่ไหนในการรักษาความเป็นส่วนตัวของประชาชน
Coder | Designer | Thinker | Blogger
ลองเปิดไว้อาทิตย์นึง กินแบต 2% เท่ากับ Google Map นะครับ ข้อมูลก็เก็บ bluetooth, motion, location, กล้อง (ปิดได้)
ไลน์กินไป 12%
ตัวเองรอด ไม่เดือดร้อน คนอื่นช่างหัวมัน?
บ่นตั้งแต่ไทยชนะรอบแรกแล้ว รัฐต้องprovide เนทฟรีสำหรับการเข้าถึงเวบ หรือการใช้แอพ สำหรับทุกคนด้วยซ้ำ
เห็นเด็กมัธยมเติมเงินมือถือ เติมเงินเนท แล้วเงินหมดสุดท้ายก็ต้องไปกรอกชื่อลงกระดาษ ซึ่่งไม่น่าจะมีประโยชน์ใช้จริง
การสั่งอะไรมันต้องดูผลกระทบและการใช้งานจริงด้วย
เห็นด้วยเลย ต่อให้คนมีอินเตอร์เน็ต 99% ก็ต้องทำเผื่อให้ 1% ที่เหลือด้วย ไม่ใช่คิดบนฐาน 99%
เพราะคน 1% ถ้าเป็นกลุ่มเสี่ยงขึ้นมา ที่ทำไว้ 99% จะมีความหมายอะไร
อย่าว่าแต่คนไทยยังไม่ได้มีอินเตอร์เน็ต 99% ด้วยซ้ำ
+1
คนมีพูดแทนคนไม่มีนี่ผิดตรงไหนเหรอครับ
I need healing.
เห็นด้วยครับ มีดีกว่าไม่มี
มันไม่ได้ทดแทนทุกมาตรการณ์ วิธีการอื่นในการป้องกันก็ทำกันไปเหมือนเดิม ไม่ได้หวังผล 100%
สำหรับผมแค่มีประโยชน์กับคน 10% ผมก็ว่าคุ้มแล้ว
ระบบอุดรูรั่ว 10-20% หลายๆระบบใช้ร่วมกัน อาจไปถึง 99.99% ได้เช่นกันครับ
ทำไมถึงพูดแทนคนที่ไม่มีไม่ได้อ่ะครับ ทั้งๆที่มันคือสิ่งที่คนทั้งประเทศควรจะเข้าถึงได้เท่าๆกัน แล้วมาทิ้งประโยคสุดท้ายไว้ว่าเพื่อส่วนรวมนี่ไม่รู้สึกขัดกันเองเหรอครับ
ตรรกะเหมาะกับประเทศที่ชอบซุกปัญหาไว้ใต้พรมดีครับ
ยกนิ้วให้เค้าเลย
นิ้วกลาง?
ชงแบบนี้ฆ่ากันชัดๆ 555
ไม่เหลือให้ตบเลย
โทษๆ เล่นไม่เป็น เอาใหม่?
ยกนิ้วกลาง นิ้วเดียวมันเหงานะ ยกนื้วชี้ กับ นิ้วนางขึ้นมาด้วย ..
เออนั่นแหละ ชูสูงๆ สูงๆ ซิ๊ ทำนิ้วติดๆ กันด้วย เอออ อย่างงั้น ๆ ชูไว้นะ
เอาหล่ะ
ผมไป WFH ต่อก่อนนะ ที่เหลือฝากด้วย
----- วิ่งงงงงงง
ทั่นไปโดนตัวไหนมา
สิ่งที่ควรบังคับ และดูจะให้ความร่วมมือได้ง่ายกว่าคือ ออกกฎให้ใส่หน้ากากอนามัยในที่สาธารณะ ทำไมไม่บังคับนะ
ชลบุรีบังคับแล้วนะ
ควรจะต้องออกมาจากส่วนกลาง แล้วบังคับใช้พร้อมกันทั้งหมดป่ะครับ?
ทีบังคับให้คิดตั้งแอพ หมอชนะ ยังทำได้เลย
ให้ทายนะ เดี๋ยวคงมีออกมา ...
สังคมบังคับแล้วครับ ไม่ต้องออกกฎหมาย นาทีนี้ใครออกไปข้างนอกไม่สวมหน้ากากในที่สาธารณะ คนรอบข้างจะรังเกียจยิ่งกว่าขี้อีกครับ
เมื่อกี้ผมเดินออกไปนอกบ้าน เห็นคนอายุ 20 กว่าๆ เดินมาเป็นกลุ่ม (น่าจะมานั่งร้านกาแฟในซอยบ้าน) ไม่ใส่หน้ากากสักคนครับ (กรุงเทพ แต่ในซอยไม่ค่อยพลุกพล่าน และคนพวกนี้นั่งรถส่วนตัวมา)
ติดตั้งตลอดครับ ถ้าช่วยได้ก็ยินดีช่วย ไม่บ่น
ไม่ได้บ่น แต่ประท้วงสิ่งที่รัฐบาลกำลังคุกคามประชาชน
ถ้าคิดว่าคุกคาม ก็ไม่ต้องติดตั้งครับ ไม่ได้จับ
ผมยินดีทำตามความเชื่อของผม ใครจะทำ ไม่ทำก็เรื่องของคนนั้น
แค่เปลืองแบต แล้วช่วยกันลงทุกคน สำหรับคนที่ลงได้ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในป้องกันโรคนี้ที่ผลกระทบมันรุนแรงกว่าเปลืองแบตเยอะ ผมก็ยอมนะตอนนี้ลงไปละ ถึงจะไม่ชอบมันเท่าไหร่...
ครับ
แยกประเด็นให้ออกครับ เห็นบางคนพยายามบอกว่าต้องช่วยกันเพื่อส่วนรวม เรื่องนั้นผมเห็นด้วย แต่ประเด็นในเรื่องนี้คือการที่มัน "บังคับ" ต่างหากครับ
ถ้าไม่รู้ว่าบังคับแบบมีโทษมันจะมีผลเสียยังไง... ลองนึกดูนะครับ ถ้าคนที่เขาไม่มีมือถือ/ไม่ได้ติดตั้งแอปไว้เกิดป่วยขึ้นมา แล้วถ้าเขาไม่ยอมไปรพ.เพราะกลัวว่าจะติดคุกหรือไม่มีเงินจ่ายค่าปรับ คิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นครับ??
ทำไม ‘หมอชนะ’ ไม่ใช้ Exposure Notification API ของ Google กับ Apple? — Chatchai Khunpitiluck — DEPA Sr.EVP
ตรงส่วน ข้อกังวลที่ทีม ‘หมอชนะ’ ได้คุยกับตัวแทนของ Google และ Apple
ในข้อ 1 พอเข้าใจได้ ส่วนใน ข้อ 2 คือขยายความข้อ 1
ข้อ 3 ผมว่าโอกาสที่จะเกิดความเสี่ยงดังกล่าวนั้นน้อยมาก ยิ่งถ้ามองว่าจะมีปริมาณผู้ใช้งานที่เสียไปเพราะไม่ติดตั้งใช้งานหรือติดตั้งแต่ไม่ให้สิทธิ์เพราะกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัว นั่นยังไม่รวมกรณีไม่มีสมาทโฟนที่มีอินเทอร์เน็ต
Exposure Notification API ติดตรงจะไม่สามารถใช้ข้อมูลจาก API ที่แจ้งตำแหน่ง(GPS/Bluetooth)ได้แล้ว ซึ่งแนวทางของแอปดูแล้วคงได้รับมอบหมายให้เก็บข้อมูลทุกอย่างที่เก็บได้ให้มากที่สุดเลยต้องไปแนวทางนี้
ผมสงสัยว่าในเมื่อไม่ใช้ exposure notification api แล้ว ตอนนี้มัน cross platform มั้ยครับ สำหรับการ contact tracing โดยใช้ bluetooth
อยากเห็นคนโดนจับเพราะเรื่องนี้
น่าจะเป็นปัญหาพอควรนะครับ ป่วยก็ป่วย อาจตกงานอยู่ อาจติดหนี้อยู่ คนในบ้านอาจป่วยอยู่ ถูกจับเพราะไม่ลงแอพอีก แต่ผมสนับสนุนให้คนที่ลงได้ก็ควรลงนะ ใครที่ลงไม่ได้อันนั้นก็ละเอาไว้
แค่ขู่ ไม่จับจริงหรอก จริง ๆเค้าแค่ต้องการขอความร่วมมือ ลองอ่านอีเจี๊ยบสรุปผมเห็นด้วยกับมันนะเกี่ยวกับเรื่องนี้
ถ้าโดนจับจริง... จากนี้ไปก็อาจจะมีคนที่ป่วย/เสี่ยงไม่กล้าไปตรวจเพราะกลัวโดนจับ
ถ้าคนที่ว่ากักตัวเองก็โชคดีไป แต่ผมคิดว่ากลุ่มที่ไม่สามารถใช้แอปได้ส่วนใหญ่น่าจะเป็นกลุ่มหาเช้ากินค่ำ ซึ่งมีโอกาสสูงที่เขาจะไปไหนมาไหนระหว่างนั้นนี่สิ
คุกตอนนี้ล้นแทบแย่แล้วนะ น่าจะไม่พอขังด้วยซ้ำถ้าหากจับจริง
Coder | Designer | Thinker | Blogger
ไม่ต้องถึงกับโดนจับอะไรหรอก ผมว่าอยากจะให้แค่ตัดสิทธิ์ค่าใช้จ่ายรักษาอะไรก็พอแล้วมั้ง เขาบอกเองนิว่าไม่บังคับให้ลงก็จริง แต่ถ้าไปติดที่ไหนมา เกิดไปหาหมอแล้วไม่มีแอปมาแสดงประวัติ ค่าใช้จ่ายรักษาคุณต้องออกเองทั้งหมดอะไรอย่างเนี่ยก็พอแล้ว ไม่ต้องถึงขั้นติดคุกไปเป็นภาระที่อื่นหรอก
แบบนี้ต่างอะไรกับบังคับให้ตายอยู่ในบ้านล่ะครับ
I need healing.
ใครจะบังคับให้อยู่แต่ในบ้านล่ะครับ
ผมกำลังบอกว่า ถ้ารัฐอยากสนับสนุนให้โหลดแอปจริงจัง น่าจะต้องสร้างเงื่อนไขอะไรสักอย่างเพื่อดึงคนหน่อย
แบบว่าแค่โหลดแอป หากติดขึ้นมาก็ได้สิทธิ์รักษาฟรีอะไรงี้ น่าจะดีกว่า หรือถ้ามีวิธีที่ดีกว่าก็เสนอมาเถอะ
อย่างน้อยก็จะได้บอกคนบางคนที่เห็นแก่ตัวได้ว่า ถ้าไม่สนใจที่จะโหลดเพื่อส่วนรวม อย่างน้อยก็โหลดเพื่อตัวเองบ้าง
แปลว่าถ้าไม่ได้โหลด ไม่รักษาฟรี ไม่มีเงิน งั้นนอนปล่อยเชื้ออยู่บ้านก็ได้สินะครับ
และคนไม่โหลดไม่ได้เห็นแก่ตัว รัฐบาลกำลังเห็นแก่ตัว ผลักภาระมาที่ประชาชน ลองคิดว่าทำไมเราถึงไม่ไว้ใจภาครัฐเก็บข้อมูล
แบบนี้คือรัฐเห็นแก่ตัวครับ
I need healing.
เรื่องแบบนี้มันต้องใช้ความร่วมมือจากทุกคนครับ
ไม่ใช่ผลักภาระไปให้รัฐรับผิดชอบฝ่ายเดียว
ไหนๆประชาชนเป็นเจ้านายของรัฐแล้ว (รัฐไม่กล้าล๊อกดาวน์ ไม่สั่งระงับวันหยุดปีใหม่ เพราะใคร)
ก็กรุณาอย่าเป็นเจ้านายที่เอาแต่ใจอย่างที่ชอบนินทากันหน่อยครับ ถ้าจะติ ก็บอกทางแก้ที่ดีกว่านี้มาหน่อย ไม่ใช่เอาแต่ไล่กลับไปทำใหม่จนกว่าจะพอใจแบบนี้
แอพต่อไปใครจะชนะอีกครับ
app .ผู้มีอภิสิทธิ์ชนชนะ. ครับ
บ่อนชนะ
หรือจะภาชนะ?
ฮ่าๆๆๆๆ
#หลับกำ
จะขังคนติดโควิดในคุกก็เอาดิ
มีข่าวออกมาแล้วว่าไม่โหลด ไม่ผิด
https://www.matichon.co.th/politics/news_2518041
ตามนี้ครับ เผื่อใครขี้เกียจเข้าไป อนุทินออกมาแก้ข่าวแล้วครับว่าไม่ผิด
ถ้างั้น อันที่บอกว่าจะจับนี่มีประกาศออกมาเป็นเอกสารราชการไหม ถ้ามี ในกรณีนี้ควรออกเอกสารแก้มาหน่อยหละมั้ง พูดปากเปล่าใครก็พูดได้แหละ
ไม่ได้บังคับนะ แค่ขอความร่วมมือ
ในช่วงระบาดของโควิค19 สิ่งที่ควรทำตอนนี้คือการป้องกันตัวเองก่อน ไม่ต้องรอให้รัฐมาประกาศ ไม่ต้องรอให้อยู่ในพื้นที่เสี่ยง ควรใช้เมสปิดก่อนออกจากบ้านทุกครั้ง กินอาหารก็รักษาระยะห่าง ส่วนเรื่องการติดตามไทม์ไลน์ ไม่มีเครื่องหรืออินเตอร์เน็ตซัพพอร์ต ก็จดโน็ตไว้สักหน่อยว่าไปไหนมาบางเพื่อสะดวกในการควบคุม
หน้ากาก/เจลล์ เป็นราคาที่ต้องจ่ายเพื่อป้องกันตนเอง
หมอชนะ เป็นราคาที่ต้องจ่าย(แบต/เน็ท)เพื่อป้องกันการระบาด แต่ไม่ได้ข่วยป้องกันตนเองติดนะ
หมอชนะ เหมือนเป็นภาษีสังคมที่เพิ่มขึ้นสำหรับคนที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยง ทั้งๆที่เค้าไม่ได้ทำอะไรผิด
ผมว่า รัฐต้องมองโจทย์ตรงนี้ให้ออกก่อนนะ ในการสร้างภาระหน้าที่เพิ่มเติมให้ประชาชนเนี่ย
เคยคิดไว้นานละตั้งแต่โรคระบาดช่วงแรก ๆ คือไม่คิดจะออกบัตรธรรมดา ๆ ติด QR Code ไว้ให้ประชาชนไว้ใช้สแกนสักหน่อยเหรอ ต้นทุนต่ำมากเลยนะ ไม่ต้องเก็บข้อมูลส่วนตัวอะไรเลย แถมได้ประวัติการเดินทางครบด้วย แต่นี่ให้ประชาชนทั้งต้องเปิดเน็ตสแกนเอง โหลดแอปเพิ่มอะไรก็ไม่รู้ กับคนไม่รู้เทคโนโลยีอะไรเลยจะให้ทำไง คนที่ไม่ได้มีโมบายล์อินเทอร์เน็ตเลย (แบบผม) จะให้ทำไง บอกให้ทำเพื่อส่วนรวมก็จบแล้ว เหรอ ทำไมรัฐบาลต้องผลักภาระมาที่ประชาชนทั้งที่มันไม่จำเป็นเลยแบบนี้ล่ะ
ปล. ถ้าจะอ้างเรื่องให้จดชื่อด้านหน้าก็ได้ คือให้จดชื่อเนี่ยบอกเลยแหล่งเชื้อโรคชั้นดีเลย แถมบางทีเราเข้าสถานที่เจอสมุดเต็ม พนักงานไม่เอามาเปลี่ยนด้วย และอีกอย่าง อยากถามจริง ๆ ไอ้ที่จด ๆ ไปน่ะ ได้รวบรวมข้อมูลเข้าฐานข้อมูลกลางหรือใช้ค้นหาแหล่งโรคระบาดจริง ๆ หรือเปล่า
+1 เห็นด้วยกับไอเดียบัตร QR Code ครับ
จริงบัตรประชาชนก็น่าจะใช้งานแทนกันได้นะครับ มีชิปไว้ทำไม ใช้ได้ไม่กี่แห่ง
ผมว่าใช้ token พกติดตัวน่าจะเป็นทางออกที่ดีครับ แจกให้ทุกคนไปเลย
แล้วรัฐจะจัดการเรื่องเบื้องต้นเหล่านี้อย่างไรล่ะ?
ด่านแรกเลยคือ ..ถ้าไม่มีโทรศัพท์สมาร์ตโฟน จะทำอย่างไร?
ด่านสอง ..ถึงจะมีเครื่อง แต่ไม่มีอินเทอร์เน็ตมือถือใช้ จะทำอย่างไร?
คือการไปบังคับให้ประชาชนทุกคนมีทั้ง 2 อย่าง ลองคิดสิว่า มันจะสร้างภาระให้ประชาชนบางกลุ่มขนาดไหน? ทั้งค่าเครื่อง+การบำรุงรักษาเครื่อง และอินเทอร์เน็ตมือถือ
คืออย่างน้อยๆ รัฐควรจะทำให้ประชาชนมีสวัสดิการที่จะได้รับโทรศัพท์สมาร์ตโฟนพื้นฐานและแบตฯ ฟรี ที่สามารถใช้แอปฯ ได้สบายๆ ก่อนไหม? แล้วตามด้วยการไปกำหนดให้เครือข่ายโทรศัพท์มือถือ ให้อินเทอร์เน็ตพื้นฐานสำหรับเบอร์เติมเงินให้มีความเร็วเพียงพอที่จะใช้งานแอปฯ ได้ (ต้องกด Kbps อ่ะ?) ถ้าทำไม่ได้ รัฐจะไปบังคับเขาให้มือ 2 สิ่งนี้ไม่ได้หรอกนะครับ
เบิ้ล -_-
เบิ้ล (อะไรเนี่ย -_-)
อันนี้ทริปเปิ้ลแล้วครับ :O
สรุปหมอคนนี้นี่พูด Fake news ออกอากาศแบบโต้งๆเลยสินะ