หลังเกิดอุบัติเหตุรถ Tesla ชนต้นไม้ มีผู้เสียชีวิตสองรายในเท็กซัส และอีลอน มัสก์ ออกมาระบุว่าจากข้อมูลที่เก็บได้ ระบบ Autopilot ไม่ได้เปิดอยู่ และระบบจะไม่สามารถเปิดใช้บนถนนที่ไม่มีเส้นได้
ทวิตของอีลอนเป็นการตอบAhmad A Dalhat ที่สงสัยในบทความของ The Wall Street Journal ที่ระบุว่าเจ้าหน้าที่เชื่อว่าตอนเกิดเหตุ รถไม่มีคนขับอยู่ เพราะ Ahmad เชื่อว่าระบบ Autopilot ของ Tesla มีระบบป้องกันและจะตรวจสอบว่ามีคนขับนั่งจับพวงมาลัยอยู่หรือไม่
ล่าสุด เว็บไซต์ Consumer Reports เว็บไซต์ข้อมูลผลิตภัณฑ์สำหรับผู้บริโภคที่ชูจุดเด่นที่ความเป็นอิสระ และไม่รับลงโฆษณาจากแบรนด์ใด ออกมาทำการทดสอบรถ Tesla Model Y ในสนามปิดที่มีเส้นแบ่งเลน พบว่าสามารถหลอกระบบ Autopilot ได้ โดยการเสียบเข็มขัดนิรภัยทิ้งไว้ และใช้โซ่ถ่วงน้ำหนักพวงมาลัย ให้เหมือนยังมีมือคนจับอยู่ โดยสามารถเพิ่มและลดความเร็วจากที่ปรับความเร็วบนพวงมาลัยได้ปกติ และรถก็สามารถวิ่งไปในสนามทดสอบได้โดยไม่มีคนนั่งบนที่นั่งคนขับ
Consumer Reports ระบุว่าระบบป้องกันของ Tesla ไม่เพียงพอที่จะตรวจสอบว่ามีคนนั่งอยู่จริงหรือไม่ ต่างจากระบบขับขี่อัตโนมัติของ BMW, Ford, GM, Subaru ที่ใช้กล้องส่องที่นั่งคนขับ เพื่อตรวจสอบว่ามีคนนั่งอยู่จริง โดยระบบ Super Cruise ของ GM ยังสามารถตรวจสอบแนวสายตาของคนขับได้ และจะหยุดระบบอัตโนมัติหากคนขับไม่ยอมหันกลับมามองถนนเมื่อถูกระบบแจ้งเตือนหลายๆ ครั้ง
แม้ Tesla Model 3 และ Model Y จะมีกล้อง cabin camera ส่องภายในตัวรถอยู่บนกระจกมองหลัง แต่ระบบนี้ไม่ได้ใช้เพื่อตรวจสอบว่ามีคนขับนั่งอยู่ แต่จะใช้เพื่อบันทึกวิดีโอช่วงสั้นๆ ส่งไปให้ Tesla หากเกิดอุบัติเหตุ หรือมีการเบรกฉุกเฉิน เพื่อพัฒนาระบบขับขี่อัตโนมัติเท่านั้น ส่วน Model S จะไม่มีกล้องภายในตัวรถเลย
Consumer Reports ยังแนะนำอีกว่า Tesla สามารถใช้เซ็นเซอร์ชั่งน้ำหนักที่มีอยู่ในเบาะคนขับ เพื่อตรวจสอบเพิ่มเติมว่ามีคนนั่งอยู่จริงหรือไม่ เพราะปัจจุบันระบบเซ็นเซอร์ชั่งน้ำหนักนี้ ใช้สำหรับเตือนให้คนขับสวมเข็มขัดนิรภัย และเปิดการทำงานของถุงลมนิรภัยเท่านั้น พร้อมระบุทิ้งท้ายว่าแม้ Tesla จะเปลี่ยนโลกยานยนต์ไปตลอดกาล แต่กลับทำเหมือนผู้บริโภคเป็นเพียงวิศวกรทดสอบระบบรถยนต์ และควรใส่ใจความปลอดภัยผู้บริโภคมากกว่านี้
อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการทดสอบระบบ Autopilot บนถนนที่ไม่มีเส้นแบ่งเลนแบบที่เกิดเหตุในเท็กซัส ตามที่อีลอน มัสก์ เคยระบุไว้ว่าระบบ Autopilot จะไม่สามารถเปิดใช้งานได้ หากกล้องตรวจไม่เจอเส้นแบ่งเลนบนถนน
ที่มา - Consumer Reports
Comments
"แม้ Tesla จะเปลี่ยนโลกยานยนต์ไปตลอดกาล แต่กลับทำเหมือนผู้บริโภคเป็นเพียงวิศวกรทดสอบระบบรถยนต์ และควรใส่ใจความปลอดภัยผู้บริโภคมากกว่านี้" เฮียรอนมัดว่าไงครับ
ผมเห็นประโยคนี้ แล้วรู้สึกว่า เค้าเสียดสีได้แสบจริง ๆ ครับ
เหมือนประโยคที่ว่า คนจริง ทดลองบน production
ถ้าจะทำขนาดนั้นเพื่อหลอกรถ จะต้องสนมั้ยว่าจะเป็นจะตายที่ใหน โธ่
ถ้าไม่ใช่ต้นไม้ แต่เป็นญาติคุณโดนชน คุณจะสนไหมครับ?
ตรรกะนี้เหมือนบอกว่า "คนแอลกอฮอลล์สูงก็ขับรถไปเถอะ จะต้องสนไหมว่าจะไปตายที่ไหน"
เมาแล้วขับ ไม่โทษคน แต่โทษรถ ฮา
ไอ้เรื่องนี้ ทำไมไม่มีคนพูดถึงไอ้2คนนั้นเลย พูดถึงแต่รถอย่างเดียว คนไม่ผิดเลยว่างั้น
มีสิครับ ไอ้สองคนนั่นโดนแช่งชักหักกระดูกสมน้ำหน้าโดยสาวกเยอะแยะไปครับ มิพักจะต้องไปช่วยสมน้ำหน้าเขาครับ
ตั้งใจหลอกขนาดนี้ก็พร้อมที่จะตายแล้วครับ
แต่ของเจ้าอื่น ตั้งใจ ก็หลอกไม่ได้นะครับ
จริงหรือครับว่า "ตั้งใจ" ก็หลอกไม่ได้
อาจจะทำได้ แต่คงยากกว่ามาก ในเจ้าที่มีกล้องส่องคนขับ และมีระบบตรวจจับ eyesight ครับ
ประเด็นคือ คนที่ตายอาจไม่ได้พร้อม เช่น คนอื่นๆ และรถคันอื่นๆ ที่ใช้ถนนร่วม
แหม่ะ บอกว่าก็สามารถเช็คจากน้ำหนักเบาะนั่ง หรือกล้องได้
แต่สุดท้ายก็จะกลายเป็น ออกรายงานว่า เอาโซ่ตั้งบนเบาะ หรือเอาตุ๊กตามาหลอกระบบได้ อยู่ดีรึเปล่า?
กล้องมันน่าจะฉลาดกว่านั้นนะครับ โม้มาเยอะว่าเอาซูเปอร์คอมพิวเตอร์ติดตั้งในรถ ให้คนกระพริบตาก็จบแล้วครับ
ใช้กล้อง ระบบน่าจะฉลาดนะครับ รถBMWเก่าๆยังใช้PIR ตรวจจับว่ามีสิ่งมีชีวิตในรถได้เลยไหม(ระบบกันขโมย) ยิ่งใหม่ๆนี่กล้องตรวจสายตา ว่าล้าไหม มองทางหรือเปล่าเสี่ยงหลับในไหม ได้ด้วยซ้ำ
ยิ่งจะใช้คำว่า auto pilot ยิ่งน่าจะต้องมีระบบป้องกันเยอะๆ อาจจะไม่ 100% แต่ไม่ใช่ง่ายๆแบบน้ำหนัก เหมือนระบบairbag ข้างคนขับยี่สิบปีที่แล้ว ไม่ใช่อ้างว่าไม่ระวังเอง
อย่าลืมว่าเกิดอุบัติเหตุมา อาจจะทำคนอื่นตายหรือเสียหายดว้ยนะครับ ไม่ใช่คนขับในรถอย่างเดียว
+1 ครับ
ผมว่าเทคโนโลยีนี้ยังใหม่จนกฎหมายยังตามไม่ทันด้วยแหละครับ
คือกรณีเมามันมีมาตรฐานวัดตามกฎหมายอยู่ว่า ไม่เกินกี่มิลลิกรัมเปอร์เซ็น คนขับจึงขับรถได้
กรณีนี้อาจจะเทียบตรง ๆ ไม่ได้
แต่หากเทียบเคียงแบบอ้อมหน่อย
ก็คือมันต้องกำหนดมาตรฐานว่าต้องเช็คต้องทำอย่างไรบ้างจึงอนุญาตให้เปิดใช้ระบบช่วยขับอัตโนมัติของรถได้
เพราะว่ามันอันตรายต่อบุคคลภายนอก
จึงควรต้องมีข้อกำหนดหรือมาตรฐานขั้นต่ำทางกฎหมายมาควบคุม
ไม่ใช่ว่าโดนหลอกแล้วเกิดเหตุคนอื่นซวยแล้วบริษัทมีส่วนร่วมประมาทเนื่องจากไม่ระวังมากพอ
แล้วลอยตัวปัดความรับผิดชอบได้
ตลกมาก ขับรถยนต์เดี๋ยวนี้ต้องบังคับให้คนมานั่งที่คนขับด้วย เอาจริงๆที่ค่ายอื่นเค้าสนใจคนขับพราะยังทำระบบขับได้ไม่ดีเท่าเทสล่าเลยเน้นผู้ขับกับระบบช่วยขับไปพร้อมกัน อันนี้เคยมีรีพอร์ตของยุโรปเรื่องการทำงานร่วมกันระหว่างคนขับกับรถอัตโนมัติค่ายอื่นได้คะแนนสูงมาก ส่วนเทสล่าได้ต่ำมาก แต่ระบบอัติโนมัติเพียวๆเทสล่าได้อันดับหนึ่ง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการมีระบบช่วยเช่นป้องกันคนขับหลับในหรือง่วงนอนก็เป็นเรื่องที่ดีเทสล่าอุปกรณ์พร้อมแค่เขียนซอฟแวร์ลงไปเท่านั้นเอง
A. ระบบเทสลาดีแล้วไม่ต้องเฝ้า (คนพิเรนท์ไม่ควรผิด ถ้างั้น)
หรือ
B. ระบบยังดีไม่พอ คนขับต้องเฝ้า(ระบบตรวจจับคนขับของเทสลาดีไม่พอ)
จะเอาแบบไหนครับ จะมาระบบดีสุด (แต่ชนตายได้อยู่ดี)แต่ระบบป้องกันไม่บกพร่อง ไม่ได้นะครับ
สุดท้ายก็ต้องตำหนิเทสลาอยู่ดีครับ
ติ่งเยอะเว้ย
ประเด็นหลักๆ มีสองจุดคือ
1. การชนตาย ถ้าเกิดคนอื่นตาย เช่นคนเดินทางเท้า หรือผู้ใช้ถนนอื่นๆ ล่ะ จะยังบอกว่าสมน้ำหน้าอยากเล่นพิเรนท์หรือเปล่า
2. การตั้งชื่อ และการโหมโม้ของ ซีอีโอ (FSD ในอีกไม่กี่เดือน บลาๆ) ส่งผลให้คนกล้าลองดี กล่าวคือคิดว่ารถมันทำได้มากกว่าที่มันทำได้จริง ไม่มีใครคิดหรอกว่ารถที่ไม่มี autopilot จะสามารถวิ่งเองบังคับเองได้ เลยไม่คิดจะลอง เพราะเขาไม่ได้อยากตาย
แต่หลายๆ คนคิดว่า autopilot ทำได้มากกว่าที่มันทำได้ ทั้งนอนหลับบนรถขณะที่วิ่งไฮเวย์ ฯลฯ ก็ไม่เห็นตายเลย เป็นที่มาของการเล่นพิเรนท์ โดยไม่ได้คิดว่าตัวเองหรือคนอื่นๆ จะต้องมาตายครับ
อะไรที่มันไม่ดี เช่นการตั้งชื่อ Autopilot หรือ Full self driving ที่ไม่มีสาเหตุที่จะไม่เปลี่ยนไปใช้ชื่ออื่น ไม่ต้องเชียร์มากก็ได้ครับ ใช้ชื่ออื่นมันจะทำไมนักหนา ก็แค่ไม่เท่ ฟังไม่เจ๋ง
หลายๆ คนนึกถึง Tesla ก็นึกถึงรถที่ขับบังคับตัวเองได้ ทั้งๆ ที่มันทำได้แค่จำกัดบางสถานการณ์
ย้ำครับ คนที่เอาก้อนหินใส่คันเร่งรถทั่วไปนั้นคือคนที่ไม่ได้คิดว่าจะรอด หรือไม่ก็อยากฆ่าตัวตาย ส่วนคนที่เล่นพิเรนท์กับรถเทสลา (หลับในรถ ปล่อยมือ อ่านหนังสือ ดูมือถือ ฯลฯ) ไม่ได้คิดว่าตัวเองจะต้องมาตาย แค่อยากเล่น stunt
ส่วนแฟนคลับจะเชียร์อะไรเอาด้านดีๆ พอ เดี๋ยวก็ไม่ต่างจากติ่งดาราไอดอลหรือการเมืองที่ทำอะไรที่มันผิด ก็ยังต้องมาปกป้องแก้ตัวแทน เอาให้มันพอประมาณครับ
ทำไมตอนขับรถแล้วเมาแล้วขับเราโทษคนขับได้ละครับ แต่นี้สติสมประกอบร้อยเปอร์เซนต์แต่ตั้งใจประมาทให้รถที่ขับรถไม่ได้ร้อยเปอร์เซนต์ขับเอง แล้วไปหลอกมันแล้วดันโทษผู้ผลิตเฉยเลย ของมีปัญหาการประกอบของ Tesla เยอะครับ แต่ตั้งใจขับให้มันขับเองแบบนี้มันตั้งใจขับให้เกิดอุบัติเหตุได้ด้วยซ้ำครับ แล้วไอชื่อฟีเจอร์ autopilot ทำไมเครื่องบินใช้ได้อะครับ takeoff เองยังไม่ได้เลย ใครๆก็รู้ครับว่ามันแค่ชื่อฟีเจอร์ แต่จ้องจะเอามาว่ามากกว่า เพราะเอาจริงคนที่เข้าใจผิดแล้วปล่อยให้ขับเองมันไม่มีหรอกครับเพราะเซนเซอร์มันทำงาน ว่าคนขับต้องบังคับรถ แต่ไอตั้งใจหลอกอะมันรู้อยู่แล้ว รู้ว่าจะหลอกระบบยังไงด้วยซ้ำ ไม่งั้นมันจะตั้งใจหลอกระบบทำไม...
ผมถามคำเดียวพอ เป็นอะไรถึงเปลี่ยนไปใช้ชื่ออื่นไม่ได้อะครับ
ทุกวันนี้ละสงสัยอยู่เลยว่า คำว่า Full Self Driving แปลว่าอะไร
ภาษาอังกฤษ เบสิค ชิ หาย
น่าโดนโฆษณาหลอกลวงผู้บริโภคนะครับ
เรื่อง auto pilot เครื่องบินก็วนมามุกนี้อีกแล้ว คนเป็นนักบินเขาเทรนด์เป็นรุ่นๆ มาครับ บินรุ่นนี้เป็นไม่ได้แปลว่าบินอีกรุ่นได้
แน่นอนเขารู้อย่างละเอียดว่าฟังก์ชั่นอะไรใช้งานได้อย่างไร กับรถ พูดแบบนั้นไม่ได้ครับ
ผมสงสัยย่างนึงครับ เปลี่ยนชื่อแล้วได้อะไร?
ถ้าเปลี่ยนชื่อแล้วคนจะได้เลิกเล่นพิเรณเหรอครับ?
คนมันจะเล่นพิเรน ชื่ออะไรมันก็เล่นครับ
มันต้องปรับปรุงระบบรึเปล่า ให้มันเล่นพิเรณยากขึ้น ชื่อมันก็ส่วนนึงครับ ซีอีโอนี่น่าจะส่วนหลักเลย แล้วก็คลิปตามยูทูปอีก มันทำให้ Hype กันไปใหญ่
แต่การเปลี่ยนชื่ออย่างเดียว มันไม่น่าแก้ปัญหาได้ครับ มันน่าจะต้องปรับปรุงระบบแหละครับผมว่า
ขอให้ความเห็นแค่ว่า "ทำไมถึงเปลี่ยนไปใช้ชื่ออื่นไม่ได้" นะครับ
ส่วนเรื่องว่าตั้งชื่อนี้แล้วโม้เกินรึเปล่า ทำคนเข้าใจผิดรึเปล่า อันนี้ผมรอโดนฟ้อง รอศาลตัดสินละกันครับ
ผมเป็นนักบินครับ
Autopilot หรือแม้กระทั่งระบบช่วยเหลืออื่นๆในเครื่องบิน ผมก็ต้องศึกษา performance/limitations ของมันครับ ไม่เกี่ยวว่าจะตั้งชื่อว่าอะไร ดังนั้น ผมไม่เห็นประโยชน์จากการเปลี่ยนขื่อเท่าไรครับ ความรับผิดชอบของคนขับที่ใช้พาหนะบนเส้นทางสาธารณะสำคัญกว่าชื่อเยอะครับ
ไม่งั้นเปาวินวอช ก็คงซักผ้าแล้วชนะทุกสิ่งครับ
เจ้าดังเจ้าอื่นเขาทำรถมานานน่าจะชำนาญกว่าเยอะ ความคิดความใส่ใจ หรือ มุมมองอาจจะต่างกัน