Young Liu ประธาน Foxconn ประกาศในงานแถลงผลประกอบการระบุว่าเตรียมเปิดโรงงานผลิตชิ้นส่วนรถไฟฟ้าในสหรัฐฯ และในไทยภายในปี 2022 โดยจะพร้อมเดินสายการผลิตจริงในปี 2023 นี้
โรงงานในไทยจะเป็นการร่วมทุนกับปตท. โดยช่วงแรกจะผลิตเพื่อใช้งานในประเทศเท่านั้น และเพิ่มกำลังผลิตเพื่อรองรับตลาดอาเซียนต่อไป โดยรวมแล้วคาดว่าจะมีกำลังผลิตรถไฟฟ้า 150,000 ถึง 200,000 คันต่อปี
ตอนนี้ Foxconn มีธุรกิจกลุ่มรถไฟฟ้าอยู่แล้วเป็นการผลิตชิ้นส่วนต่างๆ โดยคาดว่าเฉพาะปี 2021 นี้จะมีรายได้จากธุรกิจนี้รวม 10,000 ล้านดอลลาร์ไต้หวัน (ประมาณ 10,000 ล้านบาท) เติบโต 40% จากปี 2021 เทียบกับรายได้จากการรับจ้างผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เติบโตประมาณ 3-15% ต่อปี
ที่มา - Nikkei, Financial Times
ภาพโรงงาน Foxconn เมื่อปี 2011 โดย Nadkachna
Comments
โอ้ หวังว่าจะเป็นปัจจัยกระตุ้นซัพพลายเชนด้านชิ้นส่วนรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศนะ.
เยี่ยมเลย มี บ.ไทยเอี่ยวด้วย EV แบรนด์ญี่ปุ่นไปถึงไหนแล้ว
ถ้ารัฐไม่ออกแนวทางแกมบังคับ ก็ยังไม่มีท่าทีขยับเลยครับ
ทั้งที่ประเทศที่เจริญแล้วส่วนใหญ่ เริ่มมี roadmap กำหนัดให้มีการขาย ev ในทุกรุ่นบ้าง หรือกำหนดเส้นตายในการขายเครื่องยนต์สันดาบบ้าง (ดีจัง)
ไทยอยู่ในช่วงตัดสินใจยาก ตอนนี้อุตสาหกรรมยานยนต์ คือproduct champion ตัวเดียวที่เหลืออยู่ในไทย เป็นGDP อันดับหนึ่ง
จะออกนโยบายอะไรที่กระทบ ย่อมกระทบGDPจังๆเลยล่ะครับ การเปลี่ยนมาเป็นev ย่อมกระทบผู้ผลิตชิ้นส่วน แน่นอนว่าต้องปรับตัว แต่ก็มีอีกเยอะที่อาจตัดสินใจย้ายฐานแทนก็ได้ ยิ่งในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ตัดสินใจยาก
รวมไปถึงแผนแม่บทการผลิตไฟฟ้าหรือPDP ของประเทศจะว่ายังไง แม้ตอนนี้จะมีกำลังสำรองเหลือเพราะเศรษฐกิจแย่ ทำให้มีไฟฟ้าเกินจากที่ใช้ แต่ถ้าเศรษฐกิจกลับมาดี จะกลายเป็นขาดแคลนไฟฟ้าแทนทันที
ที่น่ากลัวที่สุด คือตอนนี้เราเปิดช่องนำเข้ารถไฟฟ้าจากจีนโดยภาษี0% จากสัญญาfree trade จะกลายเป็นทำลายอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศ แทนที่จะสนับสนุตให้ผลิตevในประเทศกลายเป็นว่าเรานำเข้าจากจีนถูกกว่าผลิตเอง? ยังไม่นับว่ามีการซิกแซกช่องทางหลายส่วน สุดท้ายเราต้องนำเข้ารถยนต์จากจีนทั้งหมด?
+1 สัญญาฟรีเทรดจากจีนเนี่ยะมันย้อนกลับมาทำลายเศรษฐกิจไทยประมาณนึงเลยล่ะ
จากข่าวนี้(และหลายๆข่าว)
เหมือนเรากำลัง transit supply chain ทั้งระบบ
จาก รถน้ำมัน เป็น รถ EV นะ
และจะมีบางส่วนล้มหายตายจากแน่ๆ จากการที่ ev ใช้ชิ้นส่วนน้อยลง 70%
แต่พอทักเรื่องรถจากจีนแล้ว ก็น่ากลัวจริงๆ เมื่อเราต้องเจอกับ economy of scale ของจีน
ถึงมองโลกในแง่ดี พวงมาลัยจีนคนละฝั่งกับไทย
ถ้าอยากขายไทย ต้องผลิตแบบพวงมาลัยขวา ซึ่งเพิ่มต้นทุนเยอะอยู่
ส่วนเราจะเพิ่ม economy of scale ด้วยการส่งขายเพื่อนบ้าน
เพื่อนบ้านก็ดันพวงมาลัยคนละฝั่งกับเราอีก
ไหนจะเรื่องชิปในรถไฟฟ้าที่เราน่าจะยังผลิตเองไม่ได้ แต่จีนผลิตได้
ถ้าเราสู้ไม่ได้ ได้ตายยกอุตสาหกรรมแน่ ?
น่าคิดว่ารถพวงมาลัยขวาในโลกนี้น้อยว่าพวงมาลัยซ้าย ถ้ากัดฟันเปลี่ยนกฏหมายเป็นรถพวงมาลัยซ้ายทั้งประเทศจะดีมั้ย
เปลี่ยนตอนนี้อาจจะเป็นกัดลิ้นแทนครับ
ถ้าเปลี่ยนตอนนี้เราตายเลยครับ ยังไม่พูดถึงการปรับโครงสร้าง infra ทั้งประเทศนะ เอาแค่การขายรถก่อน
เรายังได้เปรียบจีนนิดนึงตรงพวงมาลัยขวานี่แหละ MG&GWM ถึงยอมมาตั้งโรงงานบ้านเรา เพื่อส่งออกไปอินโดและออส จีนขึ้นสายการผลิตพวงมาลัยขวาในจีนก็ได้นะ แต่ส่งออกมาขายมันจะโดนค่าขนส่งและภาษีของแต่ละประเทศอีก บวกลบกับการสนับสนุนของภาครัฐแล้ว มาตั้งโรงงานในไทยมันจะกำไรกว่านิดๆ แล้วก็เป็นการกระจายความเสี่ยงด้วย ในกรณีที่สหรัฐแบนจีนอีกรอบ
ยกเว้นเราจะเลิกเป็นฐานการผลิตรถยนต์อะ ถึงน่าคิดเปลี่ยนหน่อย (ซึ่งเป็นไปไม่ได้อีกแหละ ญี่ปุ่นเอาเราตายเลย 555)
MG ZS EV ที่ขายในไทยตอนนี้ประกอบจากจีนครับ แต่ก็มีข่าวจะประกอบไทยปลายปีนี้?
แต่ถึงประกอบไทย แต่ถ้านำเข้าชิ้นส่วนจากจีนแทบจะ 100% ก็คงลำบากอยู่ดี
ถ้าไม่มีกำแพงภาษี หรือนโยบายที่ชัดเจน ก็คงไม่เกิดsupply chain evในไทยได้ครับ
ส่วนเลิกเป็นฐานการผลิตยานยนต์ เราตายก่อนครับ ไม่ใช่ญี่ปุ่นเอาเราตาย GDP ลดวูบสัก10%(เผื่อรวมsupply chain ด้วยไม่ได้นับแค่รถยนต์ตรงๆ) คนตกงานสักครึ่งล้าน....
เข้าใจครับ ประเด็นนำเข้าจากจีนภาษี 0% นี่ผมก็ตกใจนะที่รัฐยอมขนาดนั้น แต่ทำไงได้รัฐเรามันลูกไล่จีน
ส่วนที่ว่าเลิกเป็นฐานนี่ผมหมายถึง สมมุติเราสามารถปั้น product champion ตัวอื่นมาแทนไง ไม่รู้ตัวไหน แต่มันก็เป็นไปได้ยากมากๆอยู่ละ
จากข่าวนี้ คือปตท.ริเริ่มเองครับ ไม่ใช่นโยบายจากภาครัฐโดยตรง
อันที่จริงรบ.ต้องคุยกับ"ญี่ปุ่น"เรื่องนโยบายevแบบจริงจัง เพราะพูดตรงๆว่าอุตสาหกรรมยานยนต์ในไทย เกิดจากการลงทุนญี่ปุ่นเป็นหลัก(ย้อนไปถึงข้อตกลงplaza accordปี 80เลยที่ญี่ปุ่นต้องมาลงทุนในไทยเพิ่มสิบเท่า) ถ้ารัฐไม่คุยกับญี่ปุ่น ออกนโยบายอะไร อาจกระเทือนทั้งระบบ จะบอกว่าญี่ปุ่นขวางโลกไม่ยอมไปไฟฟ้าก็คงไม่ใช่ Toyota เองก็เร่งออกev แต่การจะนำมาผลิตในไทย รัฐต้องเจรจารวมถึงนโยบายด้านภาษีทั้งระบบที่ชัดเจน (อย่าลืมว่าprius ผลิตในไทยเป็นที่สองในโลก แต่สุดท้ายก็เลิกผลิตไป แถมยังมีดราม่าเรื่องการสำแดงภาษีเท็จไม่จบ)
ส่วนจีน ตอนนี้เราก็นำเข้า evจากจีนด้วยภาษี 0% อยู่นะครับ อย่าคิดว่าเรื่องพวงมาลัยซ้ายขวาจะช่วยกันได้ MG ZS ev ที่ถูกที่สุดที่ขายในไทยตอนนี้ผลิตในจีน 100% นำเข้ามาขายเต็ม แม้มีข่าวว่าจะมาผลิตไทยทีหลัง ก็แต่มีข้อกังขาว่า จะเกิดเรื่องช่องทางแบบ นำเข้าอุปกรณ์ 100%มาประกอบไทยเฉยๆไหม ถ้าแบบนั้น supply chain ในไทยก็ไม่เกิดอยู่ดี(รถค่ายนี้ตัวอื่นก็มีดราม่ากันอยู่นะครับ ตัวประกอบโรงงานไทย แต่อุปกรณ์นำเข้าจากจีนเกือบหมด ซึ่งจริงๆขัดกับข้อยกเว้นทางภาษีหลายตัว)
ผมไม่ปฎิเสธจีนนะ แต่เราต้องให้เกิดการสร้างงานในประเทศ แรงงานฝีมือด้านการประกอบรถยนต์บ้านเรานี่อันดับต้นๆของโลกนะครับ จะจีนหรือญี่ปุ่นหรือตะวันตก มาตั้งโรงงานในไทย คนไทยก็ได้ประโยชน์ มากน้อยแค่ไหนก็GDPอันดับหนึ่งของภาคอุตสาหกรรมในปัจจุบันนั่นแหละ(เมื่อก่อนคือelectronics)
เห็นคนชอบเชียร์ให้ลดภาษีนำเข้า ev กัน เราจะได้เทสล่าคันละล้านต้นๆ แบบคนเมกัน ก็แปลกใจว่าทำไมเขาไม่อยากให้มาผลิตไทย คนไทยจะได้มีงานทำแทนล่ะ? (ที่ตลกคือ ไทยเองเคยเป็นฐานผลิตแบตเตอรี่ให้เทสล่า อยู่ช่วงแรกๆด้วยซ้ำแล้วเขาก็ย้ายฐานไป)
ยังไงไทยเองก็ยังไม่นิยม EV เพราะคนส่วนใหญ่ใช้รถกันยาว เพราะรถแพง
ไม่ก็ใช้มือ 2 กันมากกว่า ยิ่งมีแต่ยี่ห้อจีน ทำให้ตัดสินใจกันง่ายขึ้นอีก
และรวมถึงปัญหารถหรูของยี่ห้อดัง คนมีตังก็ยี้เหมือนกัน
อีกอย่างไทยถึงส่งออกอันดับ 1 แต่ก็เป็นผู้นำเข้าอะไหล่มือ 2 จากญี่ปุ่นรายใหญ่อีกด้วย ตราบใดที่ ญี่ปุ่นยังไม่ไป EV กันหมด ไทยก็อีกนาน
ผมมองว่าบ้านเราขาดแคลนพลังงานมันเป็นภาพลวงตานะครับ
เอกชนที่ออกไปผลิตไฟมาขายในบ้านเรา ส่วนใหญ่ก็เอกชนไทยหมดเลย
เค้าน่าจะปวดหัวจากการประท้วงในทุกพื้นที่เวลาจะผลิตโรงงานผลิตไฟฟ้า
ฮ่ะๆๆ ขนาด ปตท ลูกพี่แห่งวงการพลังงาน ยังไม่ผลิตที่จีน เหตุผลเดียวคือต้นทุน -_- ถ้าพี่ไม่ขยับเรื่องพวกนี้ รับรอง Supply chain ที่แข็งแกร่งนักหนา มันก็ตายกันหมด
เวลาเห็นคำว่ารถไฟฟ้าแล้วนึกถึงรถไฟไฟฟ้าทุกที
ผมก็นึกถึงรถไฟฟ้าแทนที่จะเป็นรถไฟฟ้าเหมือนท่านเลยครับ
แล้วตกลงในข่าวนี่พูดถึง รถไฟฟ้า หรือ รถไฟฟ้า นะครับ
รถไฟฟ้าครับ
ขำอ่ะ ปะๆ ไปเจียรางกัน 555
..: เรื่อยไป
เพราะฉะนั้น เราเลิกเรียกว่ารถไฟฟ้า เหลือแค่ "รถไฟ" กันดีกว่า
ex.
รถไฟสายสุขุมวิท
รถไฟสายสีม่วง
อยู่บนรถไฟ กำลังไป
ขึ้นรถไฟที่สถานีสยาม ไปลงสถานีหมอชิต
อีกหน่อย รถไฟปู๊นๆที่วิ่งไปต่างจังหวัด ก็จะเริ่มใช้ไฟฟ้าด้วยเหมือนกันแล้ว
สายสีแดงที่เปิดใหม่ล่าสุด จะใช้ทางร่วมกับรถไฟปู๊นๆเดิมด้วย
(ปัจจุบันกำลังทยอยอัพเกรดระบบให้วิ่งด้วยกันได้อย่างปลอดภัย)
ดังนั้น ไม่ว่าจะรถไฟในเมืองหรือนอกเมือง ก็มีไฟฟ้า ไม่ต้องแยกกันเรียก
อนึ่ง
MRT ใช้คำว่า Train (รถไฟ)
BTS ใช้ึำว่า SkyTrain (รถไฟลอยฟ้า)
ARL ใช้คำว่า Electricfied Train (รถไฟที่ใช้ไฟฟ้า)
สายสีแดงใช้ Commuter Train (รถไฟชานเมือง)
คำว่ารถไฟฟ้า เดาได้สองแบบ ว่าย่อมาจาก
1. รถไฟลอยฟ้า (ของ BTS)
2. รถไฟที่ใช้พลังงานไฟฟ้า
แต่ BTS ไม่ใช่รถไฟสายแรกของประเทศที่ใช้ไฟฟ้า
เราเคยมีมาก่อนแล้ว ทั้งรถรางและรถไฟสายปากน้ำสมัยก่อน
ผมว่าที่ BTS ถูกเรียกว่า "รถไฟฟ้า" เพราะโดนกร่อนคำว่า "ลอย" ออกไปนะ
ถูกต้องครับ เมื่อประมาณ 30 ปีก่อน (ก่อนจะมี BTS สายแรกวิ่ง) ตอนนั้นรถไฟที่วิ่งบนรางสะพานแบบนี้ถูกเรียกว่า "รถไฟลอยฟ้า" จริงๆครับ (ในข่าวก็เขียน รถไฟลอยฟ้า)
ใช่ๆ ผมจำได้ว่าช่วงแรกๆชื่อมันคือรถไฟลอยฟ้า พอกร่อนเหลือรถไฟฟ้ากลายเป็นกำกวมสองความหมายไปอีก จริงๆเรียกรถไฟเฉยๆก็พอ สั้นดี
+1 ผมก็ทีมเรียกว่ารถไฟเฉยๆ