Facebook เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่สำหรับแชทแบบเข้ารหัส โดยเพิ่มฟีเจอร์โทรด้วยเสียงและวิดีโอคอล รวมถึงอัพเดตเกี่ยวกับข้อความทำลายตัวเองอีกเล็กน้อย
สำหรับโทรด้วยเสียงและวิดีโอคอลแบบเข้ารหัส end-to-end จะเป็นฟีเจอร์เสริมจากการส่งข้อความแบบเข้ารหัสเดิม โดยเทคโนโลยีเบื้องหลังที่ใช้จะเป็นตัวเดียวกับที่ใช้ใน WhatsApp ดังนั้นระหว่างทางรวมถึง Facebook เองก็ไม่สามารถเห็นได้ว่าสนทนาอะไรกัน
ส่วนระบบข้อความทำลายตัวเอง Facebook ระบุว่าเพิ่มการตั้งค่าเพื่อให้ตัวเลือกข้อความทำลายตัวเองให้มากขึ้น เร็วสุด 5 วินาที ไปจนถึงนานสุด 24 ชั่วโมง
Facebook ระบุว่า สัปดาห์หน้าทางบริษัทจะเริ่มทดสอบระบบเข้ารหัสเต็มรูปแบบในอีกหลายฟีเจอร์ เช่น แชทกลุ่มและโทรกลุ่มแบบเข้ารหัสใน Facebook Messenger และแชทเข้ารหัสสำหรับ DM บน Instagram
ที่มา - Facebook Messenger Newsroom
Comments
เข้ารหัสแต่ดักฟังก็ไม่เอานะครับ จะบอกไม่ดักฟังผมไม่เชื่อ เพราะโดนมากับตัว ผมเคยมีตาชั่งไว้ชั่งผลไม้แล้วเลิกใช้ไปนานแล้ว 4-5เดือน พอดีคนรู้จักโทรมายืมตาชั่ง ไม่ถึงชั่วโมงตาชั่งขึ้นเต็มฟีด..
มันแก้ตัวไม่ขึ้นจริงๆ เพราะแค่พูดผ่านโทรศัพท์ออกมาประโยคเดียวเท้่านั้น จะมาบอกว่ามันมาจากที่เราค้นหาอันนี้ไม่ใช่ล่ะ เพราะเรื่องตาชั่งเราลืมกันไปนานแล้ว เค้าแค่โทรมาขอยืมแล้วก็วางสายไป แล้วลองเทสๆหลายๆครั้งเพราะเรารู้อยู่แล้วว่า ห้ามค้นหา มันก็ขึ้นตามที่เราทดลองคุยผ่านโทรศัพท์ มันอาจจะเอาแค่10-20%มาใช้งานเพื่อไม่ให้ผู้ใช้จับผิดได้ อันนั้นผมไม่รู้ แต่ดักแน่ๆ
เปิดไมค์ไว้ แน่ๆ ผมไม่เคยจะเจออะไรแบบนี้ นั่งตะโกนกับสิ่งที่ต้องการมันก็ไม่เห็นจะโผ่ลมาสักอย่าง แต่พิมพ์ค้นหานี้เจอ
ทำไม หลายๆคนเจอกันบ่อย ถึงขนาดแค่คิดมันก็หามาให้แล้ว ระบบจะเทพเกินไปแล้ว
ของผมเรื่องที่คุยเล่นๆ ขึ้นประจำเลยครับ แต่เรื่องที่หาจริงจังไม่เคยขึึ้นเลย พยายามหาเก้าอี้ตะโกนในห้องแบบจงใจ เปิดแอปของเฟซบุ๊กเพื่อให้มันดักฟัง 555
ผมก็ไม่เคยเหมือนกัน เปิดอนุญาตทุกอย่าง เคยตะโกนชื่อแบรนด์สุ่มๆแบบชัดๆ มันก็ไม่โผล่ขึ้นมาซักที
ส่วนคนที่เคยเจอ... ส่วนตัวผมคิดว่าน่าจะเข้าใจผิดมากกว่าครับ
คือระบบโฆษณามันไม่ได้มาจากที่เราพิมพ์อย่างเดียว ข้อมูลส่วนตัวอย่างพวกอายุที่ทำงานความสนใจต่างๆ ข้อมูลจากเครือข่ายเพื่อนคนรู้จักและเพจที่ไลค์ ข้อมูลจากแต่ละสถานที่ที่เราไปมา ทุกอย่างมันเอามาคำนวณโฆษณาได้ทั้งนั้น ซึ่งหัวข้อสนทนาในชีวิตประจำวันเราส่วนใหญ่มันก็มาจากเรื่องพวกนี้แหละ จึงไม่แปลกที่มันจะตรงกันบ้าง เพราะงั้นก็เลยมีบางคนที่เข้าใจผิดว่ามันดักฟังครับ (เช่น ไปเจอนี่มาก็เลยเอามาคุยกัน ซึ่งมันไม่รู้หรอกว่าเราคุยอะไร แต่มันรู้ว่าเราไปเจออะไรมา มันเลยเอาโฆษณามาโชว์)
ถ้ากลัวขนาดแล้วเชื่อว่าจริง ลองใช้งานพวก Permission History ได้นะครับ ในซัมซุงใส่มาในตัว
10-20% นี่แค่คนเดียวใน 10% นั้น (ซึ่งรวมๆ หลักร้อยล้านคน) เป็นนักวิจัยความปลอดภัยก็ฉิบหายทั้งบริษัทแล้วครับ เตรียมรอได้เลยว่าค่าปรับเท่าไหร่
lewcpe.com, @wasonliw
ผมอาจจะไม่รู้เรื่องอะไรมากเรื่องพวกนี้นะครับ แต่ผมสังเกตุว่า ไอโฟนที่ใช้กับแอนดรอยด์รุ่นใหม่ๆ กลับไม่เจอแบบนี้ครับ แต่ผมดันไปสงสัยมือถือเครื่องนึงที่มันวางอยู่ใกล้ๆเป็นมือถือแฟน ทุกครั้งที่คุยกัน มันจะเด้งพวกโฆษณาที่เราคุยกันแทบทุกเรื่อง ยกตัวอย่างขับรถเราก็คุยเฮฮาสัพเพเหระไปเรื่อย บางทีคุยเรื่องที่นอนก็มา คุยเรื่องแมว อาหารแมวก็เด้งอะไรประมาณนี้ แต่มันจะไม่เด้งทั้งหมดที่คุย เหมือนมันจับคีย์เวิร์ดบางช่วงบางตอน เลยเริ่มสงสัยมือถือที่มันอยู่ใกล้ๆ เป็น vivo y55s ครับ
ถ้าอยากรู้จริง ต้องลองทดสอบครับ ทำสิบวัน สุ่มชื่อแบรนด์มาวันละ 10 แบรนด์ แบ่งครึ่ง 5 ต่อ 5 แล้วพูดชื่อแบรนด์ 5 แบรนด์แรกใส่โทรศัพท์ครับ อีก 5 แบรนด์อย่าไปพูดถึง
ถ้าแบรนด์ที่เห็นมันชนกับใน 10 แบรนด์ของแต่ละวันก็จดไว้ แล้วดูว่ามันอยู่ข้างไหนมากกว่ากัน
เปลี่ยนคำว่าแบรนด์เป็นชื่อสินค้าทั่วไป เช่น อาหารแมว, อาหารหมา, ไก่ทอด ฯลฯ ก็ได้
ความอันตรายของการ "สังเกตเอาเอง" คือมนุษย์เราจำเหตุการณ์ที่คิดว่าบังเอิญได้เด่นเป็นพิเศษ เราใช้โทรศัพท์ทั้งปี มีอยู่หนึ่งวันที่เปิด Facebook แล้วเห็นโฆษณาตรงกับเรื่องที่เราพูด เราจะจำวันนั้นได้ติดตา ถ้าไม่ควบคุมวันนี่ยากมาก เราบอกไม่ได้เลยว่าเห็นโฆษณาไปแล้วกี่อัน อาจจะไม่ตรงแทบทั้งสิ้น หรือบางทีเรื่องที่เราพูดถึงมันอาจจะไม่ได้ไกลจาก lifestyle เรามาก (แชร์รูปแมว เข้าเว็บแมวบ่อย ฯลฯ) มันอาจจะอยู่ใน profile เราอยู่แล้ว พอวันไหนเราพูดขึ้นมาแล้วเห็นโฆษณา เราก็จำวันนั้นติดตา
พวกนี้ต้อง control ทั้งระบบมันถึงจะบอกได้ครับ
lewcpe.com, @wasonliw
ตั้งแต่เจอวันนั้น 4-5 อย่าง ก่อนหน้านั้นมันก็มีแต่ผมไม่ได้เอะใจเรื่องโทนสับเครื่องนั้น ผมก็ทำการลบแอฟเครื่องเก่าทิ้งไปเลยครับ ปัจจุบันใช้ไอโฟน ไม่มีข้อความที่เราพูดคุยทุกวันโผล่มาให้เห็น เป็นโฆษณาไกลตัวที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับผมและแฟนเลยครับ แต่น้องมันดันเจอ น้องมันอายุ สิบกว่าๆ มันคุยเล่าเรื่องให้แม่มันฟังว่า เพื่อนน้องมันมันมีลูกแล้ว พอวันรุ่งขึ้นโฆษณานมเด็กต่างๆก็โผล่มา มันก็มาเอาให้ผมดู เพราะวันนั้นผมบอกน้องมันว่าผมเจอแบบนี้.. มันตกใจเลยเอามาให้ดูครับ
นั่นแหละครับ .. ผมมองยังไงfacebook ก็ออกแนวเทาๆอยู่ดี ไม่ว่าจะวิธีไหน ขอแค่ให้ได้ข้อมูลมาก็พอ..
ถ้าระบบดักฟังเทพซะขนาดนั้น แถมฟังภาษาไทยได้ซะด้วย เค้าน่าจะเอาสิ่งนั้นไปทำ automated closed caption ดีกว่านะ แม่นดี
ถ้าระบบดักฟังเทพใช้งานเพื่อดักฟังเราจริงๆ คิดว่าน่าจะกินแบตเตอรีมากนะ มากจนเกินไปด้วยซ้ำ มากจนเครื่องร้อน
Facebook ทำอยู่แล้วครับ ระบบนี้ ทดสอบกับภาษาไทยบ้างแล้ว ค่อนข้างแม่น
แค่มนุษย์คนนึงที่อยากรู้เกี่ยวกับวงการไอที
มีกับทุกวีดิโอภาษาไทย? Auto-CC? ผมเห็น YouTube ยังไม่แปลภาษาไทยได้เลยครับ 555
แต่ถ้าเอาระบบ Auto-CC มาดักฟังทำโฆษณาจริงๆ มันยังไม่ตอบคำถามเรื่องการใช้แบต เพราะถ้ามีระบบดักฟังจริงๆ ต้องกินแบตเตอรีมหาศาลแน่ๆ
ดักฟังแน่นอนเลยเหรอครับ? บางทีเพื่อนคุณอาจจะเป็นฝ่ายค้นหาก็ได้นะครับ บางที Facebook ก็แค่รู้ว่าเพื่อนคุณค้น+คุณติดต่อกับเพื่อนคุณ ก็เลยคาดเดาเอาโฆษณาพวกนี้มาโชว์ก็ได้นะครับ ซึ่งเอาจริงๆทำแบบนี้ง่ายกว่าดักฟังเสียอีก
ผมว่าคนที่โดน เค้าคงรู้นะครับว่ามันมาจากไหนได้บ้าง เค้าถึงทดสอบ..
คนที่ไม่ดดนคงไม่รู้หรอกครับ แต่คนที่โดนแบบนี้ก็เยอะไป เค้าแค่สงสัย แต่จากการที่พยายามหาคำตอบกัน facebook เองก็ยอมรับระดับหนึ่งไม่ใช่หรอครับ
สำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า Facebook
ว่าจ้างพนักงานชั่วคราวหลายร้อยรายเพื่อถอดข้อความเสียง
จากผู้ใช้งานบน Messenger App
เรื่องนี้กำลังกลายมาเป็นประเด็นใหญ่ในทวีปยุโรป
นำโดยหน่วยงาน Irish Data Protection Commission
ที่กำลังตรวจสอบ Facebook ว่ากำลังละเมิดความเป็นส่วนตัวของสหภาพยุโรป
หลังจากถูกตรวจสอบอย่างหนัก
ล่าสุด Facebook ได้ออกมายอมรับแล้วว่า..
ได้มีการนำเสียงของผู้ใช้งานไปใช้จริง และบอกว่าได้หยุดการกระทำดังกล่าวแล้ว
โดยเสียงนี้จะถูกนำไปให้บริษัทอื่นแปลเป็นข้อความตัวอักษรเสียด้วย
อะไรที่มองว่ามันไม่ใช่ ไม่ได้หมายความว่ามันไม่มีครับ.. คนที่โดนเค้าก็พยายามหาคำตอบกัน จะบอกว่าไปค้นหานั่นนี่ คือเค้าคิดแค่นั้นจริงๆหรอครับ ส่วนค้นหาก็มันส่วนค้นหา
ผมขอถามแบบไม่รู้นะครับ สมมุติว่า facebook เก็บข้อมูลเรา โอเครเราเข้าใจ แต่มันควรจะเป็นข้อมูลที่เราให้ไม่ใช่หรือครับ ไม่ใช่facebook ไปสร้างตัวตนของเราขึ้นมา เพื่อประติดประต่อ กลายเป้นว่าจากข้อมูลที่เราให้ไปเล็กๆ เอาเราไปผูกกับพ่อแม่พี่น้อง..อื่นๆ จนกลายเป็นข้อมูลมหาศาล ที่เราไม่เคยให้ จากที่รุ้แค่เบอร์โทรอื่นๆ หรือข้อมูลเฉพาะบุคลส่วนตัว อันนี้เค้าไม่ละเมิดหรอครับ..
สิ่งที่ผมเชื่อคือ facebook พยายามทำทุกอย่าง ถ้าไม่มีกฎหมายคุ้มครอง พี่แกเอาหมด ซึ่งมันเกินขอบเขต ถ้าจะบอกว่ามาร์ค มีจริยะธรรม ผมมองว่าไม่ใช่ เพราะผมมองว่าที่ผ่านๆมาแกก็ใช่เล่น
facebook มันเปลี่ยนไป กลายเป็นธุรกิจ คิดว่ามันจะใสสะอาดเหมือนตอนยุคแรกๆมั้ยครับ...
"โดนดักฟังแน่ๆ" ประโยคนี้มันไม่ใช่ประโยคแสดงความสงสัยหรือต้องการหาคำตอบครับ
เพราะงั้นผมถึงได้ถามเชิงทักท้วงไงครับ ว่ามั่นใจได้ไงว่าเขาดักฟังคุณแน่นอน เพราะมันมีความเป็นไปได้ที่เขาจะปะติดปะต่อข้อมูลอื่นของคุณแทนที่จะดักฟังอยู่ (ผมไม่ได้บอกว่าปะติดปะต่อมันถูกต้อง แต่ผมกำลังโฟกัสเรื่องดักฟังอยู่ครับ)
หลายๆคนที่คิดว่าตัวเองโดนดักฟัง เกือบทั้งหมดจะเกิดในเหตุการณ์ที่มีคู่สนทนาด้วย ไม่ว่าจะผ่านแอปหรือคุยตัวเป็นๆก็ตาม และส่วนใหญ่จะเคลมแค่พฤติกรรมตัวเองว่าไม่ได้ค้น แต่ไม่รู้ถึงพฤติกรรมของคู่สนทนาว่าเขาได้ค้นหรือทำอะไรไหม มันทำให้ผมเกิดข้อสงสัยว่าเขาดักฟังจริงเหรอหรือคนเหล่านั้นแค่เข้าใจผิดไปเอง?
ผมเองก็ไม่ไว้ใจ Facebook ครับ แต่เราจะโบ้ยทุกอย่างว่าดักฟังๆไม่ได้ เราต้องมีข้อมูลแน่นพอที่จะไปว่าเขาครับ ผมเห็นคุณมั่นใจก็เลยอยากจะถามว่าคุณมีข้อมูลอะไรถึงมั่นใจว่าเขาดักฟังคุณแน่ๆ