เว็บไซต์ PCGamer ลองทดสอบการเล่นเกมบน Windows 11 แล้วพบว่าฟีเจอร์ความปลอดภัย Virtualization-Based Security (VBS) ส่งผลต่อประสิทธิภาพของเกม ทำเฟรมเรตลดลงเฉลี่ยประมาณ 25%
Virtualization-Based Security (VBS) เป็นชุดฟีเจอร์ความปลอดภัยที่อิงกับ hypervisor มีมาตั้งแต่ Windows 10 แต่ไม่ถูกเปิดใช้เป็นดีฟอลต์ (อยู่ในหมวด Device Security) หากอัพเกรดเครื่องจาก Windows 10 เป็น Windows 11 ก็จะยังไม่เปิดใช้งาน แต่ถ้าเป็น Windows 11 ที่มาพร้อมเครื่อง OEM จะถูกเปิดเป็นดีฟอลต์
VBS เป็นประเด็นหนึ่งที่ทำให้ Windows 11 ซัพพอร์ตฮาร์ดแวร์เก่าๆ ไม่ได้ เพราะต้องใช้ซีพียูรุ่นที่รองรับด้วย (นอกเหนือจากเรื่อง TPM 2.0 ที่เป็นอีกกรณีแยกกัน เพราะ VBS สามารถใช้งานได้โดยไม่ต้องมี TPM)
จากการทดสอบของ PCGamer พบว่าเกมดังๆ หลายเกมได้รับผลกระทบจาก VBS เช่น Shadow of the Tomb Raider เฟรมเรตลด 28%, Horizon Zero Dawn ลด 25%, Metro Exodus ลด 24% ในขณะที่บางเกมอย่าง Far Cry New Dawn ลดเพียง 5%
PCGamer ค้นหาสาเหตุของปัญหาประสิทธิภาพ พบว่าซีพียูและจีพียูยังทำงานได้ปกติ วิ่งที่สัญญาณนาฬิกาเท่าเดิม แต่กำลังไฟที่จ่ายให้ซีพียูและจีพียูลดลงแทน ซึ่งยังไม่ทราบชัดว่าเกิดจากอะไร
PCGamer แนะนำว่าเกมเมอร์ควรปิดการใช้งาน VBS ซึ่งเกมเมอร์ส่วนใหญ่ไม่น่าจะได้รับผลกระทบอยู่แล้ว แต่กรณีว่าซื้อเครื่องใหม่ที่ออกในช่วงนี้อาจต้องหาวิธีปิด VBS กันเอง ตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลว่าพีซีหรือโน้ตบุ๊กเกมมิ่งที่จะออกในช่วงนี้จะเปิด VBS มาให้ด้วยหรือไม่
ที่มา - PCGamer
Comments
Game Mode ไม่ช่วย ฮาๆ
Performance โดน Nerf เลย Require Hardware แรงๆ เพื่อให้กินสเปกได้หนำใจ
ไหนว่า Win11 จะเร็วกว่า Win10
ไม่เหมือนที่คุยกันไว้นิหว่า
สรุปต้องมาปิดไอ้ตัวนี้ถ้าเล่นเกม แต่แต่ละเกมไมลดไม่เท่ากัน
11 มันบังคับเปิดนี่สิ แต่ผมว่าปัญหาน่าจะอยู่ที่ driver มากกว่า เพราะตอนเปิดของ Windows 10 ผมต้องมาไล่ลบ driver อันที่มันแจ้งว่ามีปัญหา แล้ว driver ที่ว่าก็เป็น anti-cheat ของ MiHoYo (ที่น่าจะมีการอ่านข้อมูล process อื่น) กับพวก driver เก่าๆ ครับ
อย่าว่าแต่เล่นเกมเล่นครับ SSD Sata ยัง disk 100% เป็นระยะๆ
ผมนี่ clean install windows10 เลย
ผมเคยเป็นอยู่ช่วงนึง ลองเปลี่ยนสลับหัว power ไปใช้อันอื่นแล้วหายนะครับ
ทำไมผมรู้สึกว่า Windows 11 มันจะเจริญรอยตาม Windows ME, Vista, 8 น้อ คือเป็น Windows ที่แป้กจนคนไม่อยากจะใช้
..ไหนจะไม่เป็นมิตรกับฮาร์ดแวร์เก่า (ต้อง CPU Intel Gen 8+, TMP 2.0, ส่วน RAM 4GB+ คงไม่ใช่ปัญหา เพราะอัปแรมสู้กับ Browser ที่บริโภคแรมมหาศาลกันไปละ), มีระบบนู่นนี่นั่นเปิดมาเป็น Default มากมาย, ปรับแต่ง Windows ได้น้อย (ที่แน่ๆ ก็คือ Taskbar ที่เพิ่ม Toolbar อะไรไม่ได้เลย, แยก Group Task และโชว์ Title ให้กลับไปเป็นแบบ WIndows 98,ME,XP,Vista ไม่ได้, Context Menu ที่ถูกล็อกไม่ให้เพิ่มเมนูใหม่จากโปรแกรมอื่นใด ต้องมาใช้แบบ Classic Context Menu ที่ต้องเปิด 2 ขั้น (เสียเวลาไปอี๊กกกก) และอื่นๆ อีกมากมาย
..ไม่อยากนึกถึงสมัย Windows XP เลยแฮะ ที่คนไม่อยากอัปเกรดกัน (โดยเฉพาะร้านค้าองค์กรธุรกิจ) เพราะถ้าอัปเกรดแล้วระบบพังหรือใช้การไม่ได้ มันจะทำให้เสียโอกาสทางธุรกิจไป จนทำให้ Microsoft ต้องทำให้ Windows 7 มีฟีเจอร์ XP Mode เพื่อจูงใจให้คนที่ยังอยู่ XP มาที่ Windows 7 ให้ได้ ..ซึ่งผมคิดว่า Windows 10 ยังไงก็ไปได้อีกยาวๆ เพราะองค์กรมักจะไม่ค่อยอยากอัปเกรด Windows หากไม่ไฟรนก้นจริงๆ นะครับ
ถ้าสรุปสั้นๆ "ช่วงเปลี่ยนผ่านมักเจ็บปวดเสมอ"
แต่ถ้าให้อธิบายอย่างยาว
เอาจริง ๆ สมัย Windows Me ช่วงนั้นมี Windows 2000 professional ที่เป็น NT kernel คู่ขนานอยู่ก่อนแล้ว และเป็นอนาคตของ Microsoft ในการไปต่อของ Windows ผ่าน NT kernel และทิ้ง 9x kernel
ในช่วงนั้น ใครได้ไปใช้ Windows 2000 จะบ่นอย่างมากเพราะมันช้า ใช้สเปคเครื่องสูง ว่าง่าย ๆ สภาพไม่ต่างจาก Windows Vista, Windows 8 หรือแม้แต่ Windows 11 ในตอนนี้ แต่มันแลกกับความเสถียรอย่างมาก หากเครื่องมี drvier รองรับครบ และทดทนปรับตัวกับมันอยู่สักพักนึง คือสมัยนั้น Windows 98/Me ต้อง restart กันทุกวัน แต่ Windows 2000 กลับให้ประสบการณ์ที่แตกต่าง อาทิตย์นึง restart สักครั้ง หรือนานกว่านั้น
แต่พอ Windows XP ออกมา เสียงบ่นก็เบาบางลงกว่าตอน Windows 2000 แต่ก็มีอยู่ เพราะมันเปลี่ยนแปลงเยอะแบบ "พลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน กว่าตอน 98/Me สำหรับคนที่เพิ่งย้ายมา" แต่เพราะ H/W driver และโปรแกรมต่างๆ ในช่วงนั้นมันรองรับมากขึ้นอย่างมากแล้ว ทุกอย่างก็เข้าที่เข้าทางในเวลาไม่นานนัก และเป็น Windows ที่การเปลี่ยนผ่านยาวนานอีกรุ่นหนึ่งต่อจาก Windows 98
แน่นอนพอทุกอย่างเข้าที่ Microsoft ก็เปลี่ยนอีก แต่ถ้าความจำผมไม่พลาด เหมือนว่าตัว Windows Vista ที่ออกมาจะเปลี่ยน architecture หลายจุด ส่วนที่กินทรัพยากรคือ Aero ซึ่งตรงนี้รอให้ H/W เข้าที่ก็สักพักนึง แต่จุดที่คนบ่นกันเยอะคือ security permission ที่ใส่ UAC เข้ามา ทำให้ permission ของโปรแกรมมันมีปัญหา ทำให้การติดตั้งและการใช้งานแบบเดิมๆ คุ้นเคยพังพินาศ แถมผู้ใช้งานก็เจอ pop-up ของสิทธิ์เยอะแยะ (พยายามแยก user/admin zone แบบเดียวกับบน Linux หรือ MacOS ในสมัยนั้น)
แต่ในฐานะที่ใช้ Windows Vista ด้วยอยู่หลายปี ก็ต้องบอกว่ามันก็ไม่ได้แย่ ใน version หลัง ๆ ก่อนจะออก Windows 7 มันก็เข้าที่เข้าทางแล้ว (ทั้ง driver และโปรแกรมที่รองรับ) แล้วพอย้ายไป Windows 7 ทุกอย่างที่ทำงานบน Windows Vista ก็ทำงานได้ดีบน Windows 7 จนทุกคนที่เพิ่งย้ายข้าม Windows Vista ชมว่ามันดีกว่า Windows Vista อย่างมาก ทั้งๆ ที่ความเป็นจริง หลายๆ อย่างดีอยู่แล้วบน Windows Vista เพียงแต่ว่าในช่วงต้นของการเปลี่ยนผ่านตัว H/W drvier ยังไม่รองรับเต็มที่ แนวคิดการเขียนโปรแกรมให้รองรับ Windows Vista ในตอนนั้นยังไม่เข้าที่เข้าทาง และเป็น Windows ที่การเปลี่ยนผ่านยาวนานอีกรุ่นหนึ่งต่อจาก Windows XP จนถึงตอนนี้
ซึ่งเอาจริงๆ ขนาด Windows 10 ที่หลายๆ คนบอกว่ามันดีมาก มันเกิดจากรากฐานของ Windows 8 ที่ยอมเจ็บตัวไปก่อน ซึ่งก็แบบเดิม ผมใช้งาน Windows 8 ตั้งแต่วันแรก ก็หงุดหงิดๆ แต่มันก็ถูกปรับแก้จนดีในรุ่นหลังๆ
ฉะนั้นผมมองว่า Windows 11 จะพบเจอกับความยากลำบากในการเปลี่ยนผ่านนี้เช่นกัน ซึ่งผมให้มันในระดับเดียวกับ Windows 2000 และ Windows Vista แต่ Microsoft ก็มีช่วงเปลี่ยนผ่านโดยยังสนับสนุน Windows 10 ไปอีก 5 ปี ฉะนั้นโดยรวมผมก็ถือว่าไม่แย่นัก และผมคิดว่า Windows 11 จะใช้เวลาเปลี่ยนผ่านในระยะ 3 ปี แล้วคนจะเลิกบ่นไปเอง เพราะ H/W ทุกคนพร้อมกับมันแล้ว
Windows 2000 เป็น Windows Server ครับ
แปลกใจเหมือนกันที่สมัยนั้นมีคนเอา Windows 2000 มาใช้งานในระดับ Home Use ซึ่งสเปกคอมไม่เพียงพออยู่แล้ว
ส่วน Vista กว่าจะเข้าที่ ผมจำได้ว่าต้องทนกับปัญหา BSOD ของ Driver การ์ดจอ Nvidia อยู่ปีกว่าครับ เนื่องจาก Driver ยังอยู่ในสถานะ Beta ถึงตอนท้ายจะดี แต่รอบนี้คงไม่ทนใช้แบบไม่ Stable นานนับปีแล้วครับ ซึ่งถ้าสถาณการณ์เป็นแบบนี้ User ก็จะไม่ยอมอัพเกรด เช่นเดียวกับสมัย Vista ซึ่งทนใช้ XP แล้วข้ามไป 7 เลย
Windows 2000 Professional ไม่ได้สำหรับ server ไม่ใช่เหรอครับ?
Windows 2000 professional เป็นตัวต่อของ Windows NT 4.0 Workstation ครับ ซึ่งเป็นสาย NT kernel ส่วนของ Desktop ครับ
เหตุผลที่ติดตั้งและใช้งาน เพราะทำงานสาย dev ตัว NT kernel ตอบโจทย์กว่าในการทำงานกับพวก IIS และพวก Apache พอรันบน Server ไม่ค่อยปวดหัว
ผมนึกว่า มี Configure Your Server component ก็น่าจะเป็น Server หมดนะครับ ขอบคุณสำหรับคำตอบครับ
Edit: พึ่งไปค้นเจอว่าตัว Professional ไม่สามารถลง AD ได้
เฮ้อออออ ลงก็ยาก เล่นเกมก็ห่วย Vista version 3 ใช่มั้ยเนี่ย
M$ นี่ทำ windows ดีห่วยสลับรุ่นกันได้สมชื่อจริงๆ แต่เผอิญว่า 10 ก็ห่วยเหมือน 8 เหมือนกันเลยน่าจะล้างคำสาปได้นิดหน่อย
(อาจจะเทียบกันไม่ได้นักเพราะเป็นอุปกรณ์อีกแบบคือ Smart Phone) แต่การที่ไมโครซอฟต์ไม่ค่อยให้ปรับแต่งอะไรกับ Windows 11 ทำให้ ผมนึกถึง Windows Phone ที่ตายจากตลาดไปแล้ว แนวคิดตอนนั้นเข้าใจว่า Microsoft อยากให้ใช้งานง่าย ๆ UI ไม่กินระบบมากนัก UI เป็นแบบเรียบ ๆ แต่ทำให้อึดอัดกับคนที่ต้องการปรับแต่งให้เหมาะสมกับการใช้งานมากพอ ครับ
คงต้องไปลองลง Windows 11 ดูบ้างจะได้ทราบว่าเป็นอย่างไร แต่พออ่าน ๆ comment หลาย ๆ ท่านแล้ว ชักจะไม่ค่อยอยากจะลงซะแล้ว ครับ