ก่อนหน้านี้ Meta บริษัทแม่ของ Facebook และ Instagram ระบุว่าแม้บริษัทไม่มีแผนถอนบริการจากยุโรป แต่ก็อาจให้บริการต่อไม่ได้ หากสหภาพยุโรปและสหรัฐฯ หาข้อยุติเรื่องข้อตกลงการส่งข้อมูลข้ามทะเลแอตแลนติก (transatlantic data transfer pact) ไม่สำเร็จ เพราะการให้บริการหลายส่วนทำงานอยู่บนการส่งข้อมูลผู้ใช้ระหว่างยุโรปและสหรัฐฯ
ปัจจุบันข้อตกลงด้านการส่งข้อมูลข้ามแดนนี้ถูกศาลยุติธรรมยุโรปปัดตกไปในปี 2020 จากความกังวลด้านความปลอดภัยของข้อมูลผู้ใช้หลังส่งออกจากยุโรปไปสหรัฐฯ และอยู่ในระหว่างการเจรจาหาข้อตกลงใหม่ในการส่งข้อมูลข้ามประเทศสหภาพยุโรปไปยังสหรัฐอเมริกา
หลัง Meta ระบุแกมขู่ ล่าสุดเจ้าหน้าที่รัฐของยุโรปนาย Robert Habeck รัฐมนตรีเศรษฐกิจของเยอรมนี ระบุว่าตัวเขาเองไม่มี Facebook หรือ Twitter มาหลายปีแล้วหลังบัญชีถูกแฮก และชีวิตก็เป็นไปด้วยดี ส่วนรัฐมนตรีการเงินฝรั่งเศส นาย Bruno Le Maire ที่แถลงคู่กันก็เสริมว่าเขาเชื่อว่าชีวิตที่ไม่มี Facebook ก็เป็นชีวิตที่ดีได้ และขอให้บริษัทยักษ์ใหญ่ในวงการดิจิทัลเข้าใจว่าทวีปยุโรปจะต่อต้านคำขู่นี้ และยืนยันอำนาจเหนือเขตแดนตนเอง
คงต้องติดตามต่อไปว่าการแถลงของ Meta ในรูปแบบนี้จะเหมือนเป็นการราดน้ำมันในกองไฟหรือไม่ และสหรัฐฯ กับสหภาพยุโรปจะสามารถตกลงกันเรื่องการส่งข้อมูลดิจิทัลข้ามแดนได้ภายในเมื่อไร หรือหากไม่ได้ สุดท้ายแล้ว Meta จะจัดการกับปัญหานี้อย่างไร
Comments
รอลุ้นๆ
จีนก็เคยโดนเมกาทำแบบนี้มาก่อน ไม่เห็นแปลกอะไร ฮา
รอดูฝั่งยุโรปทำ Social Media แข่งกับ Facebook อยู่นะครับ (ไม่นับ VK)
แค่มนุษย์คนนึงที่อยากรู้เกี่ยวกับวงการไอที
VK นี่ไม่เคยเข้าไปเพราะเป็นฐานะโซเชี่ยลมีเดียเลยครับ...
ทำไมผมเข้าใจ
ผมก็เข้าใจ ฮ่าๆ
คนไทยใช้ VK เป็นโซเชียลมีเดียของคนหื่น 5555
ฝั่งเขาอาจจะไม่ใช่ Social Network มากมายแล้วก็ได้นะครับ
สนับสนุนครับ ถ้าให้เลือกใช้งาน 2 แพลตฟอร์มที่คุณภาพใกล้เคียงกันระหว่างเมกากับยุโรปทำ เป็นไปได้คงสบายใจที่จะเลือกยุโรปมากกว่า (ยกเว้นรัสเซีย)
แรงงงงง
แต่ก็จริงของเค้า ไม่ใช่สิ่งจำเป็นสำหรับหลาย ๆ คน
บ้านเราเคยทดลองปิดมาแล้ว ประชาชนด่าแทบเปิดไม่ทัน
ปิดที่ EU ถึงแม้รัฐมนตรีบอกว่าไม่เดือดร้อน แต่โดนประชาชนที่เขาใช้ด่าเข้าไปแล้วจะรู้สึก
ช่วงนี้อาจจะแรงต้านน้อยลง ก็ไม่แน่นะ ตอนนี้มันมีแพลตฟอร์มอื่นทดแทนแล้ว
ทั้งเพื่อความบันเทิง ทั้งธุรกิจค้าขาย
ตอนผมไปที่อยู่ที่นู่น ก็ไม่ค่อยเห็นคนที่นู่นเขาจะยึดติด Facebook อะไรขนาดนั้นนะครับ ออกจะต่อต้านหน่อยๆด้วยซ้ำ ส่วนใหญ่เขาให้ความสำคัญกับข้อมูลตัวเองมากกว่าครับ แต่อาจจะแค่สังคมที่ผมอยู่ก็ได้ (เพื่อนเรียนป.โทสาขา IT)
บ้านเราปิดเพราะต้องการเซ็นเซอ บ้านเค้าปิดเพราะห่วงข้อมูลประชาชน
ถ้าบ้านเรา สั่งปิด เพราะห่วงข้อมูลประชาชน เหมือนบ้านเขา เราเชือว่า คนที่ ชม อาจจะมีไม่ถึง 10% นอกนั้นด่า ประเทศนี้ ไม่ว่า รัฐจะหวังดี หวังไม่ดี ก็โดนด่าหมด
เฟสล้ม ประเทศแถวนี้ก็ด่าหาว่า โดนปิด โดนแบน ทั้งที่เขาออกมาบอกแล้วว่า กรุล้มเอง แต่ประชาธิปไตย ไม่เชือ แล้วก็ด่า ๆ กัน พอเขากลับมาเปิดใหม่ (คือแก้ได้แล้ว) ก็สถาปานาตัวเองว่า ไงละ พลังของประชาธิปไตย ไม่มีอะไรมาหยุดใจเราได้
มันมีคนประเภทนี้ในทุกๆ ฝักฝ่ายแหละครับ อยู่ที่ว่าเราจะจับเอาแค่ประเด็นที่แต่ละฝ่ายดูไม่ดีมาแตกประเด็นแค่ไหน
เพราะตอนที่มันล่ม ผมก็แค่เข้า downdetector แล้วก็ไปคุยในทวิตตามแฮชแท็กแทน ซึ่งก็ไม่ค่อยมีใครโยงประเด็นการเมืองเท่าไรนะครับ ?
ก็ต้อง ยอมรับนั้นละครับ คนมันเคยมีประวัติ ทำมาแล้ว ก็ไม่แปลกครับ แต่เดี๋ยวนี้ ก็ไม่แล้วครับ เฟสล่ม ส่วนใหญ่ ด่าเน็ตมือถือ กากกันมากกว่าครับ
เคยงดเล่น social เดือนนึงก็สบายดี
(กลุ่ม)ประเทศต่อต้านการผูกขาดก็ดีแบบนี้แหละ ไม่มีเอกชนเจ้าไหนใหญ่เกินรัฐ ต่อให้โดนขู่นั่นขู่นี่ก็ทำอะไรไม่ได้มาก เดี๋ยวผ่านไปซักพักก็คงมีโซเชียลมีเดียเจ้าอื่นออกมาบอกของเรายังมีอยู่นะ แบบเคส Google กับ Microsoft ในออสเตรเลียเองแหละ
ถ้าเป็นบางประเทศที่ปล่อยให้มีเจ้าใหญ่ผูกขาดอยู่ โดนขู่แบบนี้คงได้แค่ทำตาม หรือเผลอๆอาจจะโดนขู่หลังไมค์ใต้โต๊ะไปแล้วว่าห้ามออกนโยบายรัฐขัดกับผลประโยชน์บริษัท ไม่จำเป็นต้องขู่ออกสื่อเลยด้วยซ้ำ
หืม มีประเทศไหนที่ปล่อยให้มีการผูกขาดด้านอาการ ด้านเทคโนโลยี ทั้งค้าปลีกค้าส่ง ฯลฯ เหรอครับ คุณคิดไปเองรึเปล่า
มันจะมีเหตุการณ์อะไรที่จะทำให้คนไทยเลิกใช้ line ได้
Line คิดตังรายเดือนเหมือนแอปหนึ่งที่เคยทำ (ไม่น่าเลย)
บล็อก: wannaphong.com และ Python 3
ผมว่า Discord ฮิตขึ้นมาคนอาจจะเลิกใช้ Line กันก็ได้นะ
Discord มันเฉพาะกลุ่มครับ ถ้าเป็นเชิง general purpose chat app ตัว Discord อาจจะยังไม่ตอบโจทย์เท่าไร
Coder | Designer | Thinker | Blogger
อยากให้เกิดแบบนั้นบ้างครับ เบื่อ line มากตอนนั้น ต้องใช้เพราะคนส่วนใหญ่ใช้ ครอบครัว , ญาติผู้ใหญ่ก็ใช้
คิดได้ไงไปขู่รัฐ รังแต่จะสร้างปัญหาเพิ่ม สงสัยยังไม่เข็ดจาก Libra ธุรกิจยังไม่ได้ผูกขาด หรือจำเป็นต่อการใช้ชีวิตของประชาชนจนอยู่ในจุดที่รัฐจะต้องยอมเลย แทนที่จะเจรจาเพื่อหาแนวทางร่วมกัน สงสัยเตรียมหุ้นรูดอีกรอบ หุ้นรูดบ่อยๆ เดี๋ยวไม่มีทุนไปทำ metaverse นา
ต่อให้อยู่ในระดับจำเป็นต้องใช้อย่าง Microsoft หรือ google ยังไม่มีอำนาจต่อรองเลยครับแค่ Facebook นี่ไม่ต้องคิด
นับเป็นข่าวดีมาก
เอาจริงๆผมสงสัยว่าคนที่เลิกเล่นแล้ว "ชีวิตดีขึ้น" นี่ตอนเล่นหมกมุ่นขนาดไหนหว่า...คล้ายๆเล่นเกมกาชาแล้ว FOMO รึเปล่า 555
ถ้านึกไม่ออกก็ลองตามข่าวน้าเน้กกับพระไพวัลย์บนโซเชียลดูครับ คุณจะเห็นทั้งการด่าทอ ส่อเสียด เหยียดหยาม และอื่นๆอีกมากมายที่ไม่จำเป็นต่อชีวิต ซึ่งต่อให้ไม่ใช่ตัวเราเองแต่สภาพแวดล้อมจากการอ่านมันทำให้ทัศนคติในการมองโลกของเราแย่ลง ปลูกฝังความเกลียดชังโดยไม่รู้ตัวครับ และผมขอยืนยันอีกเสียงว่า การออกจาก Facebook ได้เป็นลาภอันประเสริฐ โดยเฉพาะ FB ไทยที่หาสาระแทบไม่เจออุดมไปด้วยดราม่าที่บางครั้งสองคนไม่รู้จักกันแค่มาคอมเมนต์เห็นต่างในโพสเดียวกันก็ด่าทอกันเหมือนโกรธเกลียดกันมาแต่ชาติปางก่อน
ผมอ่านเม้นนี้แล้วผมก็ไปอ่านต้นเม้นอีกที ผมยังเห็นด้วยกับต้นเม้นนะว่า "หมกมุ่น"
ผมปล่อยวางมาปีกว่าๆแล้ว หัวโล่ง สมองโล่ง มีเวลาเยอะขึ้นจริงๆ
WE ARE THE 99%
+1
ผมลบไปสักพักแล้ว รู้สึกว่าปีสองปีหลังๆนี้บ้านเรามันมีแต่เนื้อหาขยะมากเกินไป จนนึกถึงเมื่อครั้งที่เลิกดูทีวีมาเล่นโซเชียล เหมือนตอนนี้เฟสบุคกำลังจะเป็นทีวีในแบบที่เราเคยไม่ชอบเมื่อก่อน
ส่วน Facebook ผมก็ดูแค่ post ของเพื่อน และเพจที่ติดตามไม่กี่กลุ่มไม่กี่นาทีต่อวัน และไม่ดูอย่างอื่นอีกเลย ที่เหลือก็ไป Webboard กับ Twitter แทน
ชีวิตดีขึ้นเยอะครับ แม้จะไม่ได้ตัดขาดจาก FB เพราะยังมีเพื่อนในนั้นอยู่ แค่ลดการไล่ดู feed และ post ใน FB นานๆ ก็ช่วยได้เยอะแล้ว
ความล้มเหลว คือจุดเริ่มต้นสู่ความหายนะ มีผลกระทบมากกว่าแค่เสียเงิน เวลา อนาคต และทรัพยากรที่เสียไป - จงอย่าล้มเหลว
คือผมใช้แบบนี้แหละครับ ผมเลยหมายความว่าถ้าผมเลิกใช้ไปก็ไม่มีผลอะไรมาก (ไม่ได้ดีขึ้น แต่ไม่ได้แย่ลง) ตอนแรกเลยสงสัยว่าคนเลิกแล้วชีวิตดีขึ้นนี่เค้าอ่านอะไรกันบ้าง เมนท์บนก็พอจะเข้าใจ แต่ก็ยังยืนยันตามที่ผมเมนท์แหละครับว่าอาจจะถึงขั้นหมกมุ่น
ตามนั้นแหละครับ เราเลือกเสพได้ เราเลือกระดับความอินได้ คอนเทนท์ไร้สาระ ดราม่ามีเยอะ ลบเพื่อนที่เราไม่ชอบออกจนเหลือคนที่เราอ่านแล้วรู้สึกโอเคจริงๆ ไม่เก็บใครไว้เพียงเพื่อรักษาน้ำใจ เพจไหนมีดราม่าบ่อยๆ ก็เลิกติดตาม ข่าวไหนดังๆ ก็แค่อัพเดทให้พอรู้ว่าช่วงนี้มีอะไร ไม่ต้องไปอินมาก
แต่ถ้าระบบการทำงานสมองของใครไม่เอื้อให้ทำแบบนั้น ลบออกไปเลยก็น่าจะดีสุดอ่ะครับ
เช่นเดียวกับ tab ข่าวของไลน์ มีแต่ข่าวอิหยังวะ ตอนแรกแค่เลิกอ่านโซนคอมเมนต์ในโซนข่าว ตอนนี้เลิกเข้า tab ข่าวในไลน์แล้ว
แท็บ Line Today ผมเปลี่ยนให้มันโชว์เป็นหน้าโทรไลน์แทนเรียบร้อยแล้วครับ สบายใจขึ้นเยอะ อ่านข่าวเฉพาะใน Feedly ของ Thai PBS พอ
ส่งข้อมูลไปอเมริกาไม่ได้ ก็ตั้งศูนย์ที่ยุโรปไปเลยซิ
แต่แอบสงสัยพวกระบบใหญ่ๆ เวลาสำรองข้อมูลทำข้าม Datacenter งี้ ก็ห้ามด้วยเปล่าเนี่ย backup เก็บได้แต่ในยุโรป ส่งออกไปเก็บที่อเมริกาหรือเอเชียไม่ได้เลย
fb มี datacenter อยู่ในยุโรปอยู่แล้วนะครับ หลายที่ด้วย
backup ผมเข้าใจว่าโยนข้ามไปได้นะครับ แค่ต้องเข้ารหัสก่อน แล้วก็ต้องถอดรหัสได้จากฝั่งยุโรปอย่างเดียวด้วย ห้ามส่ง key ถอดรหัสออกไป
แค่ขู่เองเหรอครับพี่มาร์ค? พี่อย่าลืมว่าพี่ก็แค่แอพๆ นึง
ที่เป็นเอกชนนะ เหมือนที่พวกเราเคยใช้ hi5 แล้วก็ลืมไป
คิดว่าแถลงเชิงขู่แบบนี้แล้วจะได้ผลตอบรับที่ดีเหรอครับ
ปกติผมไม่เข้าข้าง Facebook นะครับ แต่เคสนี้ผมสงสัยในตัวข้อบังคับของ EU นิดนึงว่าทำไมต้องห้ามส่งข้อมูลกลับไปสหรัฐ มัน Define ขอบเขตการเก็บข้อมูลด้วยตำแหน่งที่ตั้ง (Physical Location) ของ Server เหรอครับ ซึ่งมันก็ไม่น่าจะช่วยอะไรเรื่องความเป็นส่วนตัวรึเปล่า เพราะ Facebook ก็เป็น Data Processor อยู่ดี
ผมว่าหลักๆก็เรื่องความปลอดภัยในแง่การเข้าถึงแหละครับ อาจจะมองว่าถ้าส่งข้อมูลกลับไปที่ US ก็ต้องอยู่ภายใต้กฏหมาย US รัฐบาลอาจจะขอเข้าถึงข้อมูลได้และ FB ก็ต้องทำตามอะไรแบบนั้น ถ้าอยู่ใน EU เองก็ยังใช้กฏหมาย EU ได้หน่อย
เหมือนกฎหมายตามยุค Cloud ไม่ทัน พอเอาเรื่องขอบเขตประเทศมาใช้กับ Cloud server แล้วมันดูประหลาดๆยังไงอยู่
ไม่หรอกครับ cloud server มันไม่ได้ลอยอยู่บนฟ้า มันก็ยังตั้งอยู่บนพื้นที่ของประเทศใดประเทศนึง และประเทศนั้นก็มีสิทธิจะเข้าถึงอะไรก็ได้ในพื้นที่ตราบใดที่มีกฎหมายคุ้มครอง
ระดับ Facebook ที่ใหญ่ขนาดจะดีดนิ้วให้มี Data center ที่ไหนก็ได้ แล้วมาทำงอแงเรื่องส่งข้อมูลกลับเมกาเนี่ยนะ
คืองอแงที่ไม่ได้ข้อมูลไปวิเคราะห์ลงโฆษณาว่างั้นเหอะ?
ปัญหาคือ Meta ต้องไปตั้งสำนักงานเต็มรูปแบบสำหรับ Facebook ใน EU แล้วต้องแยกลูกค้า Facebook ใน EU ออกจาก Facebook ปกติครับ
ระดับ Meta ทำไมจะทำไม่ได้
Meta ทำได้อยู่แล้ว แต่ถ้าทำมันจะทำให้ข้อมูลผู้ใช้ใน EU จะต้องอยู่ใน EU เท่านั้น เอาไปใช้นอก EU ไม่ได้ถ้าไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งพวก target ads ที่เป็นรายได้หลักจะมีปัญหาทันทีครับ
ที่ว่ามาทั้งนั้น ก็คือกลัวเสียรายได้
ก็งัดกันไปเรื่องผลประโยชน์บริษัทเอกชน กับการปกป้องผลประโยชน์ของข้อมูลส่วนบุคคลของคนใน eu
อียูนี่เบ่งฉิบหาย กะจะสร้างโซเชี่ยลเทียบชั้นสหรัฐ
ถ้าอาเซียนแข็งแบบนั้นผมก็อยากเบ่งนะครับ มันเป็นสิทธิของเราที่จะสร้างแต้มต่อบ้าง ไม่ใช่ให้ใครมากำหนดชะตาภูมิภาคเรา ขู่เรายังไงก็ได้
แต่อาเซียนชาตินี้ก็คงไม่มีวันนั้น ถถถ
ครับ
อียูคือชาติเล็กๆ รวมกัน เพื่อเบ่งพลัง ปลดแอกจากอเมริกา
ผมไปนึกถึงดราก้อนบอลซะได้
ถ้าผมพูดว่า "ช่วงนี้เป็นขาลงของ Social Media แล้ว" มันจะกลายเป็น MEME เหมือน Apple มั้ยครับ 555
หรือนี่เป็นสัญญาณของ ...
การล่มสลาย...