Warren Buffett และคู่หู Charlie Munger ตอบคำถามเรื่อง Bitcoin ในที่ประชุมผู้ถือหุ้นประจำปีของบริษัท Berkshire Hathaway เมื่อคืนนี้ตามเวลาประเทศไทย
Buffett บอกว่าถ้าหากมีคนเสนอขาย Bitcoin ทั้งโลกในมูลค่า 25 ดอลลาร์ เขาก็ยังไม่ซื้ออยู่ดี และตั้งคำถามกลับว่าเขาจะซื้อไปทำไม เขาบอกว่า Bitcoin ไม่มีค่าอะไรเลยเพราะมันไม่สามารถนำไปสร้างอะไรได้ต่ออีก (it doesn't produce anything) คนซื้อกันไว้เพื่อขายต่อในราคาที่แพงขึ้นเท่านั้น ดังนั้นเอาเงินไปซื้อที่ดินหรือที่อยู่อาศัยยังดีกว่า
ส่วน Charlie Munger บอกว่าตลอดชีวิตของเขาพยายามหลีกเลี่ยงสิ่งที่โง่ (stupid) เลวร้าย (evil) และทำให้เขาดูแย่ในสายตาคนอื่นๆ ซึ่ง Bitcoin มีครบทั้ง 3 ประการ
Munger อธิบายว่าการถือ Bitcoin เป็นสิ่งที่โง่เพราะมูลค่าของมันจะเป็นศูนย์ในอนาคต, เลวร้ายเพราะส่งผลต่อเสถียรภาพทางการเงินของสหรัฐ และทำให้สหรัฐดูโง่ เมื่อเทียบกับรัฐบาลจีนที่ฉลาดกว่า แบน Bitcoin ไปเรียบร้อยแล้ว
ท่าทีของ Buffett ต่อ Bitcoin ไม่ใช่เรื่องอะไรใหม่ เพราะเขาเคยพูดเรื่องนี้มาหลายครั้งแล้ว เช่น บอกว่า Bitcoin เป็นฟองสบู่ ตั้งแต่ปี 2018
ที่มา - Business Insider
Comments
ที่พูดมาก็ถูกแหละ
ก็แน่ละ อยู่ที่คนน้อยก็ไร้ค่าสิ
แต่สิ่งที่ไม่ดีคือ มันน่าจะใช้พลังงานสูงกว่านะ
Cryptocurrency สำหรับผม ผมว่ามันไร้ค่ามาก และผมเองก็ไม่คิดอยู่แล้วว่ามันจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ นอกจากเรื่อง ledger อย่างเดียว
Coder | Designer | Thinker | Blogger
Cryptocurrency ขยะ
ต้องใส่ลายเซ็นทุกครั้งที่สมัครเหรอครับ
สมัครมาให้โดนแบนแท้ๆ กี่รอบแล้วเนี่ย เหนื่อยก็พักได้นะครับ
มันก็จริงของแกนะ ซื้อ Bitcoin ทุกคนก็มุ่งหวังจะขายต่อในราคาที่แพงกว่าทั้งนั้น ที่ว่าจะซื้อเก็บไว้ใช้ในอนาคตโดยหวังว่ามันจะ currency ที่มีค่าขึ้นมาจะมีสักกี่คนอะถามจริง
มันจะตามรอยสมัยที่แกไม่ลงทุนในบ.เทค เพราะแกไม่เข้าใจมันรึปล่าวนะ
พวกบ้าจะบอกว่าสามารถนำไป Staking เว้บจะไป web3.0 ทำ DeFi GameFi หาเงินยังได้ทั้งๆที่เป็นของที่เสกมาจากใครไม่รู้ที่ใครก็สามารถเสกได้ ที่ดิน metacrap ในเกมก็อีกอย่างเกมมีได้หลายเกม แต่พื้นโลกมีอยู่บนแค่ Planet Earth ที่เดียวเว้ย
ผมยังมองว่าประเด็นคือกการค้ำมูลค่าของตัวมันเองหนะหละครับ
ตอนนี้การเก็งกำไรเท่านั้นที่ค้ำมูลค่า
แต่การหา Productivity ทีสำเร็จเป็นวงกว้างยังไม่มี
เอาจริงผมว่า market Cap มันน้อยยังต้องใช้เวลาพิสูจน์ตัวเอง
มันกองแช่งให้พัง กับกองออวยให้รอดหนะหละครับ
ก็ต้องบอกผมมีซื้อเก็บไว้บ้าง
คือเอาขำๆ ครึ่งปีมานี้เข้าไปดูเดือนละครั้ง 2 ครั้ง
ตอนทำบัญชีรายเดือนเท่านั้นเอง
ส่วนตัว Cryypto ทั้ง Bitcoin Altcoin
ผม Neutral
คึอผมยังมองไม่เห็นการมาเป็นตัวเลือก
แทน Legal Payment ในปัจจุบันนอกจากเป็นตัวกลางใน Grey market
แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่เห็นถึงประโยชน์ของ Defi หรือ GameFi
ส่วนตัวที่ผมเห็นแล้วไม่เห็นด้วยสุดๆคือ NFT มันคือ taste ของคนมีเงินจริงๆนะ
ถ้าแค่มันไม่สร้างอะไรก็ยังดี แต่ Cryptocurrency นอกจากจะไม่สร้างอะไร มันยังใช้พลังงานสูงพอสมควรด้วย
อยากจะ Decentralized แบบสุดโต่งทั้งๆที่ไม่มีความจำเป็นอะไร โดยไม่แคร์ว่าโลกจะเป็นอย่างไร... ยังไงผมก็เห็นด้วยกับความคิดนี้ไม่ไหวจริงๆนั่นแหละ คือผมเข้าใจความเสี่ยงของการที่ Centralized แต่ผมไม่คิดว่ามันจำเป็นที่จะต้องให้มัน Decentralized แบบสมบูรณ์เลย อย่างน้อยๆก็รู้สึกว่ามันไม่ได้จำเป็นถึงขนาดต้องเอาพลังงานโลกไปผลาญ
ปล. แต่คนที่แค่เทรดเอากำไรผมไม่มีปัญหานะ ที่ผมไม่เห็นด้วยคือคนที่อวยว่าคริปโตมันคืออนาคตหรืออะไรแบบนั้นแค่นั้นเอง
เรื่องของสินทรัพย์มันขึ้นกับบุคคลว่าจะให้ค่ากับมันหรือไม่ อย่าง Bitcoin เองนี่มีค่าเพราะมีคนกลุ่มหนึ่งเชื่อว่ามันมีค่านั่นแหละ เหมือนกับเงินตราทั่ว ๆ ไป ถ้าคุณไม่เชื่อว่าแบงก์ 1,000 มีค่า มันก็แค่กระดาษใบหนึ่ง หรือแม้แต่ทอง ถ้าคุณเชื่อว่ามันไม่มีค่า มันก็เป็นแค่แร่หายาก มนุษย์กำหนดมูลค่าให้กับมันแทบทั้งสิ้น
ทอง ยังมีสมบัติประจำธาตุที่นำไปใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมได้นะครับ แต่ Bitcoin นี่ ผมยังมองไม่ออกว่าจะเอาไปใช้อย่างไร (ถอดเชนออกมาคืนเป็นพลังงานก็ไม่ได้ 😂)
น่าจะนำไปเทียบกับงานศิลปะหรือเพชรมากกว่านะครับ
ผมก็ว่ายังเทียบไม่ได้นะงานศิลปะเอาไปตกแต่งสถานที่ได้ เพชรก็ยังเอาไปใช้ในอุตสาหกรรมได้
เสริมอีกหน่อย ผมคิดว่าศิลปะมันมีค่ามากกว่าแค่ตั้งโชว์ครับ มันคือการสะท้อนความคิดของผู้สร้าง ทำให้ทุกชิ้นงานมันมีความหมายในตัวของมันเอง อาจจะฟังดูเวอร์แต่ก็เรียกได้ว่าทุกชิ้นมันมีคุณค่าในทางประวัติศาสตร์ไม่มากก็น้อยครับ เพราะมันสะท้อนความคิดของผู้สร้างในยุคและสังคมนั้นๆ
เพราะงั้น NFT ศิลปะมันก็เลยยังพอจะมีที่ยืนอยู่ได้บ้างครับ ถึงส่วนตัวผมจะยังรู้สึกแหม่งๆที่เอางานศิลปะมาผูกกับ NFT อยู่ก็เถอะ...
NFT กับศิลปะนี่ คือสัญญาใจล้วน ๆ ครับ เพราะว่าคนซื้อ NFT แทบไม่ได้เลย ไม่ได้แม้กระทั่งตัวงาน
เจ้าของงานอยากปั้มงานมาอีกกี่สิบก๊อปปี้ก็ทำได้ แค่ว่าไม่ได้ทำเพราะเกรงว่าคนจะดิสเครดิตเท่านั้นเอง
ผมก็มองแบบเดียวกันครับ
อย่างกรณี NFT ลิงที่โดนขโมยไป จริงๆก็โดนขโมยแค่ token NFT ซึ่งตัวผลงานมันก็ยังอยู่ ซึ่งตัว token ก็เป็นแค่เลขชุดเดียว โดยรูปที่แสดงก็แค่มองว่ารูปนี้คือ token นี้นะ ถ้าทางต้นทางจะ gen token ใหม่ และผูกรูปเข้ากับ token ใหม่ และให้ token เดิม invalid ไปก็ได้ (อารมณ์เหมือนบัตรเครดิตหายออกบัตรใหม่นั่นแหละครับ) จริงๆก็ทำได้แต่เค้าไม่ทำ เพราะถ้าทำปุ๊บจะคุณค่าที่เคยให้ไว้จะหายไปทันที
NFT มันไร้ค่าครับ เหมือนเราถือใบเสร็จบอกว่าเราเป็น “เจ้าของ” แล้วจ่ายด้วยเงิน cryptocurrency ซึ่งแทนที่เราจะได้ผลงานมาจริง ๆ มันกลับไม่มีค่าอะไรเลย อีกอย่างคือ คนที่บอกว่าเป็น “เจ้าของ” เนี่ย โดน rug pulled ไปกี่รอบแล้ว
ส่วนตัวนะ ถ้าหากเอาไปลงทุนระยะสั้น มันไม่น่ามีปัญหาหรอก แต่ถ้าระยะยาว ส่วนตัวยังไม่แนะนำ และยังไม่เห็นถึงอนาคตของมันด้วยซ้ำ มันเป็นเพียงแค่ buzzword ที่คนเอาไป overhype กันเฉย ๆ
Coder | Designer | Thinker | Blogger
ในแง่นั้นผมเทียบว่าเพราะคนให้ค่าศิลปะมันเลยมีค่าน่ะครับ ถ้าวันนึงคนไม่ให้ค่ามันก็แทบเอาไปทำอะไรต่อไม่ได้เหมือนกัน (แต่ระดับต่างกันนะ)
เพชรก็เหมือนๆ กันครับ ที่ใช้ในอุตสาหกรรมนี่ผมเข้าใจว่าราคาถูกกว่าที่ใช้ในวงการเครื่องประดับมาก
เยส, เป็นตามนั้นเลยครับ สิ่งที่ลุงแกเปรียบคือแบบนั้นเลย แกเลยเลือกที่จะลงทุนในสิ่งที่มีค่าในตัวมันเองอยู่แล้ว เช่น ที่ดิน หรือหุ้นในบริษัทที่ผลิตของสำคัญๆ ที่ทดแทนได้ยาก
ที่เขียนบนแบงค์ว่า"ธนบัตรเป็นเงินที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย"
ตรงนี้ที่ทำให้แบงค์(ธนบัตร)ไม่ได้เป็นแค่กระดาษใบหนึ่ง
ลองนึกดูครับ สมมติตัวเราในอดีตถือเงินที่เก็บทั้งชีวิตเป็นโบลิวาร์ของเวเนซุเอล่า ที่ธนบัตรก็เขียนเหมือนกันว่า "ธนบัตรเป็นเงินที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย" ปัจจุบัน ทุกวันนี้เงินโบลิวาร์แทบไร้ค่า ซื้อกาแฟแก้วนึง ถือเงินเป็นกระสอบ ดังนั้นจะเห็นว่า ประโยคนี้มันไม่ได้ทำให้เงินโบลิวาร์มีค่าขึ้นมาเลยครับ
ตามที่คุณเขียนมา เงินโบลิวาร์ยังมีค่าชำระค่ากาแฟได้ถูกต้องตามกฎหมาย ร้านกาแฟยอมรับเงินนี้อยู่นะครับ
ส่วนมีค่ามากค่าน้อยก็อีกประเด็นนึงครับ อย่าเอามาปนกัน
คีย์เวิร์ดอยู่ตรงนี้ "ตามกฎหมาย"
ถ้ารัฐไทยยังมีอำนาจบังคับใช้กฎหมายอยู่ธนบัตรไทยก็จะยังมีค่าตามที่รัฐกำหนด
ผมไม่คิดว่าประเทศเวเนซูเอลาจะพิมพ์ธนบัตรไทยได้ถูกต้องตามกฎหมายนะครับ
แล้วถ้ารัฐบาลกำหนดว่า เงิน 1 บาท เท่ากับ ทอง 1 oz ทำได้มั้ยครับ
รัฐบาลไทยทำได้ รัฐบาลสามารถออกกฏหมายได้ แต่ไม่น่าจะมีใครเขื่อว่าเงิน 1 บาท จะมีค่าเท่ากับทอง 1. Oz
Opensource - Hackintosh - Graphic Design - Scriptkiddie - Xenlism Project
รัฐจะออกกฎหมายห้ามขายเกินราคาเท่าใหร่ก็ได้ครับ
ถ้าต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงมากก็ไม่มีใครขายแค่นั้นเอง
ถ้ารัฐออกกฏหมายตามที่คุณว่ามาร้านทองจะมีป้ายราคา
ตามที่รัฐบาลกำหนดไว้แต่ไม่มีทองขาย
ผมเกริ่นไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่า มันขึ้นกับว่าคนเชื่อมันหรือไม่
ถ้าคนไม่เชื่อในกฎหมายของประเทศ มันก็เป็นแค่กระดาษใบหนึ่งจริง ๆ เหมือนกับในเวเนซูเอลาหรือซิมบับเว ซึ่งเงินสามารถชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย แต่ไม่มีใครเชื่อถือค่าของมัน (ซิมบับเวถ้าจำไม่ผิดเห็นว่ารีเซ็ตค่าเงิน 3 รอบแต่ก็พยุงไม่ไหวเพราะไม่มีใครเชื่อถือมันแล้ว ต้องใช้เงินสกุลต่างประเทศแทนแล้ว พึ่งจะฟื้นขึ้นมาเมื่อไม่นานมานี้แต่ก็ยังใช้งานไม่แพร่หลาย)
ปล. ผมไม่ได้สนับสนุน Crypto ตรงกันข้ามด้วยซ้ำ แต่ในเมื่อยังมีคนเชื่อถือค่าของมันโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง Overhype ถึงขั้นมีคนพยายามไปค้นหาดิสก์ที่เคยทิ้งไปเพื่อหาเฉพาะกุญแจที่ตัวเองเคยเก็บ Bitcoin ไว้กันเลยทีเดียว ในขณะที่เงินตามกฎหมายบางประเทศไม่มีใครเหลียวมองมันเลย เท่านี้ก็น่าจะเห็นความแตกต่างมากขึ้น
ZWD = Zimbabwe Dollar, ZWN = Zimbabwe Dollar (second), ZWR = Zimbabwe Dollar (third), ZWL = Zimbabwe Dollar (fourth)
1 ไป 2 ตัด 0 ไป 3 ตัว
2 ไป 3 ตัด 0 ไป 10 ตัว
3 ไป 4 ตัด 0 ไป 12 ตัว
1 ZWL
= 1,000,000,000,000 ZWR
= 10,000,000,000,000,000,000,000 ZWN
= 10,000,000,000,000,000,000,000,000 ZWD
กฎหมายเป็นแค่ตัวรับรองครับ
แต่การค้ำประกันมูลค่าเกิดจากส่วนอื่น เช่น ค้ำด้วยทองคำแบบเก่า ค้ำด้วยขนาดของเศรษฐกิจแบบใหม่ ที่เมกาทำ(และมีคนแซะมั่วๆว่าดอลล่าห์กระดาษ จนตอนนี้แข็งโป๊ก)
การที่คนเห็นคุณค่า มันไม่ใช่แค่ด้วยความรู้สึกอย่างเดียว
จริงๆcrypto currencyมันมีคุณค่าในตัวนะ เพราะใช้เป็นตัวกลางหลักสำหรับธุรกิจมืด หรือสีเทาๆเป็นหลักเลย วันใดมันโดนเจาะได้หรือโดนดักได้แบบTOR คุณค่าตรงนี้ก็จะหายไป
ยังไม่นับพวกโมเดลแบบปิระมิดหลอกคนเอาเงินไปลงทุนแบบเกมNFT โดยทั่วไป ที่ตัวโมเดลเองมันก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าคนเข้าทีหลังจ่ายคนเข้าก่อนและจะล้มเมื่อคนเข้าทีหลังไม่มากพอ
แสดงว่ามันกำลังจะซื้อ
ถ้า bitcoin ทั้งโลกเหลือ $25 มันก็ไม่มีค่าแล้วดิ ฮา
หมดยุคลุงแล้วครับ
เจ้าของบริษัทมูลค่า 958.8 พันล้านดอลลาร์ ผมว่าไม่น่าหมดยุคนะ
อันนั้นเป็น”บุญเก่า”ที่ลุงเก็บสะสมมาในยุคของลุงไงครับ ด้วยวิถีการลงทุน วิธีคิดแบบเดิมๆของลุง ซึ่งลุงเคยทำแล้วได้ผล
ลองคิดสิ ว่าถ้าลุงแบ่งเงินบางส่วนในกองทุนมาลง crypto ถือมาจะเพิ่มขึ้นอีกขนาดไหน หรือลองมองเบอร์ 1 ในยุคนี้ก็ถือ(ปั่น) crypto ครับ
ลุงเคยพูดแบบนี้นานมาแล้วแหละ คงไม่อยากกลืนน้ำลายตัวเองเท่านั้น
ประเด็นในข่าวคือถ้าเอาไปทั้งโลกครับ
ถ้าบุคคลนึงถือครองบิทคอยน์ทั้งโลก มันก็หมดค่าแล้ว
และอีกอย่าง VI เค้าไม่เน้นลงทุนในสินทรัพย์ระยะสั้นครับ เค้าดูกันยาวๆ ฉะนั้นจะมาเรียก VI ว่าเป็นการกินบุญเก่ามันก็ดูขัดๆ นะ
ลุงไหนคนับ
ลุงข้างบ้านครับ
“ตลอดชีวิตของเขาพยายามหลีกเลี่ยงสิ่งที่โง่ (stupid) เลวร้าย (evil) และทำให้เขาดูแย่ในสายตาคนอื่นๆ ซึ่ง Bitcoin มีครบทั้ง 3 ประการ“
คมดั่งใบมีดโกน
ดูจาดคอมเม้น แสดงว่าราคาตอนนี้ยังถูกมากๆ
few understand this.
Stacking Sats
การลงทุนในหุ้น บ.ที่ขายหุ้น ได้ทุนไปก็ยังเอาไปต่อยอดต่อได้
การลงทุนในทรัพยากร ทรัพยากรที่ได้มายังเอาไปใช้งานได้
การลงทุนใน crypto ได้แค่ช่วยทดสอบว่า hash algorithm มีช่องโหว่หรือเปล่า :D
บิทคอยมันเหมือนลุกช้าจ่ายรอบวง ไม่มีหลักประกันอะไรทั้งนั้น เหมือนเล่นหุ้นปั่นแปะ ต้องรีบเข้ารีบออก
Crypto ก็เหมือนเงินนั้นแหละครับ มันมีค่าเมื่อมีคนคิดว่ามันมีค่า
ยกตัวอย่างเงืนของเวเนซุเอลา เมื่อก่อนเคยมีค่า พอคนเห็นว่าไม่มีค่า มันก็ไม่มีค่าซะงั้น เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นได้หมด USD ก็เกิดได้
Opensource - Hackintosh - Graphic Design - Scriptkiddie - Xenlism Project
ต่างกันโดนสิ้นเชิงครับ
เงินใช้ทองคำอ้างอิง และมีกฏหมายบังคับใช้เป็นเรื่องเป็นราว
ในขณะที่บิทคอยด์ ...ไม่มีอะไรเลย
เงิน US Dollar เลิกใช้ Gold standard ไปตั้งแต่ 1933 แล้วครับ
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า USD จะไม่มีค่าเพราะเค้าเอาประเทศเค้าค้ำค่าเงินอยู่ (ความน่าเชื่อถือของประเทศ) และในแง่ของ Currency ก็ยังมีอีกหลายประเทศที่ยังใช้ทองคำค้ำ
แต่ BTC นั้น ก็ไม่มีจริง ๆ
ผมไม่ได้บอกว่า USD ไม่มีค่านะครับ แล้วก็อย่างที่คุณบอกครับ USD, EUR, JPY, THB หรือเงินสกุลอื่นๆ ในโลกนี้ มีค่ามาจากความน่าเชื่อถือ และเศรษฐกิจของประเทศนั้นๆ
พอ USD เลิกใช้ Gold Standard ทำให้ทุกประเทศสามารถพิมพ์เงินได้เอง (พิมพ์มากไปก็เกิดเงินเฟ้อ แบบเวเนซุเอล่า, ซิมบับเว) หรือดึงเงินออกจากระบบได้เอง (แบบที่ FED กำลังจะทำ QT)
และหลายๆ ประเทศสำรองเงินเป็นทอง เพื่อไว้ใช้ในยามเกิดวิกฤติครับ (Hedge ความเสี่ยงกับเงินเฟ้อ)
ส่วน BTC หรือเหรียญอื่นๆ มันมีค่ามาได้ก็เพราะมีคนเชื่อถือมันครับ (เชื่อถือในเทคโนโลยี Blockchain ว่ามันจะไม่เกิด Double Spending, BTC เสกขึ้นมาดื้อๆ ไม่ได้, ความหายาก, Adoption, อัตราการขุดของ BTC, อื่นๆ แล้วแต่คนมองครับ)
ทั้งนี้ ส่วนตัวผมไม่ได้เชียร์ BTC นะครับ ผมอ่านเรื่อง BTC ทั้งข่าวด้านราคา กับข่าวด้านเทคนิคเมื่อหลายปีก่อน ในเว็บนี้ แต่ยังไม่เคยลงทุนหรือถือ BTC หรือเหรียญ Crypto ใดๆครับ เพราะผมยังไม่เข้าใจตลาดนี้ดีครับ แต่เข้าใจ concept ของมันครับ
นี่ขนาดไม่ได้เชียร์นะ แต่ดันเอาคริปโต ไปเทียบกับ การค้ำด้วยเศรษฐกิจของประเทศ
มันไม่ใช่ความเชื่อนะครับ ขนาดเศรษฐกิจมันวัดค่าออกมาเป็นตัวเลขได้ มีเงินหมุนเวียน มีGDP มีเรื่องหนี้สาธารณะ ตราบใดที่ยังมีการซื้อขายกับประเทศนั้นๆ มันคือสิ่งค้ำประกันในตัวเองของมูลค่าเงิน
พวกนี้ไม่ใช่ว่าจะเลียนแบบได้ แค่พิมพ์กระดาษออกมาแล้วออกกฎหมายรับรอง เพราะถ้าขนาดเศรษฐกิจมันเล็กก็ไม่มีใครเชื่อถือ พิมพ์เงินมาซื้อของเข้าประเทศ แต่ขายของไม่ออกเลย ใครจะอยากซื้อเงินสกุลนั้น? มูลค่ามันก็ร่วงระนาวสิครับ มันไม่ใช่เชื่อถือกันแบบลอยๆสักหน่อย
เหมือนๆกับรูเบิ้ล ที่แม้จะโดนแซงชั่น แต่ก็ยังขายน้ำมันขายก๊าซได้ แถมขู่ว่าต้องใช้รูเบิ้ลซื้อสำหรับบางประเทศ ก็เลยยังพอต่อไปได้ แม้ว่าจะอ่อนไหวมากๆขนาดไม่กล้าที่จะเปิดตลาดหุ้น และอาจจะจบสิ้นเมื่อยุโรปเลิกซื้อก๊าซทั้งหมดได้จริง(ตอนนี้บางประเทศยังตัดไม่ได้ แต่ก็มีแผนแล้วภายในสิ้นปี) ยิ่งแสดงว่ามูลค่าของเงินขึ้นกับการซื้อขายกับต่างประเทศนั่นแหละ โดยเฉพาะประเทศที่GDPเกิดจากการส่งออกเป็นหลัก
BTC คุณค่ามันเกิดเพราะเอาไปใช้ในธุรกิจมืดได้เป็นหลักเลย เรื่องความแข็งแรงและไร้ศูนย์กลาง มันยังไม่ค่อยจำเป็นในยุคนี้ที่internetรวดเร็วเข้าถึงได้ทั่วโลก(และจริงๆcrypto ก็ต้องการยืนยันจากnodeอื่นๆผ่านinternetอยู่ดี) ขนาดbankที่พยายามPOC ไปใช้เป็นletter of guarantee ก็ยังไปไม่ถึงไหน กลับกันถ้าทุกประเทศเข้มงวดกับcrypto สุดๆบังคับทำKYC ห้ามถือwalletที่ไม่ยืนยันตัว ห้ามexchangeรับโอนจากwalletที่ไม่มีการยืนยันตัว ถามว่ามันจะขยายตัวได้แค่ไหน?
พูดตรงๆผมแทบไม่เห็นใครใช้ประโยชน์ในด้านที่โฆษณากันว่าปลอดภัย แข็งแรง เป็นเงินdigitalแบบใหม่ นอกจาก ต้องการเก็งกำไรเพราะเห็นมันขึ้นไว(การที่มันสวิงแรงๆจริงๆเป็นข้อด้อยในการใช้งานในแง่ของเงินตามปกติสิ) ต้องการเลี่ยงภาษี ด้วยการโอนตรง ขายของแพงๆแล้วรับBTCจะได้ไม่มีใครรู้เพราะไม่ผ่านระบบธนาคาร ฯลฯ
ไหนลองลิสต์ประเทศที่ใช้ทองคำอ้างอิงให้ผมทีครับ
เออ จริงๆก็อยากรู้เหมือนกันว่า สมมุติว่าเราเลิกใช้ทองค้ำ ค่าเงินมันจะเปลี่ยนแปลงสักเท่าไหร่
เข้าใจว่า THB มีทองค้ำ แต่มันก็วิ่งเหมือนกันนิ
ไทยบาทใช้ usd dollar และ bond ค้ำครับ
เราอยู่ในระบบ fiat มานานแล้ว แต่ไม่รู้ตัวกันครับ
บิทคอยน์จะไปต่อได้หากทุกคนเลิกเก็งกำไรระยะสั้น
แต่เท่าที่เห็นตอนนี้ก็นั่นแหละครับ
คงยากครับ เพราะคนที่ถือ BTC ส่วนใหญ่ก็เพราะชอบการเหวี่ยงของราคาในระยะสั้นครับ ใน 1 ปีขึ้นลงมากกว่า 50% หลายรอบครับ
แล้วจะไปยึดติดทำไม ถ้าวันนั้นมาถึงมูลค่ามันลดลงก็ขายทิ้งไปซิครับ หรือผมเข้าใจอะไรผิดไปว่าซื้อแล้วห้ามขาย ในเมื่อตอนนี้มันทำกำไรได้อนาคตก็ไม่สามารถมีใครทำนายได้แน่นอน ยิ่งมีเงินเหลือๆ แบ่งพอร์ตลงทุนกระจายความเสี่ยงไว้สักหน่อยดูแล้วไม่น่าจะมีอะไรเสียหาย
เอาจริงๆไม่ต้องเถียงกัน คนที่บอกบิตคอย์ดีเพราะมีผลประโยชน์กับบิตคอย์ไม่ด้านใดก็ด้านหนึ่งครับ คนถือแล้วบอกว่าไม่ดีอย่าไปสนเลยเท่ากับฆ่าตัวตายครับ ใครจะทำ
ส่วนที่บอกไม่มีค่าคือพวกไม่ยุ่งหรือไม่ถือแต่แรกครับเพราะไม่สนใจหรือกลัว แค่นั่นล่ะ
สำหรับผมจะให้ค่ามันก็ต่อเมื่อมันเป็นอัตราแลกเปลี่ยนจริงๆได้ทั่วโลกเท่านั้นครับ ตอนนี้รอดูไป แต่ไม่เข้า ไม่ซื้อ จะแลกก็ต่อเมื่อมันจะใช้จริงๆได้ ผมไม่เอาแบบซื้อมาเก็งกำไร ตอนนี้เลยไม่ออกความเห็นว่ามีค่าหรือไร้ค่า รอดูคนเถียงกันไปทุกวันไม่มีวันจบ จนทุกวันนี้ แล้วถ้าจะบอกว่ามีบางประเทศยอมรับแล้วก็จะขอถามกลับว่า ประเทศเหล่านั้นคุณนำเข้าสินค้าจากเขาสักเท่าไหร่แล้วอะไรบ้างครับ แค่นั้นเลย
Cryptocurrency จะถูกยอมรับให้ใช้งานก็ต่อเมื่อรัฐบาลติดตามการใช้งานได้
อันไหนที่ติดตามไม่ได้หรือติดตามได้ยาก ชาติหน้าก็ไม่มีทางถูกยอมรับจนป็นมาตรฐานทั่วโลก
ซึ่ง Bitcoin ก็คือหนึ่งในนั้น
เขาไม่ใช่นักเก็งกำไร เขาเป็นนักลงทุน ซื้อมาแล้วขณะถืออยู่ต้องมีดอกผลให้เก็บเกี่ยวได้เรื่อย ๆ แล้วก็จะซื้อสะสมอีกเรื่อย ๆ เช่นกัน ไม่ค่อยขายนอกจากว่าอนาคตเริ่มไม่ดี
Bitcoin มันไม่มีเงินปันผลให้ ต้องขายเท่านั้นถึงจะได้เงินมา เขาถึงไม่สนใจมัน
ผมว่าก็เหมือนกับพระเครื่อง บางคนก็ไม่ให้มูลค่า บางคนก็ให้มูลค่ามากมาย แล้วแต่จะตีความ
เท่าที่ใช้งานจริง ผมว่าระบบการตรวจสอบ/การโอนไวกว่า fiat มากเลย บางเชน
ผมโอนเงิน ไม่เกิน 3 นาทีเข้าบัญชี ตรงนี้แหล่ะครับ จุดชนะของ Cryptocurrency
ผมไม่คิดว่าเรื่องความเร็วมันจะเป็นจุดชนะนะครับ
ในคอมมอนเซนส์ของผม ผมมองว่าถ้าอยู่ในระบบเดียวกันและอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ผมคิดว่ายังไง Decentralized ก็ไม่มีทางเร็วไปกว่า Centralized ครับ
ในมุมมอง end-user เนี่ย ถ้าเป็นการโอนเงินในระบบเดียวกัน อย่างธนาคารเดียวกัน มาตรฐานเดียวกัน หรือบริการ Wallet เดียวกัน มันเร็วมากจนแทบจะทันทีเลยครับ จุดที่ช้าส่วนใหญ่มันจะเป็นการโอนต่างระบบกันอย่างโอนระหว่างประเทศหรือโอนเงินระหว่าง Wallet กับบัญชีธนาคารอะไรพวกนี้มากกว่า
ถ้าพูดถึงจุดชนะของ Crypto จริงๆ ผมว่ามันคือเรื่องความแข็งแรงมากกว่าครับ แต่ส่วนตัวผมมองว่าในยุคปัจจุบันความแข็งแรงระดับนั้นมันยังไม่จำเป็นเท่าไหร่ และ Centralized เองถ้าออกแบบมาดีมันก็ไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นด้วย
ปล. ที่ผมว่ามามันเป็นมุมมองแบบคนที่มีความรู้ตื้นเขิน จุดไหนที่ผมเข้าใจผิดก็รบกวนเสริมด้วยครับ
ระบบโอนเงินแบบเดิมมันช้าที่clearing house ครับ มันช้าที่กระบวนการ ไม่ได้ช้าที่ตัวระบบ
อย่างตอนนี้มีพวกที่โอนเงินในภูมิภาคผ่านแอพของบางธนาคารได้ มันก็มีผลทันทีเช่นกัน เร็วกว่าblockchainอีก
ผมเห็นด้วยกับ Warren Buffett
และชอบคำพูดนี้ครับ
"สหรัฐดูโง่ เมื่อเทียบกับรัฐบาลจีนที่ฉลาดกว่า แบน Bitcoin ไปเรียบร้อยแล้ว"
อีกอัน คือ Metaverse ที่พยายามสร้างโลกเสมือนหรือโลกใหม่
เพื่อหาประโยชน์จากความโลภของมนุษย์ทั้งที่มันมโนขึ้นมา
ผมคิดว่าน่าจะนำเทคโนโลยีมาพัฒนาแก้ไขหรือแก้ปัญหาให้โลกดีขึ้นและน่าอยู่
จะดีมากกว่า
เอาเฉพาะ ตอนนี้ btc มันยังมีค่าเพราะทุกคนก็ต่างต้องการครับ แต่เป็นความอุปสงค์หลักคือการเก็งกำไร ไม่ใช่เพื่อใช้จ่าย
ถ้าปู่เอา btc ไปทั้งโลกที่ 1 USD แล้วคนอื่นจะเอาไปทำอะไรต่อได้ล่ะ มูลค่ามันหมดทันทีเมื่อปู่เอาไปกองไว้ที่ตัวเองทั้งหมด
ตอนนี้ชาวคริปโตเป็นไงบ้างครับ ช้อนซื้อกันไปรึยัง ตอนนี้กำลังเป็นช่วงโอกาสที่ดีนะครับ
คิดว่าน่าจะช้อนกันไปเยอะระดับนึงนะครับ กดไม่ลงอย่างที่คิดเท่าไหร่ มีกระตุกมาเป็นวูบๆ แต่ไม่รู้ว่าเค้าช้อนเพราะจะช้อนจริงๆ หรือแค่เพื่อเอาเงินจากคน short ไว้นี่สิ ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจระบบ