เว็บไซต์ Slate.com รายงานว่า ผู้ผลิตรถยนต์ในสหรัฐอเมริกาต่างเดินหน้าพัฒนา และจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น พร้อมจูงใจผู้ซื้อด้วยตัวรถที่มีสมรรถนะสูง และการออกแบบที่ดุดันตามความชื่นชอบของผู้ซื้อที่นั่น แต่ในมุมบวกเหล่านั้นกลับมีภัยร้ายซ่อนอยู่ นั่นคือ อุบัติเหตุ บนท้องถนนที่จะร้ายแรงขึ้น โดยเว็บดังกล่าวมองไว้ 3 เรื่องคือ
1.น้ำหนักของรถยนต์ไฟฟ้าที่มากกว่ารถยนต์ปกติ ทำให้เวลาเกิดการชนย่อมมีความเสียหายกับรถยนต์คันอื่น หรือผู้คนมากกว่าเดิม โดยเหตุที่รถยนต์ไฟฟ้ามีน้ำหนักมากกว่ารถยนต์ใช้น้ำมัน เพราะต้องติดตั้งแบตเตอรี่ขนาดใหญ่จนตัวรถมีน้ำหนักหลายตัน เช่น Hummer EV ของกลุ่ม GM ที่มีน้ำหนักแบตเตอรี่ถึง 4 ตัน มากกว่า Honda Civic ทั้งคันที่มีน้ำหนักราว 1.4 ตัน
2.สมรรถนะของรถยนต์ไฟฟ้าที่แรงเกินไปทำให้ง่ายต่อการเกิดอุบัติเหตุได้มากกว่า ซึ่งทุกค่ายผลิตรถยนต์ต่างนำสมรรถนะนี้มาสื่อสารเป็นอีกจุดขาย เช่น รถยนต์แบบ SUV ของ Chervolet รุ่น Blazer EV สามารถเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ภายใน 4 วินาที เทียบเท่ากับรถยนต์ Muscle Car อย่าง Dodge Charger และ Ford Mustang รวมถึง Tesla รุ่น Model X Plaid ที่เร่งในความเร็วดังกล่าวได้ภายใน 2.5 วินาที
3.การออกแบบที่เน้นความดุดันเพื่อจูงใจผู้ซื้อในสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะกลุ่มรถกระบะ เช่น Ford รุ่น F-150 Lightning ที่ทำพื้นที่กระโปรงหน้าคล้ายเดิม โดยเปลี่ยนเป็นที่เก็บของ พร้อมตั้งชื่อเท่ ๆ ว่า Frunk (Front+Trunk) เพราะตัวรถไม่มีเครื่องยนต์อีกต่อไป ส่วนแบตเตอรี่จะวางอยู่ใต้ตัวรถ แทนที่จะออกแบบให้กระโปรงหน้าลาดเอียงเพื่อช่วยลดแรงประทะเมื่อเกิดอุบัติเหตุ และผู้ขับขี่มองเห็นด้านหน้าได้ง่ายขึ้น
ทั้งหมดนี้ยังไม่มีการแก้ไขอย่างเป็นจริงเป็นจัง และทางเว็บดังกล่าวมองว่าเป็นอันตรายบนท้องถนนที่ควรระวัง ซึ่งทางแก้ที่ไม่ต้องหวังพึ่งผู้ผลิตรถยนต์อาจต้องให้หน่วยงานกำกับเกี่ยวกับการใช้ท้องถนนออกกฎ เช่น มีขีดจำกัดในการใช้เวลาเร่ง 0-100 กม./ชม. บนท้องถนน, การนำน้ำหนักรถมาคิดภาษีเพิ่มเพื่อลดการจูงใจในการซื้อ รวมถึงการเข้ามากำกับเรื่องการออกแบบรถยนต์ไฟฟ้าที่ใส่ใจคนเดินถนนด้วย
อ้างอิง // Slate
Comments
ถ้าบ.รถไฟฟ้าไม่ออกแบบรถให้มีประสิทธิภาพ + ออกแบบตัวรถให้แตกต่างจากรถน้ำมัน ใครจะไปซื้อรถไฟฟ้าล่ะครับ
ข้อห่วงใยข้างต้นเค้ามองในมุมเพื่อนร่วมทาง และคนเดินถนนเป็นหลัก ซึ่งไม่ใช่มุมคนซื้อรถไงครับ
เอ แต่มันต้องมี crash test ตามมาตรฐาน NCAP ควบคุมอยู่แล้วรึเปล่าครับ?
อันนี้มันเทสความปลอดภัย ผดส หรือรวมถึงรถคันอื่นด้วยครับ
อันนี้มันแสดงความกังวลต่อความเสียหายต่อรถคันอื่นมากกว่านะ
แต่ที่ผมว่า make sense น่าจะเป็นเรื่องน้ำหนัก อย่างอื่นมันไม่ค่อยเป็นสาระเท่าไหร่
เคยผ่านตาว่า Euro NCAP มีความปลอดภัยต่อคนเดินเท้าด้วยนะครับ
ส่วนรถคันอื่นอันนี้ไม่รู้ คิดว่ามันอาจจะขึ้นอยู่กับรถที่แต่ละคนขับอยู่มั๊งครับ
น่าจะปลอดภัยตามมาตรฐาน แต่ อย่างในข่าว รถไฟฟ้าอาจจะซิ่งแรง อันตราเร่งโหด ภัยซ้อนเร้น จากอุบัติเหตุเบาๆ กลายเป็นหนักได้
ผมคิดว่าแค่ช่วงแรกๆเท่านั้นแหละ พอหลัง ๆ รถเปลี่ยนเป็นรถไฟฟ้าหมด รัฐบาลก็จะเปลี่ยนการเก็บภาษีตามแรงม้า/น้ำหนัก อะไรก็ว่าไป ตอนนี้ยังไม่บังคับพวกนี้เท่าไรเพราะจะได้เกิดกัน เพราะตอนนี้เป็นช่วงพัฒนาเทคโนโลยี อนาคตก็คงจะพัฒนามอร์เตอให้กิน/ฟน้อยลง แบตเบาลง ใช้ได้นานขึ้น เหมือนรถน้ำมันยุคแรกๆ เครื่อง V8 V12 กันเต็มเครื่อง 6 ลิตร รีดกันได้แค่ 200 กว่าม้า ตอนนี้ 2 ลิตรก็เกือบ ๆ 400 ม้ากันเพียบ
ราคาครับ แรงน้อยลง รูปลักษณ์ธรรมดา แตาราคาถูกผมว่าขายได้นะ แต่มันคงไม่ใช่รุ่นเชิดหน้าชูตาบริษัทสักเท่าไร
ผมมองว่าเหมือนยุครถไอน้ำของเฮนรี่ฟอร์ดช่วงแรกๆหละครับ
ขนาดแค่ 8-10 กม./ชม. มันก็อันตราย สำคัญคือรัฐต้องเร่งหารือ
มาตรฐาน กับ ช่วง 10 ปีนี้ต้องเหนือ่ยหน่อยอาจจะต้องปรับปรุงทุกปีก็วส่ากันไป
Hummer EV เทียบกับ Honda Civic เลยหรอ และรายงานพยายามให้รถ ev ดูน่ากลัวแปลกๆ
จริง ๆ ควรเทียบรถใน segment เดียวกันมากกว่านะครับ
เช่น
Hummer H2: Curb weight 3,000 kg
Hummer EV: Curb weight 4,103 kg
หรือถ้าจะเทียบกับ Honda Civic ก็ควรเทียบกับ Nission Leaf รึเปล่า
งี้ Volvo ผิดมั้ยที่ทำรถมาแข็งกว่าคันอื่นๆ ในท้องตลาด งงการเปรียบเทียบ
เรื่องน้ำหนักนี่ควรเทียบรถไซส์เดียวกันไหมนะ น้ำหนักไม่ค่อยต่างกันเท่าไหร่นะถ้ารุ่นเดียวกัน
ประสิทธิภาพเรื่องความแรง อันนี้จะไฟฟ้าหรือน้ำมันจุดขายรถก็จะแข่งกันเร็วแรงอยู่ละ ผู้ใช้งานกลุ่มครอบครัวสนเรื่องสะดวกสบายมากกว่า
ข้อเป็นห่วงดูไม่ค่อยมีเหจุผลอ่ะ เหมือนเด็กงอแงมากกว่า ถ้าเป็นห่วงเรื่องไฟไหม้แล้วดับยากเพราะสารเคมีในแบต อันนี้ดูมีสาระกว่าเยอะเลย
รถ ICE ประสิทธิภาพต่อพลังงานนี่เทียบก็แย่กว่าเยอะนะ ถ้าจะเทียบกันแบบเด็กงอแงเนี่ย....
เค้ากำลังจะบอกว่า ลำพังแค่น้ำหนักแบตเตอรี่ Hummer ก็หนักกว่า Civic ทั้งคันถึงสองเท่าครึ่ง (ถ้าเอาน้ำหนักรถทั้งคันยิ่งไม่ต้องพูดถึง) ซึ่งน้ำหนักรถสัมพันธ์กับแรงที่ใช้ขับเคลื่อนด้วยครับ รวมทั้งแรงที่จะใช้หยุดรถด้วยครับ
นั่นหมายถึง ถ้าผมขับรถอยู่บนถนน แล้วอยู่ดี ๆ ผมโดน Civic เสยท้าย รถผมอาจจะเละประมาณนึง แต่ตัวคานบนรถผมอาจจะช่วยซับแรงกระแทกได้ ผมอาจจะเดินออกจากรถได้ มีแรงฟกช้ำจากถุงลมนิดหน่อย
แต่ถ้าผมบังเอิญโดนไอ้ Hummer EV เนี่ยชนเอา รถผมอาจจะกลายเป็นเต้าหู้ใส้เนื้อคนได้สบาย ๆ ด้วยน้ำรถที่มากกว่าหลายเท่า
ที่สำคัญอีกอย่าง น้ำหนักรถจะสัมพันธ์กับระยะเบรคด้วย (เพราะถ้าเหยียบเบรคแรง ๆ มันก็จะมีแรงไปกระทบคนขับมาก คนขับก็จะไม่กดเบรคแรงเท่า) ดังนั้นโอกาสที่จะโดนเสยก็ง่ายขึ้นด้วยครับ
แล้วนี่คือน้ำหนักรถอย่างเดียว ยังไม่รวมว่าไอ้รถเนี่ยสามารถทำความเร่งสูง ๆ ได้ด้วยโดยไม่มีการชะงักแบบรถสันดาบน่ะครับ
ทีนี้ที่เค้ายก Civic มา คือมันเป็นรถที่พบเห็นในท้องถนนได้ทั่วไป (เข้าใจว่าเป็นรถที่มีคนใช้เยอะที่สุดใน US แต่ผมไม่ได้เช็คตัวเลขและอันนี้ได้ยินมานานแล้ว) เท่านั้นเองครับ
ปล. ทุกวันนี้ผมขับ Honda Jazz น้ำหนักตัวรถไม่รวมสัมภาระและผู้โดยสาร อยู่ที่ราว ๆ 950 กิโลได้ครับ ไม่ถึงตัน
ประเด็นมันอยู่ที่ว่า มันหนักเพราะเป็น EV หรือมันหนักเพราะเป็นรถกระบะใหญ่ครับ Hummer H1 ก็หนักสามตันครึ่งได้เหมือนกัน ถามว่าถ้าชนกับ Civic มันจะเละต่างกันแค่ไหนครับ?
บทความนี้ เป้าหมายคือโจมตีว่า EV จะทำให้อุบัติเหตุร้ายแรงขึ้นไม่ใช่เหรอครับ? มันก็ต้องเอารถรุ่นที่เทียบเคียงกันมาวัดกันสิ ไม่ใช่ไปเอารถ EV ที่หนักที่สุด มาชนกับรถทั่วๆไป แล้วโจมตีว่ารถ EV เป็นปัญหา ใช่เหรอ?
หนักเพราะเป็น EV ครับ เพราะลำพังแค่ "แบตเตอรี่" ก็หนักกว่ารถชาวบ้านเค้าเท่าครึ่งละครับ
เครื่องสันดาบมันอาจจะใหญ่แต่ไม่น่าจะถึงสี่ตันครับ
เหมือนไม่อ่านเลยครับ ว่าตัว Hummer H1 ก็หนักสามตันครึ่งแล้ว แปลว่า Hummer EV มันก็ไม่ได้หนักกว่าชาวบ้านเค้า"เท่าครึ่ง"เพราะแบตเตอรี่นะครับ ยกเว้นคุณจะบอกว่ารถที่ขนาด"เล็กกว่า"มีน้ำหนักเบากว่า Hummer EV เท่าครึ่ง มันก็ชัดเจนว่ามีปัจจัยอื่นนอกจากแบตเตอรี่อีกที่เพิ่มน้ำหนัก
แล้วสรุปรถ"รุ่นเดียว"ที่หนักสี่ตัน คืออันตรายของรถ EV "ทั้งหมด" เลยใช่ไหมครับ?
อันนี้คือน้ำหนักรถ หรือน้ำหนักแบตเตอรี่ครับ?
edit: หาข้อมูลเลยก็ได้ น้ำหนักรวมของรถไม่รวมผู้โดยสารคือ 9640lbp หรือคิดเป็นประมาณ 4.4 ตันครับ (หรือหนักกว่าซีวิคสามเท่า) จะมามองตรงนี้เลยน่าจะชัดเจนกว่า
ที่ผมหาได้คือตัว H1 หนัก 3.4 ตัน ส่วนตัว EV หนัก 4.1 ตัน แต่จุดต่างคือด้านหน้ารถตัว EV มันเป็นที่เก็บของซึ่งเวลาชนก็น่าจะซับแรงกระแทกได้ดีกว่าตัว H1 ซึ่งมีเครื่องยนต์ขนาดใหญ่ด้านหน้า แค่ทั้งคู่ถ้าชนรถเล็กก็น่าจะไม่ต่างกัน ที่แปลกคือบทความมันไม่ได้เทียบกับรถประเภทเดียวกัน แต่ไปเทียบกับรถคนละขนาดเลย
จริงอยากได้รถ EV ไม่ต้องซิ่ง 0-100 ภายในไม่กี่วิ ขอแค่ประหยัดไฟ วิ่งเร็วเหมือนรถน้ำมันแบบเดิมก็เดินทางสะดวกละ ไม่ต้องเร่งแรงอะไรขนาดนั้น
ถึงไม่อยากได้ก็จะจัดให้ เพราะเป็นจุดเด่นของมอเตอร์ไฟฟ้าอยู่แล้ว ถ้าอยากถอดคุณสมบัตินี้ออกไปอาจจะยากกว่าอีกนะ
ผมขอชาร์จเร็วประมาณ 30 นาที วิ่งได้ 100 - 200 กิโลเมตรก็พอใจแล้ว ในใจไม่ได้อยากจะได้แบตเตอรีใหญ่อะไร (ยิ่งแบตใหญ่ก็ยิ่งเหมือนอยู่ในระเบิด)
Mercedes EQS 450+
32min 512km
8-9ล้าน T_T
A: โอ้โหสุดยอดมาก
B: สมรรถนะรถ?
A: ราคา!
"ขอชาร์จเร็วประมาณ 30 นาที วิ่งได้ 100 - 200 กิโลเมตรก็พอใจแล้ว"
เกินจากที่คุณขอด้วยนะครับ!
ฟิลล์เหมือนจัดสเปคคอมเล่น Valorant ได้ 200 เฟรม+ หน่อยครับ แต่ลืมบอกงบ...
5555 ผมชอบการเปรียบเทียบนี้ครับ
แล้วพวก Features ความปลอดภัยต่างๆที่ EV มีให้มากกว่ารถยนต์น้ำมัน ไม่คิดว่ามันช่วยให้การขับขี่ปลอดภัยขึ้นเลยหรอ
ฟีเจอร์ไหนที่รถยนต์ไฟฟ้ามีแต่รถน้ำมันไม่มีหรือครับ
กล้องและ Sensor รอบคัน ระบบช่วยขับ ระบบตัดสินใจแทนคนขับเวลาเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน เป็นต้น
รถน้ำมันก็มีนี่ครับ ระบบช่วยเบรคนี่ Benz, BMW, Volvo, Audi พวกนี้มีหมด (แล้วแต่รุ่น) ระบบช่วยขับ Lane Assist รถญี่ปุ่นบางรุ่นยังมี รถจีนก็มี
ที่คุณว่ามานั่นรถน้ำมันก็มีครับ และเอาจริงๆ ecocar ราคาไม่ถึงล้านก็มีแล้ว
มีส่วนจริงนะ รถแรงมาก โอกาสเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงก็มากขึ้น มันไม่ใช่แค่ระบบความปลอดภัย แต่ด้วยความเร็วสูงความเสียหายก็ย่อมมากกว่า จำเคสporsche ชนท้ายรถfortuner บนทางด่วนได้ไหม(ข่าวเก่า https://www.komchadluek.net/news/129103) ความเร็วตอนชนเขาประมาณว่าน่าจะเฉียดๆสามร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมง รถfortuner ที่โดนชนท้ายนี่ยุบจนแทบไม่เหลือซาก คนขับตายหมด
เมื่อก่อนมันจำกัดจำนวนรถ ด้วยราคาทำให้เหตุร้ายแรงพวกนี้ดูจำนวนไม่มาก แต่พอรถ ev มาราคาถูกกว่าexotic car แต่แรงพอๆกันหรือบางตัวแรงกว่า ก็มีความเสี่ยงมากขึ้น
เหมือนๆกับสมัยก่อนถ่านไฟฉายเราแทบไม่กลัวเคสไฟไหม้ แต่พอเป็นpowerbank หรือมือถือแบตความจุสูงๆ กลับทำไฟไหม้ได้บ่อยมากขึ้นจนเกิดข้อห้าม จำกัดความจุแบตลิเธียมฯพกพาขึ้นเครื่องบินนั่นแหละ เทคโนโลยีเปลี่ยน มาตรฐานความปลอดภัยก็ต้องพัฒนาตามไปด้วย ไม่ใช่อ้างแต่จิตสำนึก
ป.ล.จริงๆมีเคสที่ตรงกว่า คือมาตรฐานบังคับของEU ที่กำหนดมาตรฐานให้ฝากระโปรงหน้ารถต้องยุบตัวเพื่อลดอันตรายต่อคนเดินถนน กรณีโดนชน กลายเป็นเกิดเคสแบบรถ BMW บ้านเราไปชนท้ายมอเตอร์ไซด์ แล้วBMW ยุบหนักมากแต่รถมอเตอร์ไซด์แทบไม่บุบเลย คนก็ขำกันว่า รถBMWบางจัง จริงๆมันเพราะมาตรฐานความปลอดภัยใหม่ตะหาก
ป.ล.2 เคยอ่านคู่มือรถBMW รุ่นนึงนานมาแล้ว ที่ตอนออกใหม่ระบบsafety เรียกว่าล้ำหน้ารถยุคนั้นไปเยอะ(ถุงลมสิบใบ ,DSC ฯลฯ) เขียนประมาณว่า ระบบช่วยเหลือด้านความปลอดภัยไม่ได้เอาชนะกฎทางฟิสิกส์ จึงขอให้ขับขี่รถอย่างระมัดระวังและคำนึงถึงความปลอดภัย
เว็บสปอนเซอร์โดยรถน้ำมันหรือเปล่า เหตุผลโคตรเมากาว
ข้อ 1. เอารถกระบะเทียบกับรถเก๋ง คนละเซ็กเม้นต์เลย ถ้าเทียบงี้ วอลโว่ออกแบบรถมาทำให้น้ำหนักเยอะกว่าคู่แข่ง ต้องเป็นรถที่อันตรายมากไปแน่ๆ
ข้อ 2. สมรรถนะที่ดีกว่า มันไม่ใช่แค่การเร่งที่ดีกว่า แต่มันคือการควบคุม การยึดเกาะ การเบรคที่ดีกว่าด้วย ถ้าพูดแค่เร็วกว่าอันตรายกว่า รถสปอร์ตควรจะหมดจากโลกละ
ข้อ 3. กาวสุด บอกออกแบบเหมือนรถน้ำมัน แล้วมันจะอันตรายกว่ารถน้ำมันได้ไง? แล้วบอกว่าเป็นที่เปล่าๆ นั่นก็คือ force absorption ที่ดีกว่ามีเครื่องยนต์ทั้งก้อนขวางอยู่ข้างหน้าแล้วไม่ใช่เหรอ?
บทความอย่างกาว
งงเหมือนกันกับข้อ 3 เครื่องยนตร์อยู่หน้านี้คือเมื่อเอาค้อนฟาดใส่เป้าหมายเลยนะ
2 นี่จริง ๆ มันไม่เชิงนะครับ อย่าง Tesla Model S Plaid ด้วยความที่รถมันอัตตราเร่งโหดร้ายมาก แต่ระบบเบรคมันไม่ได้ดีตามครับ เพราะตัวรถน้ำหนักเยอะ มันเอารถไม่อยู่จริง ๆ ถ้าวิ่งมาเร็ว ๆ คือระบบเบรคมันไม่ได้ดีเหมือนรถไฮเปอร์คาร์ ทั้งที่อัตตราเร่งมันดีพอ ๆ กับไฮเปอร์คาร์ ระบบเบรคมันพอๆ กับรถสปอร์ตเองครับ
3 นี่เค้าน่าจะสื่อว่า ในเมื่อไม่มีเครื่องยนต์ข้างหน้าแล้ว ทำไมไม่ออกแบบให้ฝากระโปรงลาดลงเพื่อลดการบาดเจ็บของคนถูกชนน่ะครับ คือเค้าจะสื่อว่ารถไฟฟ้า มันทำให้ดีกว่านี้ได้ในแง่ความปลอดภัย
แย้งข้อ 3 บทความจั่วหัวว่า"ร้ายแรงขึ้น" แล้วสรุปมันร้ายแรงขึ้นยังไงครับ ถ้ามันดีกว่าเดิมในแง่ความปลอดภัย
"มันทำให้ดีกว่านี้ได้ในแง่ความปลอดภัย" ในเมื่อไม่ต้องมีเครื่องด้านหน้าน่ะครับ
ส่วนเรื่องมันร้ายแรงกว่ายังไงคือน้ำหนักครับ EV รถมันหนักกว่าครับ เครื่องแรงด้วย หนักด้วย โมเมนตัมมันเลยสูงกว่าครับ เวลาเกิดอุบัติเหตุทำให้มันร้ายแรงกว่ารถที่เบากว่าครับ
Model 3 น้ำหนักเท่า Accord ซึ่งเป็นรถไซส์เดียวกัน แปลว่าข้อกล่าวหา EV หนักกว่ามันตกไปแล้วใช่ไหมครับ?
แล้วสิ่งที่รถ EV ทำ คือเพิ่มการรับแรงกระแทกด้านหน้า มันก็"ดีกว่า" ในแง่ความปลอดภัย ขนาดสถาบันทดสอบความปลอดภัยก็คอนเฟิร์มแล้ว ปัญหาคืออะไรกันแน่ครับ? หรือว่ารถ EV ต้องออกแบบมาให้ชนคนแล้วคนไม่เจ็บเลย ถึงจะโอเคเมื่อเทียบกับรถ ICE ครับ?
ภัยเงียบจริงๆคือ.....รถมันแทบไม่มีเสียงครับ ได้ยินแต่เสียงล้อบดถนน เวลาเดินเสียวก้นมากก จนยุโรปต้องออกกฎให้มีเสียงสังเคราะห์
อันนี้จริง
หมาแถวบ้านนอนขวางถนน
ปกติมีรถมามันจะได้ยินเสียงแล้วรีบลุกหลบ
เจอรถ Hybrid มาเงียบๆ จนต้องบีบแตรไล่
มันถึงค่อยตกใจลุกหลีกทางให้
แล้วหันมามองรถ Hybrid แบบงงๆ ทำไมไม่มีเสียงฟะ 😆
ผมว่าควรมีกฎหมายมากำหนดว่ารถไฟฟ้าทั้งหลายต้องมีเสียงในระดับที่ดังแต่ไม่รบกวนหรือเป็นมลพิษทางเสียง ถ้าวิ่งด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าได้แล้วครับ
แค่นึกถึงเสียงถอยหลังของพวกรถบัสก็รำคาญมากแล้วครับ
มีแหละดีแล้ว เพราะรถพวกนี้มุมอับคือท้ายรถ จนอยากให้มันต้องมีกล้องหลัง แถมพอเข้าเกียร์ถอยหลังมันจะดังก่อน 5 วิแล้วรถถึงจะถอยหลังได้ครับ
ปล. Yamaha Belle นี่จะตลกหน่อยๆ เพราะเป้ามอเตอไซค์ที่ไฟเลี้ยวมีเสียงปี๊บด้วย
バックします、ご注意下さい
ตัวหนังสือที่มีเสียงเข้ามาในหัวลอยมาอีกแล้ว ♪(´▽`)
เอาไว้ขับบี้คู่แข่งยังได้เลยครับ
The Prius is silent if he keeps it under 5 MPH.
บล็อกส่วนตัวที่อัพเดตตามอารมณ์และความขยัน :P
เอา Hummer มาเทียบกับ Civic ...
ถ้า Slate ไม่รับเงินค่าโฆษณารถน้ำมันมา ก็คงเมากาวเกินเยียวยา
พูดถึงถ้าชน โมเมนตัมรถไฟฟ้าก็แรงเอาเรื่องอยู่นะ จำได้ว่าเคยมีข่าวเทสล่าชนรถเทรลที่ขวางทางจราจรแล้วตัวรถก็ดันทาสีขาวอีกทำให้คอมพิวเตอร์แยกไม่ออก เลยวิ่งพุ่งเข้าไปเต็มแรง สภาพซากคือท่อนบนหายเหลือแต่ท่อนล่างที่พอจะดูสมบูรณ์ แน่นอน คนขับก็ไม่เหลือ
กลัวไร ไร้สาระ...
ตอนนี้กังวลกว่า เอาตังที่ไหนซื้อรถ
ทำไมไม่เอารถไฟฟ้าทั่วๆไปมาเปรียบเทียบหว่า เหมือนเอารถที่สุดๆในแต่ละคลาสมาทำเป็นข้อเสียแทน
รถไฟฟ้าทั่วๆไปก็ทำ 0-100 กันที่ 6-8 วินาที อัตราเร่งไม่ได้ดุร้ายขนาดนั้น แต่ก็เร็วกว่ารถน้ำมันทั่วๆไป แต่ถ้าจะเบลมเรื่องนี้ ผมขอเบลมรถน้ำมันที่ทำ Top Speed สูงๆแทนได้มั้ย อันตรายเหมือนกัน ทำเครื่องยนต์วิ่งได้ 200+ กม./ชม. ทำไม อันตรายคนขับตัดสินใจเหยียบเบรคไม่ทัน
เรื่องน้ำหนัก เถียงไม่ได้ แบตเตอรี่มันหนักจริง คันที่ผมใช้ก็ 1.5 ตัน
ถ้าในไทย ผมแอบกลัวเรื่อง ปาดกันยับ ๆ มากกว่าอะครับ
ขนาดปกติเร่งไม่ค่อยขึ้นยังปาดกันขนาดนั้น
ถ้าเร่งแรงแบบรถไฟฟ้า ไม่อยากจะคิดเลย
ว่ารถใน กทม จะขับยากขึ้นขนาดไหน
วิงวอนขอร้องให้ตำรวจ บังคับใช้กฎหมายแบบจริงจังสักที
แทบจะสิ้นหวังแล้ว TT____TT
เห็นด้วยอย่างยิ่ง ผมก็คิดเรื่องนี้เหมือนกัน ทุกวันนี้หลายๆคันขับกันเหมือนคนท้องเสียจะรีบไปเข้าห้องน้ำ
แล้วถ้าได้รถอัตราเร่งสูงๆ นี่คงไม่ต้องพูดถึงเลย ผมคิดแล้วก็กลัวจริงๆ ถ้าต้องเจอพวกนี้บนถนนเยอะๆ
ล่าสุด เห็นกลุ่มแมวดี มีคนโพส ใช้ระบบช่วยอยู่ในเลน +หนีบไม้หนีบหลอกว่าจับพวงมาลัย ทำเป็น auto pilot เลยให้รถวิ่งเองโดยไม่ต้องจับพวงมาลัย....
มีบอกอีกนะ ตรงไหนถนนไม่มีเส้นก็จะวิ่งไม่ตรง หรือฝนตกเส้นสะท้อนแสงมากไป ก็วิ่งไม่ตรง คือรู้แล้วยังจะเสี่ยงทำ?
ช่างดัดแปลง แต่น่ากลัวสุดๆ
จะว่าไปที่มอเตอร์มันต้องแรงขนาดนั้นนี่เป็นเพราะเพื่อให้ปั่นไฟฟ้าได้มากเวลาเบรครึเปล่านะครับ?