Comcast หนึ่งในผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตตามบ้านรายใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกาเตรียมปรับราคาค่าบริการเพิ่มสูงขึ้น หลังประสบปัญหามีผู้สมัครใช้บริการน้อยลงในระยะหลัง แถมลูกค้าเดิมบางส่วนก็เริ่มหยุดใช้บริการ
ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ Comcast ไม่สามารถเพิ่มฐานลูกค้าผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตได้เลย โดยจำนวนลูกค้าทั้งกลุ่มผู้ใช้งานในที่พักอาศัยและในภาคธุรกิจรวมกันนั้นหยุดนิ่งอยู่ที่ 32,163,000 ราย ส่วนไตรมาสล่าสุดมีรายงานว่าสามารถหาลูกค้าใหม่เพิ่มได้เพียง 14,000 รายเท่านั้น แต่ในขณะเดียวกันบริษัทกลับมีจำนวนลูกค้าผู้ใช้บริการวิดีโอลดลง 561,000 ราย และผู้ใช้บริการโทรศัพท์ VoIP (โทรศัพท์ผ่านการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต) ลดลง 316,000 ราย
ทำให้ Comcast หันมาพิจารณาการหารายได้เฉลี่ยจากลูกค้าที่มีอยู่ (ARPU: average revenue per user) ให้ได้เพิ่มมากขึ้น แน่นอนว่านั่นต้องอาศัยการเพิ่มค่าบริการ ซึ่งเรื่องนี้ Michael Cavanagh ประธานบริหารผู้ควบตำแหน่ง CFO ของ Comcast เป็นผู้แถลงยืนยันด้วยตนเอง
Brian Roberts ผู้ดำรงตำแหน่ง CEO ของ Comcast ระบุว่าบริษัทให้ความสำคัญกับการเติบโตของตัวเลข 4 อย่างสำหรับธุรกิจอินเทอร์เน็ต ประกอบไปด้วย จำนวนลูกค้ากลุ่มที่พักอาศัย, รายได้เฉลี่ยต่อลูกค้ากลุ่มที่พักอาศัย, การให้บริการอินเทอร์เน็ตไร้สาย และการให้บริการลูกค้าภาคธุรกิจ
อย่างไรก็ตาม Comcast ไม่ได้ระบุชัดเจนว่าการขึ้นค่าบริการนั้นมีรายละเอียดอย่างไรบ้าง หากมองในภาพรวมธุรกิจอินเทอร์เน็ตทั้งหมดของ Comcast อาจใช้วิธีการเสนอขายแพคเกจอินเทอร์เน็ตมือถือ หรือเสนอขายแพคเกจบริการเสริมต่างๆ ทว่าเนื่องจาก CEO ได้ระบุอย่างชัดเจนว่าบริษัทให้ความสำคัญต่อ "รายได้เฉลี่ยต่อลูกค้ากลุ่มที่พักอาศัย" ด้วย จึงน่าเชื่อว่าจะมีการเพิ่มค่าบริการรายเดือนสำหรับอินเทอร์เน็ตตามบ้านซึ่งคิดค่าบริการแบบเหมาจ่ายอยู่ก่อนแล้ว
ทั้งนี้จากการสืบค้นพบว่าแพคเกจอินเทอร์เน็ตราคาถูกสุดของ Comcast ในปีนี้อยู่ที่เดือนละ 19.99 ดอลลาร์ โดยได้อินเทอร์เน็ตความเร็ว 75 Mbps โดยจำกัดปริมาณข้อมูลต่อเดือนไม่เกิน 1.2 TB (ถ้าอยากปลดล็อกหรือต้องการความเร็วเพิ่มก็มีแพคเกจอื่นๆ ให้จ่ายเงินซื้อเพิ่ม)
อันที่จริง Comcast มีโอกาสหาลูกค้าเพิ่มได้หากตัดสินใจขยายพื้นที่ให้บริการอินเทอร์เน็ต เพราะในปัจจุบันนี้มีผู้คนอีกหลายหลังคาเรือนที่เห็นเพื่อนบ้านใกล้เคียงสามารถใช้อินเทอร์เน็ตของ Comcast ได้แต่บ้านตัวเองที่ห่างออกไปไม่ไกลกลับอยู่นอกพื้นที่บริการ ทว่าทางบริษัทก็ยังคงเลือกที่จะไม่ขยายพื้นที่ออกไปแต่อย่างใด ซึ่งทาง Ars Technica ได้เคยรายงานเหตุการณ์ตัวอย่างที่แสดงถึงความไม่กระตือรือร้นที่จะขยายพื้นที่ให้บริการของ Comcast ไว้หลายกรณี อาทิ
- ปี 2015 วิศวกรซอฟต์แวร์รายหนึ่งซื้อบ้านใน Washington และก่อนซื้อก็ได้พูดคุยกับช่างของ Comcast หลายคนที่ยืนยันตรงกันว่าบ้านใหม่ของเขานั้นพร้อมติดตั้งใช้งานอินเทอร์เน็ตได้ทันที ซึ่งถือเป็นเรื่องจำเป็นต่อการทำงานที่บ้านของเขา แต่เอาเข้าจริงเขากลับเจอใบเสนอราคาจาก Comcast ที่คิดค่าติดตั้งอินเทอร์เน็ต 60,000 ดอลลาร์ ทำให้เขาต้องตัดสินใจขายบ้านในเวลาไม่กี่เดือนให้หลัง
- ปี 2016 สตาร์ทอัพรายหนึ่งย้ายเข้าสำนักงานใหม่ใน Silicon Valley และได้ทำสัญญาใช้บริการอินเทอร์เน็ต Comcast โดยวางมัดจำเป็นเงิน 2,100 ดอลลาร์ แต่ผ่านไปหลายเดือนอินเทอร์เน็ตก็ยังใช้งานไม่ได้จนสัญญาเช่าอาคารกำลังจะครบกำหนด 1 ปี สตาร์ทอัพรายนี้เลยตั้งใจจะย้ายไปเช่าสำนักงานแห่งใหม่และขอยกเลิกบริการ (ที่ไม่เคยได้ใช้จาก Comcast) พร้อมขอเงินมัดจำคืน แต่ Comcast ระบุว่าพวกเขาต้องจ่ายค่ายกเลิกสัญญา 60,000 ดอลลาร์
- ปี 2019 คู่สามีภรรยาที่เพิ่งซื้อบ้านใน Seattle พบว่าเพื่อนบ้าน 6 หลังที่มีแนวแปลงที่ดินติดกันล้วนมีอินเทอร์เน็ต Comcast ใช้บริการได้หมด แต่พอตัวเองติดต่อบริษัทเพื่อจะติดอินเทอร์เน็ตกลับได้รับใบเสนอราคาค่าติดตั้ง 27,000 ดอลลาร์ โดย Comcast บอกว่าค่าติดตั้งแพงเพราะต้องฝังสายอินเทอร์เน็ตใต้ดินเป็นระยะทาง 55 เมตร
- ปี 2019 ชายคนหนึ่งย้ายเข้าบ้านใน Silicon Valley โดยโทรสอบถาม Comcast และได้รับการยืนยันว่าบ้านอยู่ในพื้นที่ให้บริการอินเทอร์เน็ต แต่พอย้ายจริงกลับได้รับใบเสนอราคาค่าติดตั้งอินเทอร์เน็ต 210,000 ดอลลาร์ โดยระบุว่าเป็นค่าฝังสายอินเทอร์เน็ตระยะทาง 700 ฟุต (คิดค่าติดตั้งฟุตละ 300 ดอลลาร์) และแม้ในเวลาต่อมาเจ้าตัวตรวจสอบแล้วพบว่าบ้านตัวเองอยู่ห่างจากเสาไฟที่มีสายอินเทอร์เน็ตของ Comcast แค่ 50 เมตร แต่ Comcast ยืนยันว่าเดินสายผ่านอากาศจากเสาต้นดังกล่าวไม่ได้เพราะกฎท้องถิ่นบังคับให้ต้องฝังสายมาจากจุดอื่น ทำให้ในที่สุดเจ้าตัวตัดสินใจร่วมกับคนอื่นๆ ในท้องที่ตั้งสหกรณ์ให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงกันเอง
- ปี 2020 คู่รักคู่หนึ่งวางแผนย้ายบ้านไปรัฐ Virginia และได้ตรวจสอบข้อมูลพื้นที่ให้บริการอินเทอร์เน็ตของ Comcast โดยกรอกที่อยู่บ้านใหม่ลงในเว็บไซต์ของ Comcast ซึ่งได้ข้อมูลว่าอยู่ในพื้นที่บริการ แต่พอเอาเข้าจริงเมื่อย้ายบ้านกลับพบว่าไม่เป็นอย่างนั้น ทั้งที่บ้านซึ่งอยู่หัวและท้ายถนนเส้นเดียวกันมีอินเทอร์เน็ต Comcast หมด แต่บ้านของคู่รักคู่นี้กลับถูกระบุว่าอยู่นอกพื้นที่บริการและจะต้องจ่ายเงิน 5,000 ดอลลาร์เพื่อติดตั้งอินเทอร์เน็ต ซึ่งหลังจากจ่ายเงินไปแล้ว 6 เดือนให้หลังก็ยังติดตั้งไม่แล้วเสร็จ
- ปี 2021 ครอบครัวหนึ่งย้ายบ้านไปอยู่ในรัฐ Washington และแม้จะตรวจสอบจากแผนที่ในเว็บไซต์ของ Comcast จนแน่ใจแล้วว่าบ้านใหม่ของตนเองอยู่ในพื้นที่ให้บริการอินเทอร์เน็ต แต่พอตอนย้ายจริง Comcast กลับบอกว่าข้อมูลในเว็บไซต์ผิดพลาด และเรียกค่าบริการต่อขยายสายอินเทอร์เน็ต 19,000 ดอลลาร์ จนสุดท้ายครอบครัวนี้ต้องเลือกจ้างผู้รับเหมามาติดตั้งงานเองบางส่วนและจ่ายเงินจ้าง Comcast ดำเนินการส่วนที่เหลือเพื่อลดค่าใช้จ่ายโดยรวมให้เหลือ 10,000 ดอลลาร์
เรียกได้ว่าแนวทางการทำธุรกิจของผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตเบอร์ 1 ของสหรัฐฯ นั้นมีอะไรน่าสนใจไม่น้อย
รถให้บริการติดตั้งอินเทอร์เน็ตของ Comcast (ที่มาภาพ: Mike Mozart, CC BY 2.0)
ที่มา - Ars Technica - 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7
Comments
แพคเกจอินเทอร์เน็ตราคาถูกสุดของ Comcast ในปีนี้อยู่ที่เดือนละ 19.99 ดอลลาร์ โดยได้อินเทอร์เน็ตความเร็ว 75 Mbps โดยจำกัดปริมาณข้อมูลต่อเดือนไม่เกิน 1.2 TB
เน็ตบ้านเรา ดีและถูกกว่ากันหลายเท่าเลย 😮
ใช่ครับ
แต่สมัยนั้นก็มีกลุ่มเกลียดทักษิณต่อต้านกฎหมายฉบับนี้นะครับ :)
Russia is just nazi who accuse the others for being nazi.
someone once said : ผมก็ด่าของผมอยู่นะ :)
ประเทศต้นกำเนิด internet นะเนี่ย
ดูช่อง 9arm เล่าเรื่องคอมเคลส ผูกขาด แพง ขายพ่วง โคกค่าติดตั้งเดินสายแพง โด่งดังทางลบมาก
จากข้างบนทั้งหมดคือบริษัทกำไรดีมากกก
โคก => โขก
อย่างไทยพวกผูกขาดนี่คนย้ายออกหนีเยอะ ก็ลดราคาสู้นะ แต่นี่มาแปลกดี 55 ยิ่งยุคนี้คนใช้ Data เยอะขึ้นกว่าแต่ก่อนยังมาล็อคอีก Bandwidth เหลือๆ ปล่อยไว้ทำไมกันนะ
หนีไป starlink น่าจะดีกว่า
อยากรู้แค่ว่า Comcast ที่อเมริกา เส้นใหญ่ขนาดไหนถึงทำแบบนี้แบบไม่สนหน้าใครเลยเนี่ย
แค่มนุษย์คนนึงที่อยากรู้เกี่ยวกับวงการไอที
นายทุน ทุกพรรค
ซื้อบ้านใน? Seattle
ห่างออกไปไม่ไกลกลับ?อยู่นอกพื้นที่บริการ
M O N O P O L Y
บล็อกส่วนตัวที่อัพเดตตามอารมณ์และความขยัน :P
ค่าย T ก็เหมือนกันครับ
ตอนนี้ ที่บ้านในภาคอีสาน แต่ก่อนนี้ติดตั้งได้ยอมลากสายให้ถึง 700 เมตร อยู่สุดซอย ติดได้
แต่เดี๋ยวนี้ บ้านในซอยเดียวกัน แต่อยู่ถึงก่อน ต้นซอยกว่า ขอติดใหม่ กลับขอไม่ได้
เพราะบอกว่าเกินระยะลากสายสำหรับลูกค้าใหม่!!
เจอเหมือนกันครับ สายผ่านหน้าบ้านเลย แต่ติดไม่ได้เพราะบอกว่าไม่มีตู้ชุมสาย ค่าติดตั้งหลักหมื่น เลยลาขาด ใช้มือถือเสียบ nokia ต่อเน็ตตั้งแต่ EDGE เปลี่ยนมาเป็น router 3G จนถึง 4G ตอนนี้
บล็อก: wannaphong.com และ Python 3
อีสานเหมือนกันครับ บ้านอยู่ห่างจากชุมสายใกล้สุด ~650 เมตรเหมือกัน แต่กลับกันที่มีแค่ทรูเจ้าเดียวที่ยอมมาเดินสายให้แถมฟรีด้วยครับ 3BB ToT AIS ปฎิเสธหมดเลย
ของทุกเจ้าในไทยเข้าใจว่าถ้าหาติดต่อเซลล์ของค่ายได้ แล้วคุยๆเอา
ค่าสายลากเกินจากส่วนที่ฟรีให้น่าจะแค่เมตรละ 50 บาท นะครับ
ตอนนี้เหลือค่ายเดียวที่ให้ระยะสาย 700 เมตรคือ 3 ครับ
ค่าย T,A เได้แค่ 500เมตร (เมื่อก่อนก็ไม่น่าได้ 700 นะ เป็นcable docsis หรือเปล่า?)
ของรัฐยิ่งแล้วใหญ่ T/C นี่ให้แค่ 300เมตรให้น้อยกว่าเอกชนซะงั้น
แต่ก็ขึ้นกับเจรจาถ้าของเอกชนก็แล้วแต่ค่าย บางค่ายเจรจาเซลล์ส่วนกลางได้เซลล์ดันให้ได้ บางค่ายต้องคุยกับจนท.ของสาขาพื้นที่ให้ผจก.อนุมัติ ถ้าเกินไม่มากก็ขอได้ส่วนเกินอาจต้องจ่ายหรือฟรี(ค่าสายส่วนเกินก็ขึ้นกับการเจรจาตั้งแต่ 5-20บาทต่อเมตร) แต่ถ้าเกินมากๆ บางทีเขาก็ไม่ยอมติดให้เลย เพราะกลัวเรื่องดูแลรักษา อีกอย่างก็ต้องยอมจ่ายโปรแพงด้วยครับเขาก็จะมองว่าคุ้มค่าลากเพิ่มให้ ถ้าจะเอาโปรถูกสุด 299 ก็ยากหน่อย
อีกอย่างเรื่องการนับระยะสาย ต้องวัดการเดินตามแนวเสาไฟฟ้านะครับ บางคนวัดในgoogle map แล้วคิดว่าน่าจะได้แต่เจอติดจริงไม่ได้เพราะวัดระยะขจัด ซึ่งมันเดินสายแบบนั้นไม่ได้
จากที่เคยฟังเสียงต่อเน็ต 56K มาถึงตอนนี้ได้ใช้ 1Gbps เน็ตบ้านเราก็มาไกลเหมือนกัน
เห็นได้ชัดถึงผลของการผูกขาด
นี่แหละผลของการผูกขาด
starlink เป็นทางเลือกที่ดีขึ้นมาเลย
ของไทยทั้งถูกและดี :)
ในไทยรวมๆ ถือว่าดีกว่ามากครับ แม้ว่า คอนโดใหม่ๆ ส่วนใหญ่จะผูกขาดติดได้แค่เจ้าเดียว เพราะไปเดิน Fiber ให้ฟรีๆ แลกกับสัมปทาน แต่ร่วมๆ ถือว่าราคาถูกมาก และไม่จำกัด M/B ด้วย
ที่จริงมันก็ตามตำรานะครับ
เวลาผูกขาดมันก็แบบนี้ล่ะครับตามตำรา
จุดสูงสุดของธุรกิจคือธุรกิจที่ผูกขาด นายทุนส่วนใหญ่ก็อยากมีแบบนี้