ปี 2022กำลังผ่านไปพร้อมกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจหลายอย่างที่สร้างความผันผวนให้กับธุรกิจอย่างหนัก ทำให้องค์กรจำนวนมากมองหาหนทางประหยัดค่าใช้จ่ายในปี 2023 ที่จะถึงนี้ การนำพาธุรกิจให้เดินต่อ สร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน ก็หนีไม่พ้นเรื่องของโดยการนำเทคโนโลยีมาช่วยขับเคลื่อน แล้วจะทำอย่างไรให้การลงทุนนั้นคุ้มค่า ไม่ต้องจ่ายซ้ำซ้อน ในขณะเดียวกันก็ต้องคงความปลอดภัยให้ได้มาตรฐานสูงสุดไปพร้อมกัน การมองหาโซลูชั่นที่ปกป้ององค์กรตั้งแต่เซิร์ฟเวอร์ภายในไปจนถึงอุปกรณ์ต่างๆ ของพนักงานจำนวนมากที่ต้องได้รับการปกป้องอย่างครบถ้วน ตามแนวทาง จ่ายน้อยกว่าแต่ได้มากกว่า (do more with less) จึงเป็นเทรนด์สำคัญสำหรับปี 2023 นี้
Azure SQL ทางเลือกที่ประหยัดกว่าไม่ว่าจะใช้ฐานข้อมูลรูปแบบใด
ระบบฐานข้อมูลคือหัวใจธุรกิจ บริการ Azure SQL เป็นตัวเลือกหนึ่งที่ช่วยให้องค์กรประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาวมได้มากกว่า เมื่อเทียบกับคู่แข่งรายอื่น โดยเฉพาะ SQL Server ที่สามารถรันบน Azure โดยมีค่าใช้จ่ายรวมต่ำกว่าคลาวด์อื่นๆ ถึง 80% และ Enterprise Strategy Group (ESG) ยังสำรวจองค์กรต่างๆ พบว่าการใช้งานฐานข้อมูลโอเพนซอร์สอย่าง PostgreSQL หรือ MySQL บน Azure เองก็ยังมีความคุ้มค่าสูงกว่าคู่แข่งอย่างชัดเจน
ค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่าของ Azure SQL มาพร้อมกับความปลอดภัยสูงสุด โดย Microsoft SQL มีช่องโหว่ต่ำสุดในบรรดาระบบฐานข้อมูลในช่วงสิบปีที่ผ่านมา และผู้ใช้ Azure SQL ก็ได้รับการดูแลความปลอดภัยอย่างต่อเนื่องตลอดการใช้งานโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
กระบวนการย้ายแอปพลิเคชั่นไปยัง Azure ไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่หลายองค์กรกลัว Forrestor Consulting รายงานถึงความคุ้มค่าของการย้ายแอปพลิเคชั่นไปยัง Azure SQL ว่าสามารถคืนทุนในการย้ายได้ในช่วงเวลาเพียงไม่ถึงสามเดือนเท่านั้น แต่ในระยะยาวกลับสามารถลดค่าใช้จ่ายได้มาก ทั้งค่าใช้จ่ายที่เกิดจากภาระของทีมงานไอทีที่ต้องดูแลระบบ, ค่าใช้จ่ายสำหรับการบำรุงรักษาฮาร์ดแวร์, เน็ตเวิร์ค, และสตอเรจที่สร้างภาระโดยไม่รู้ตัว ตัวบริการ Azure SQL Managed Instance ยังเข้ากันได้กับ SQL Server 2008 ทำให้ไม่ต้องกังวลว่าต้องแก้ไขแอปพลิเคชั่นเพื่อใช้งาน
โครงสร้างพื้นฐานบน Azure ประหยัดกว่า เชื่อถือได้มากกว่า
สำหรับองค์กรที่ต้องการย้ายโครงสร้างพื้นฐานทั้งหมดขึ้นมายัง Azure ไมโครซอฟท์เปิดทางให้ประหยัดได้มากกว่า ด้วยสิทธิประโยชน์การรับแพตช์ระยะยยาว Azure Hybrid Benefit ที่ใช้งานได้กับ Azure VMware ด้วย ทำให้เซิร์ฟเวอร์ต่างๆ ทั้ง Windows Server และ SQL Server ยังคงได้รับแพตช์ระยะยาวต่อไป ขณะที่องค์กรสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายลงอีกด้วยการใช้ Reserved Instance เมื่อคาดเดาโหลดที่ต้องการใช้งานได้ แม้แต่แอปพลิเคชั่นที่รันบนลินุกซ์ก็ยังสามารถนำไลเซนส์มาใช้งานต่อเนื่องบน Azure ได้ทั้ง Red Hat และ SUSE
Microsoft Azure มาพร้อมกับเครื่องมือช่วยจัดการค่าใช้จ่ายอย่าง Microsoft Cost Management ที่แนะนำวิธีการลดค่าใช้จ่ายได้ 20-34% พร้อมกับคำแนะนำเพิ่มเติมจาก Azure Advisor
การใช้งานโครงสร้างพื้นฐานบน Azure ยังเปิดโอกาสให้องค์กรสามารถใช้งานเครื่องมือเพิ่มเสถียรภาพและความปลอดภัยของระบบได้ เช่น Azure Site Recovery และ Azure Backup ที่ช่วยลดการเกิด downtime ที่ไม่คาดคิดได้ถึง 93% ขณะที่ Microsoft Defender for Cloud ก็ช่วยดูแลความปลอดภัยเซิร์ฟเวอร์และระบบฐานข้อมูลโดยประหยัดกว่าการใช้โซลูชั่นอื่น
Microsoft 365 Business Premium คุ้มครองทุกคนในองค์กร
องค์กรส่วนใหญ่คงใช้งาน Microsoft 365 กันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว เพราะชุดซอฟต์แวร์ Microsoft Office กลายเป็นหัวใจสำหรับการทำงานในองค์กรจำนวนมาก แต่ที่หลายองค์กรยังคงเลือกใช้โซลูชั่นความปลอดภัยเพิ่มเติมจากผู้ผลิตต่างๆ ไปพร้อมกัน
Microsoft 365 Business Premium เป็นชุดเพิ่มเติมที่ใส่โซลูชั่นความปลอดภัยมาอย่างครบถ้วน เปิดทางให้องค์กรสามารถควบคุมความปลอดภัยได้อย่างเต็มรูปแบบ ตัวป้องกันไวรัสระดับองค์กรอย่าง Microsoft Defender for Business ทำให้องค์กรมองเห็นช่องโหว่ต่างๆ ว่าเครื่องของพนักงานคนใดถูกโจมตี และ Microsoft Intune ทำให้ควบคุมได้ว่าอุปกรณ์แต่ละชิ้นที่เชื่อมต่อเข้าระบบขององค์กรมีความปลอดภัยเพียงพอหรือไม่ สามารถจัดการเครื่องระยะไกล โดยไม่ต้องให้พนักงานนำเครื่องมาหาฝ่ายไอทีเพื่อติดตั้งซอฟต์แวร์ต่างๆ โดยโซลูชั่นทั้งหมดเชื่อมต่อเป็นเนื้อเดียวกัน ไม่ต้องเสียเวลาเซ็ตอัพที่ยุ่งยากและอาจจะเกิดปัญหาตามมาภายหลัง
การเลือกใช้ Microsoft 365 Business Premium ช่วยให้องค์กรสามารถจัดการไลเซนส์ได้อย่างง่ายดายเพราะนับตามการใช้งานของผู้ใช้ Microsoft 365 ปกติ ช่วยประหยัดต้นทุนการดูแลไลเซนส์ซอฟต์แวร์ที่อาจจะทับซ้อนกันไปมาและต้องเสียเวลาอินทิเกรตกันเป็นเวลานานไปได้ถึง 60% ขณะที่เจ้าหน้าที่ไอทีขององค์กรสามารถให้บริการได้เต็มประสิทธิภาพมากขึ้นจากระบบที่เชื่อมกันและเปิดให้สามารถให้บริการได้โดยอัตโนมัติ เปิดทางให้พนักงานทั้งองค์กรสามารถทำงานจากที่ใดก็ได้โดยยังมีความปลอดภัยเต็มรูปแบบ
Microsoft Power Platform พัฒนาแอปพลิเคชั่นได้มากกว่าในเวลาที่สั้นลง
ต้นทุนก้อนใหญ่ของการดูแลระบบไอทีในองค์กรคือการพัฒนาแอปพลิเคชั่นภายในที่ช่วงหลังมีต้นทุนที่สูงขึ้น ปัญหาเช่นนี้ทำให้องค์กรจำนวนมากหันมาพิจารณาแพลตฟอร์ม Low Code / No Code ที่ช่วยสร้างแอปพลิเคชั่นได้อย่างรวดเร็ว พร้อมกับความสามารถในการปรับเปลี่ยนการทำงานตามความเปลี่ยนแปลงของธุรกิจได้ตลอดเวลา และ Microsoft Power Platform ก็นับเป็นแพลตฟอร์มชั้นนำไม่ต่างจากโซลูชั่นเฉพาะทาง
Power Apps นับเป็นแพลตฟอร์ม Low Code No Code ชั้นนำที่ความสามารถครบถ้วน เปิดทางให้นักพัฒนาสามารถสร้างแอปพลิเคชั่นที่ตรงความต้องการได้ในเวลาอันสั้น หรือแม้แต่ผู้ใช้ทั่วไปก็สามารถสร้างแอปพลิเคชั่นด้วยตัวเองได้
Power Automate เปิดทางให้องค์กรสามารถปรับกระบวนการทำงานที่เคยต้องใช้พนักงานมาทำขั้นตอนต่างๆ เช่น การส่งต่อเอกสาร รวบรวมข้อมูลประจำวัน หรืองานซ้ำๆ ที่เคยต้องใช้คน มาเป็นระบบอัตโนมัติที่เพิ่มประสิทธิภาพได้อย่างชัดเจน
บริการทั้งสองตัวยังเชื่อมต่อกับบริการอื่นๆ ของไมโครซอฟท์ได้อย่างแนบแน่น หรือบริการอื่นๆ นอกเหนือจากบริการของไมโครซอฟท์ก็ยังมี connector รองรับการทำงานมากกว่า 400 รายการ ทำให้การพัฒนาแอปพลิเคชั่นทำได้ในเวลาอันรวดเร็วโดยไม่ต้องลงทุนก้อนใหญ่กับการพัฒนาแอปพลิเคชั่นแบบเดิมๆ
ติดต่อตัวแทนของไมโครซอฟท์วันนี้เพื่อพูดคุยถึงความเป็นไปได้ในการปรับปรุงระบบในองค์กร เพื่อให้การลดค่าใช้จ่ายเป็นเรื่องง่ายยิ่งขึ้น วันนี้ Microsoft เราโปรแกรมมากมายที่จะช่วยในเรื่องของการนำ Microsoft SQL Server และ VMware License มาสู่ Azure Cloud ซึ่ง Microsoft จะมีบริการ migrate ฟรี รวมถึงมี credit ให้ทดลองใช้งาน และช่วย optimize ให้แบบไม่เสียค่าใช้จ่ายในกรณีที่ท่านใช้ Microsoft Azure อยู่แล้วตามเงื่อนไขที่กำหนด
ท่านสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เกี่ยวกับ Microsoft SQL Server และ VMware License ได้ที่