ประเด็นหนึ่งที่หลายคนอาจสงสัย ว่าคนที่รับบทซีอีโอทั้ง Tesla, SpaceX และล่าสุดไปซื้อ Twitter มาแล้วก็เป็นซีอีโอเองด้วยอย่าง Elon Musk เขาทำงานวันละกี่ชั่วโมง และได้นอนบ้างหรือไม่?
The Wall Street Journal ไปหาคำตอบเรื่องนี้ ซึ่งเริ่มต้นจากเขาบ่นกับทนายความ ขณะไปให้การที่ศาลซานฟรานซิสโก คดีทวีตซื้อหุ้นคืนเมื่อปี 2018 (ซึ่งสุดท้ายศาลยกคำร้อง) ว่าเมื่อคืนเขานอนไม่หลับ แต่จะพยายามทำดีที่สุดในการให้การ และขอโทษหากอยู่ไม่นิ่ง เพราะตอนนี้ปวดหลังด้วย
รายงานบอกว่า Musk เคยบอกกับนักลงทุน Ron Baron เมื่อปลายปีที่แล้ว ว่าหลังซื้อกิจการ Twitter เขาต้องทำงานถึงสัปดาห์ละ 120 ชั่วโมง จากเดิมสูงสุดที่ราว 80 ชั่วโมง โดยกิจวัตรก็ไม่มีอะไรมากกว่า ตื่น ทำงาน นอน ตื่น ทำงาน วนเช่นนี้ตลอด 7 วัน ซึ่งเขาหวังว่าเมื่อบริหารจัดการ Twitter เข้าที่แล้ว ทุกอย่างจะดีขึ้น
ปัจจุบัน Musk นอนพักที่สำนักงานใหญ่ Twitter ในซานฟรานซิสโก ซึ่งที่นั่นเขาก็เตรียมห้องนอนไว้สำหรับพนักงานจำนวนหนึ่งด้วย
Elon Musk เองก็ทวีตต่อรายงานฉบับนี้ ไม่ได้ปฏิเสธ พร้อมให้ข้อมูลน่าสนใจว่า 3 เดือนที่ผ่านมา หนักมากสำหรับเขา เพราะต้องช่วย Twitter รอดจากการล้มละลาย ขณะเดียวกันงานสำคัญของ Tesla และ SpaceX ก็ยังต้องทำ อย่างไรก็ตามสถานการณ์ Twitter ตอนนี้ก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ แม้จะยังท้าทายอยู่ก็ตาม
ที่มา: The Wall Street Journal
Comments
ืเชื่อครับ เพราะ Elon Musk บอกว่านับเวลาที่เล่นทวิตเตอร์เป็นเวลางานด้วย ซึ่งแกแทบจะเล่นทั้งวันทั้งคืน
ทำพังเอง กู้เอง(?)
คือกำลังช่วย twitter จากการล้มละลาย เพราะการเข้ามาเทคโอเวอร์ของ elon musk
55
ส่วนหนึ่งเพราะกลุ่มอาการผิดปรกติที่เค้ามีอยู่ด้วยหรือเปล่าครับ?
+1
อาห์ เยอะกว่าผมตอนช่วงที่ทำ 112 ชั่วโมงต่อสัปดาห์อีก (16×7)
ขอบคุณที่ทำงานหนักครับ จากผู้ใช้มัสโตดอน
จากการอ่านชีวประวัติ เขาคล้ายๆออทิสติกซาวองค์ จะจดจ่อและหมกมุ่นแบบไม่สนร่างกายตัวเอง
เค้าเคยบอกว่าเค้าเป็น Asperger ครับ (ก็เป็นอาการกลุ่มดาวน์ซินโดรมแบบหนึ่ง)
จากที่เคยมีประสพการณ์ได้คุยกับคนที่เป็น Asperger ก็จะเจอว่า เป็นคนจดจ่อ ไม่ฟังใคร ไม่สนใจใคร สุดโต่ง ถ้าสนใจเรื่องไหนจะเชี่ยวเรื่องนั้นมาก ๆ แต่ถ้าเข้าใจผิดเรื่องไหนก็จะเข้าใจผิดแบบสุดโต่งสุด ๆ เช่นกัน ทำงานหนักมากๆ
ผมเองก็ไม่รู้นะว่าเค้าเป็น Asperger จริงหรือเปล่า แต่เค้าบอกเอง ก็คงใช่แหละ เพราะดูจากวิธีแสดงออกก็เข้าข่ายอยู่
หรือว่าจริงๆ เค้าให้ข่าวเพื่อสร้างกระแสก็ไม่รู้ รายนี้ชอบปั่นกระแสแล้วใช้ประโยชน์จากกระแสนั้นอยู่เหมือนกัน
มันเป็นกลุ่มอาการ Autism ครับ ไม่ใช่ Down Syndrome
ผมเชื่อว่าเป็น อาการกับพฤติกรรมมันชัด
ขอบคุณที่ช่วยแก้ครับ
ผมว่าผมก็เข้าเค้าอยู่นะ อาการที่เหมือนกันคือสนใจอะไรก็จะจดจ่ออยู่เป็นเดือนๆ แถมนึกสนใจอะไรสักอย่างแล้วอยากจะโพล่งก็โพล่งเลย อีลอนคือคนที่ไม่รู้จักยอมรับตัวเองแล้วไปหาหมอแต่แรก
เห็นแล้วนึกถึงในงานมีทติ้งนึง กำลังคุยเสวนากันอยู่เรื่องนึง คนที่เป็น asperger เค้าอยู่ดี ๆ ก็พูดอีกหัวข้อนึงขึ้นมาเลย คนอื่นในวงก็งงกันหมด แล้วคือไม่ใช่ครั้งเดียวด้วย จำได้ว่ามีคนเคืองอยู่พอสมควร
แล้ว...
หนี้เยอะขนาดนั้นต้องทำงานตัวเป็นเกลียวเป็นธรรมดา
ทำงานหนักแล้วมีอะไร support มันก็ดีหรอก
พอมองไปเคสเจ้าหน้าทีสถานีทีวีเสียชีวิตคาโต๊ะเร็วๆ นี้ก็... นะ
บล็อกส่วนตัวที่อัพเดตตามอารมณ์และความขยัน :P
ขอบคุณอีลอนที่ช่วยกู้ทวิตเตอร์จากความเสียหายของมัสก์
แง่ม
..: เรื่อยไป
ถ้าอีลอนไม่มาซื้อ ทวิตเตอร์ก็อยู่ปกติดีไหมอ่ะครับ หรือมีหนี้อะไรซุกอยู่
แต่เดิมอยู่ได้ด้วยเงินจากนักลงทุนยังทำกำไรได้บ้างไม่ได้บ้าง
ในมุมของเจ้าของกิจการแบบผม Elon เข้ามากอบกู้จริงๆ ครับ เพราะ Twitter มีกำไรน้อยมาก หักขาดทุนสะสมแล้วก็เท่ากับขาดทุนมาตลอด เติบโตด้วยฟองสบู่เงินลงทุนจากนักลงทุนเท่านั้น
การที่ Elon เข้ามาและทำเช่นนี้ เป็นการเอาเข็มจิ้มฟองสบู่ Twitter ให้แตกก่อนเวลาที่มันจะแตกสลายเอง เพราะถ้ารอให้ถึงเวลานั้นแล้ว Twitter จะล่มสลายไปอย่างไม่มีทางกอบกู้ได้เลย
เป็นงานท้าทายมากนะครับ
ผมสงสัยว่าการเปลี่ยนแปลงทำไมต้องทำให้เร็วและรุนแรงแบบนี้ ถ้าค่อยๆเปลี่ยนตามแผนที่วางเอาไว้อาจจะทำงานง่ายกว่ารึเปล่า แต่จะเลือกแบบไหนทวิตเตอร์ก็จะผ่านไปได้แน่นอนเพราะไม่มีคู่แข่งเบอร์2มาท้าทาย
เขามีหลายบริษัทครับ คงรีบจัดการ และรีบกลับไปคุมอันอื่นที่สำคัญกว่า
อีกอย่างคือมันเป็นนิสัยด้วย คือเขาจะมีเป้าของเขา คิดแล้วทำเลย ระหว่างทางเสียอะไรก็ช่าง ขอให้ถึงเป้า ประวัติการทำงานเขาก็เป็นแบบนี้มาตลอด อย่าลืมว่าเขาเป็น Asperger วิธีคิดเขาจะไม่เหมือนคนอื่น
ต้องรีบครับ ไม่งั้นไม่มีเงินไปจ่ายหนี้ที่กู้เขามา ดอกมหาศาลเลยะมั้งยอดเยอะ เลยต้องทำกำไรให้ไวที่สุด
ดูจากข่าวที่หลุดๆมา หนี้ซุกไว้เยอะ รายจ่ายสูงเลี้ยงพนักงานกินหรูอยู่สบายมากกว่ารายได้ที่มาจากความเชื่อมั่น (ทำไมคล้ายๆ FTX 555)
พอมัสก์บอกจะซื้อก็รีบขายทันทีแถมจะฟ้องศาลบังคับให้ซื้อด้วย
ส่วนตัวคิดว่าเพราะมัสก์ใช้ Twitter จนติด เหมือนผูกพันไปแล้ว เลยยอมจ่ายแพงมานั่งบริหารเองเพราะไม่อยากให้เจ๊งมั้ง
ผมว่าแกปากดีพูดไปแล้วมากกว่า
Twitterบังคับให้ซื้อเหรอ ไม่น่าใช่นะครับ ก็ไปยื่นดีลให้เขาเอง แถมยื่นมาแพงมาก ทั้งที่ผลประกอบการมีแต่ขาดทุน ทำสัญญาตกลงซื้อแบบไม่มีเงื่อนไขเองด้วย อยู่ๆจะมาเบี้ยว บริษัทเขาเสียหายนะครับเพราะต้องเปิดเผยข้อมูลบริษัทตอนทำการขายด้วย ถ้าโทษก็ต้องโทษตัวเองที่ประเมินมูลค่าพลาดไปเมกดีลแพงขนาดนั้นนะ ไม่อยากให้เจ๊งอยากเป็นผู้กอบกู้ก็ซื้อถูกๆหรือเต็มที่ก็ราคาไม่เกินตลาดมาก ไม่ก็รอมันถูกก็ได้ ภาระดอกเบี้ยจะได้น้อยลงไม่ได้ทำให้งานมันยากไปกว่าเดิมด้วย
แกจะถูกกลุ่มนักลงทุนฟ้องเพราะดันไปเสนอราคาสูงเอาไว้ แล้วก็มาทวิตปั่นให้ราคาตเพราะอยากได้ราคาถูก
ในมุมมอง ของนักลงทุนแล้วทำไมต้องซื้อทวิตเตอด้วยนะ
มันเป็นการซื้อสื่อครับ เหมือนที่ Bezos ซื้อ WaPo
แต่ซื้อแพงเกิน กะกดราคาแล้ว แต่ไม่ได้ผล