Praveen Seshadri ผู้ก่อตั้งบริษัท AppSheet แพลตฟอร์ม No Code ที่ขายให้กูเกิลในปี 2020 โพสต์บล็อกใน Medium เล่าว่าเขาลาออกจากกูเกิล หลังอยู่ครบสัญญา 3 ปีตามข้อตกลงตอนซื้อกิจการ และเล่าปัญหาวัฒนธรรมองค์กรของกูเกิลในช่วงหลัง ที่มีคนเยอะ มีกระบวนการซับซ้อน และทำอะไรช้าลงมาก
Praveen บอกว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้เห็นบริษัทที่เคยยิ่งใหญ่ต้องเสื่อมถอยลง เพราะเขาเคยทำงานกับไมโครซอฟท์ในปี 1999-2011 และเห็นการเสื่อมถอยลงแบบเดียวกัน จุดต่างที่เขาเห็นคือวัฒนธรรมของกูเกิลไม่ได้หยิ่งผยองหรือมีระบบศักดินาเหมือนไมโครซอฟท์ยุคนั้น สภาพของกูเกิลยังดีกว่า ยังมีความหวังที่สามารถพลิกฟื้นกลับมาได้ แต่จำเป็นต้องให้ฝ่ายบริหารเข้ามาแทรกแซงอย่างจริงจัง
เขาแยกประเด็นปัญหาของกูเกิลทั้งหมด 4 ข้อ ได้แก่ 1) ไม่มีเป้าหมาย 2) ไม่มีความรู้สึกเร่งด่วน 3) มีความเข้าใจผิดๆ ว่าตัวเองพิเศษกว่าคนอื่น 4) ปัญหาการบริหาร
Praveen บอกว่าตอนนี้ไม่มีพนักงานของกูเกิลคนไหนมาทำงานเพื่อ “organizing the world’s information” ตอบโจทย์ผู้ใช้นอกองค์กรอีกแล้ว พนักงานกูเกิลยุคนี้มีเป้าหมายในการทำงานเพื่อดูแลกระบวนการบางอย่าง (เช่น รีวิวความเป็นส่วนตัว) หรือเทคโนโลยีบางตัว (เช่น ดูแลระบบ CI/CD ขององค์กร) ภาพรวมคือทุกคนทำงานเพื่อพนักงานคนอื่นในบริษัท อยู่ในโลกระบบปิด
วัฒนธรรมแบบนี้ทำให้ทุกคนพยายาม "ไม่เสี่ยง" และต้องหากระบวนการมาช่วยการันตีความเสี่ยง ซึ่งทำให้กระบวนการภายในเยอะและล่าช้ามากขึ้นเรื่อยๆ อะไรที่รู้สึกเสี่ยง พนักงานของกูเกิลจะพยายามหลีกเลี่ยง ในการประชุม ทุกคนจะพยายามหาวิธีประนีประนอมที่ไม่ทำให้ใครโกรธ เพราะอาจมีผลต่อการประเมินประจำปี
บรรยากาศการทำงานที่กูเกิลยังมีความรู้สึกว่า "เพราะเราคือกูเกิล เราพิเศษกว่าคนอื่น" เช่น มีเทคโนโลยีภายใน (tech stack) ที่ดีที่สุดในโลก ซึ่งอาจเป็นจริงเมื่อ 10 ปีก่อน แต่ทุกวันนี้ไม่ใช่แบบนั้นแล้ว แต่คนข้างในกูเกิลยังมีความรู้สึกแบบนั้นอยู่ และยึดติดจนไม่ยอมใช้เทคโนโลยีของบริษัทอื่นแม้ดีกว่าก็ตาม
Praveen ยังชี้ว่ากูเกิลมีพนักงานเพิ่มขึ้นเยอะมากในช่วง 2-3 ปีให้หลัง เขาเข้ามาทำงานในปี 2020 พอมาถึงปี 2022 เขามีอายุงานเยอะกว่าพนักงานครึ่งบริษัท การจ้างพนักงานเข้ามาเยอะๆ ย่อมนำคนที่มีปัญหาเข้ามา หรือเพิ่มลำดับขั้นภายในโดยใช่เหตุ โดยเฉพาะฝ่าย Google Cloud ที่จ้างผู้จัดการระดับกลางย้ายข้ามมาจากบริษัทเทคสาย enterprise อื่นๆ ซึ่งอาจไม่เข้ากับวัฒนธรรมของกูเกิลนัก
เขาสรุปว่าทีมบริหารของกูเกิลควรดู Satya Nadella ที่พลิกฟื้นไมโครซอฟท์เป็นตัวอย่าง ตั้งแต่การกำหนดภารกิจขององค์กรให้ชัดเจน การใช้คนที่เน้น "ฮีโร่" และตอบแทนผลงานให้คุ้มค่า และการตัดลำดับชั้นบริหารระดับกลางๆ ที่สั่งสมมานานออกไป
ภาพจาก Shutterstock
เว็บไซต์ Ars Technica ชี้ว่า Praveen ไม่ใช่อดีตพนักงานกูเกิลคนแรกที่ออกมาโพสต์เล่าประสบการณ์ลักษณะนี้ ก่อนหน้านี้เคยมี Noam Bardin อดีตซีอีโอของ Waze ที่ลาออกในปี 2021 เคยออกมาโพสต์บล็อกเนื้อหาคล้ายๆ กัน บอกว่าเป้าหมายของพนักงานไม่ใช่การสร้างผลิตภัณฑ์ที่ดี แต่เป็นทางผ่านเพื่อความก้าวหน้าในสายงานแทน ซึ่งเป็นการออกแบบระบบภายในของกูเกิลที่ให้ผลลัพธ์มาเป็นแบบนี้โดยไม่ตั้งใจ และไม่มีใครแคร์ที่จะแก้ปัญหานี้ตราบเท่าที่ราคาหุ้นยังดีอยู่
นอกจากนี้ วัฒนธรรมองค์กรของกูเกิลยังอาจมีข้อยกเว้นกับบางทีม ตัวอย่างคือ Noam Bardin อดีตพนักงานกูเกิลที่เคยทำงานระหว่างปี 2005-2018 เล่าว่าหลังย้ายมาอยู่กับทีม Android เขาพบว่าประสบการณ์ทำงานต่างจากทีมอื่นๆ ในกูเกิลมากจนแทบเป็นคนละบริษัท (Android is not Google) เหตุผลเป็นเพราะ Android ได้รับอิสระในการทำงานมากกว่ามาตั้งแต่แรก
ที่มา - Praveen Seshadri, Ars Technica
Comments
เห็นภาพเป็นฉากๆ เลย
อุ้ยอ้าย วิ่งช้า พยายามไม่หลุดเซฟโซน ยิ่งนานวันจะถูกแซงได้จริงๆ อย่าง ChatGPT มานี่ GG คงเพิ่งสัมผัสได้ถึงสัญญาณอันตราย
WE ARE THE 99%
appsheet มีแววลงสุสานเลยครับ
เป็นปกติขององค์ที่ อายุ 20 ปี++ พอมีเริ่มมี culture แปลกแล้วจะเอาออกยาก นึกถึง ข้าราชการไทยเป็นตัวอย่างของ วัฒนธรรม แย่ในการทำงาน
วัฒนธรรมคุ้นจัดๆ
ไม่น่าเชื่อสำหรับบริษัทเทคขนาดนี้เลยเนอะ
ถ้าเอาผู้นำตอนนี้ ดูเหมือน MS จะโดดเด่นสุด
..: เรื่อยไป
สิ่งที่กูเกิลกำลังเป็น คือ สิ่งที่หน่วยงานรัฐไทยเป็นมานานแล้ว 😁
คุณหมายถึงหน่วยงานรัฐไทยเมื่อ 200 ปีก่อนหรือเปล่าครับ ตอนนี้เรามาไกลกว่าที่ google เป็นเยอะละนะ😅
คิดเล่นๆ ว่า ถ้า Google เป็นเหมือนแต่ก่อน ป่านนี้ เราอาจจะเห็น Google ปล่อยเว็บโซเชียลตัวใหม่ออกมาในช่วงนี้ เพื่อแย่งส่วนแบ่งตลาดจาก Facebook ที่มีคนด่าเยอะ กับ Twitter ที่เจียนอยู่เจียนไปแล้วก็ได้นะ
เผลอๆ ถ้ากล้าพอ ก็อาจมีแววบูมก็ได้ เพราะคนส่วนใหญ่ก็กำลังหาที่ไป แม้จะมีหลายๆ คนคอยผลักดัน เว็บโซเชียลทางเลือกอย่าง Mastodon แต่เว็บทางเลือกเหล่านี้ เอาจริงๆ ก็ไม่ค่อยสะดวกกับคนใช้งานทั่วไปเท่าไหร่ ถ้าจู่ๆ มีโซเชียลตัวใหม่เข้ามาในตลาด แล้วความน่าเชื่อถือ กับฟังก์ชั่นการใช้งานไม่ทิ้งห่างกันนัก อะไรก็เกิดขึ้นได้
Google+ ไงครับ แต่เปิดมาได้แป๊ปเดียวปิด
Google+ นี่เอาจริง ๆ ใช้ยากมากนะสมัยนั้น แต่คือมันดีมากเลยถ้าเทียบกับ facebook ในตอนนี้
ถ้าจำไม่ผิด (ถ้าผิดรบกวนแก้หน่อย) มันจะแบ่งเพื่อนเป็นวง ๆ ใกล้ชิดสนิท หรือห่าง ๆ แล้วให้ข้อมูลขึ้น feed ตามวงที่เรากำหนดได้ ถ้าเอามาใช้ตอนนี้คือสวรรค์เลย เพราะรกมากเลย facebook อ่ะ อยากเอามากำหนดวงเพื่อน กับเพจที่เราไปตามไว้แยกกัน โฆษณาจะมีแทรกไม่แทรกไม่ว่ากันนะ เข้าใจว่าต้องการรายได้
ส่วนฟีเจอร์ที่ชอบที่สุดคือ location tracking ดูได้เลยว่าเพื่อนอยู่ไหนถ้าเพื่อนอนุญาติไว้ (ตอนนี้ฟีเจอร์นี้ย้ายมาอยู่ใน google map)
คุณเข้าวงการช้าไปครับ มันมาแล้วไปแล้ว
ต้องเป็นช่วงนี้ไงครับ เป็นช่วงมีโอกาสตีตลาดสูง 😆
เอาจริงถ้ายังไม่ปิดคนอาจจะเริ่มทยอยย้ายไปก็ได้
ผมก็ใช้แค่เฟสบุคซะด้วย แล้วมันก็รกมาก แถม ux หลังๆ เริ่มพัง บางจุดพังน้อย บางจุดพังมาก
พังเรื่อยๆ มาตั้งแต่สมัยไม่ได้ไล่ทีมงานออกรัวๆ ผมงง 🙄
เอา Satya มาเทียบ ทุกคนก็ดูอ่อนลงทันทีแหละครับ
รายนั้นคือชุบชีวิตยักษ์ใหญ่ที่เกือบตายกลายเป็นยักษ์ทรงพลังที่เร็วเว่อร์ เก่งไป๊
กูเกิ้ลยุคหลังพลาดหลายโอกาสมาก
ผมว่าเขามีทรัพยากรที่จะลองผิดลองถูกได้เยอะ แต่ดันไม่คว้าอะไรเลย
ถ้าเทียบกับ Elon Musk ที่ชีวิตแกแขวนอยู่บนเส้นดายทุกวินาที
แกยัง play เสี่ยงตลอดไม่คิด play safe เลย
ชีวิตสนุกกว่าเยอะ
ทุกวันนี้ยังมองว่าเออ เพราะแอนดรอยด์อะเนอะ เลยทำให้ Google ยังรอดอยู่ เพราะลำพัง Search Engine มันไม่ได้อะไรขนาดนั้น ส่วนเรื่องอื่น ก็ไม่เห็น Google จะทำอะไรที่ Wow มากมาย นอกจาก YouTube ที่ติดงอมแงม Google Photos ที่เก็บรูปฟรี จนตอนนี้ไม่ฟรี ซื้อที่เพิ่มกรุบ ๆ นอกนั้นก็ไม่ได้ใช้อะไรเป็นกิจจลักษณะ เพราะที่ทำงาน ที่เรียน ใช้ MS ทั้งกระบิ เรื่องส่วนตัวเท่านั้นที่ใช้ Google อะนะ เหมือนจะไม่ค่อยแคร์ตลาดไทยด้วย ..