ประเทศญี่ปุ่นเตรียมออกกฎห้ามส่งออกอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับเซมิคอนดักเตอร์ไปยังประเทศจีน ตามข้อตกลง 3 ฝ่ายกับสหรัฐอเมริกาและเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเนเธอร์แลนด์ทำไปก่อนแล้ว และกำลังยกระดับความเข้มข้นมากขึ้น
Yasutoshi Nishimura รัฐมนตรีพาณิชย์ของญี่ปุ่นบอกว่า กฎห้ามส่งออกจะครอบคลุมอุปกรณ์ 6 หมวด เริ่มมีผลบังคับใช้ในเดือนกรกฎาคม 2023 แต่ Nishimura ก็ย้ำว่าเป็นกฎที่บังคับใช้กับการส่งออกไปยังทุกประเทศ ไม่ได้เจาะจง "ประเทศใดประเทศหนึ่ง"
ประเทศญี่ปุ่นมีบริษัทที่ทำอุปกรณ์เกี่ยวกับ lithography หลายราย เช่น Nikon และ Tokyo Electron แม้ระดับเทคโนโลยีอาจไม่ได้ก้าวหน้าเท่ากับ ASML ของเนเธอร์แลนด์ แต่ที่ผ่านมาก็เป็นทางออกของบริษัทผลิตชิปในจีนหลังโดนสหรัฐออกคำสั่งแบนในช่วงก่อนหน้านี้
ที่มา - Financial Times
ตัวอย่างอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์ของบริษัท Tokyo Electron
Comments
การที่ทำแบบนี้ เป็นการบีบจีนให้พัฒนาทางอ้อม ซึ่งหากจีนทำสำเร็จ ทีนี้ทุกประเทศก็จะทำกันไม่ทัน หากใครบอกว่าจีนทำไม่ได้หรอก ไปกลับไปดูสถานีอวกาศเทียนกง
ผู้นำรัฐบาลจีนก็คิดประมาณนี้แหละ แต่ผมว่า ทำไม่ได้หลอก เพราะทุกคนรู้แล้วว่า เอกชนจีนทุกเจ้า โดนบังคับโดยรัฐบาลได้ทุกเมื่อ วันนี้ไม่ พรุ่งนี้มันยึดเลยเหมือน jack ma รอวันเจ๊งทั้งประเทศเหอะ
จะเจ๊งยังไงตรับ พวกนี้ทุนรัฐบาลออกเองทั้งนั้น เอกชนไม่ได้ทำ
/>o</
ผมว่าโอกาสที่จะเจ๊งทั้งประเทศ เมกามีมากกว่าอีกนะ เวลาเห็นเมกาเพิ่มเพดานหนี้ทุกๆปีแล้วมันหวาดเสียวไม่น้อย
จะเจ๊งได้ต่อเมื่อทุกคนในโลกนี้ไม่อยากได้ดอลล่าสหรัฐแล้วครับ ถ้าทุกคนยังรับชำระหนี้เป็นดอลล่าอยู่ เค้าจะติดหนี้เท่าไหร่ไม่เป็นไรเลย พิมพ์เงินออกมาใช้หนี้ได้สบายๆ
พิมพ์ เงินได้ เรื่อยๆ ไม่ล้มหรอก ครับ
ไทยเราก็ช่วยแบกเมกาไว้ครับ
ขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลกนะครับ
จีนเองแม้เป็นอันดับสองแต่ก็พึ่งพาการส่งออกมากๆ
ถ้าเมกาพัง ก็เศรษฐกิจตกต่ำทั้งโลกเลยล่ะครับ
เห็นพูดแบบนี้มาตั้งหลายปีเลี้ยวอ่า เมื่อไหร่จะทำได้อ่า 5555
ต้องนิยามคำว่า "สำเร็จ" ก่อนครับ
ถ้าบอกว่าสำเร็จคือ จีนสามารถพัฒนาเครื่องผลิตชิปให้มีความสามารถเทียบเครื่องของ ASML วันนี้ ผมก็ฟันธงว่าทำได้สำเร็จแน่นอน อาจจะอีกสิบปีหรือเร็วกว่านั้นก็ได้ ถ้าภาครัฐทุ่มทุนทำเองก็คงเร็วหน่อย
แต่ถ้าบอกว่าสำเร็จคือ จีนสามารถพัฒนาเครื่องผลิตชิปให้ตามเทคโนโลยี ASML (หรือชาติอื่น ๆ) ได้ทันตามเทค ฯ สูงสุดตอนนั้น คงยากมากๆ
ถ้าคุณเอาสถานีอวกาศมาเทียบ ISS ยิงโมดูลแรกปี 1998 เทียนกงยิงโมดูลแรก 2021 ก็ห่างกัน 23 ปีอ่ะครับ
สหรัฐก็รู้ครับว่าเป็นการบีบให้จีนพัฒนา ถามว่าจีนทำได้ไหม ก็น่าจะทำได้ แต่เชื่อว่าสหรัฐก็มีแผนการต่อไประยะยาว ไม่ให้จีนพัฒนาตามได้ทันหรอก คงหาวิธีมาขัดทุกอย่าง คงไม่ใช่แค่เรื่องกีดกันแค่นี้แน่นอน
เทคโนโลยีมันอาศัยการต่อยอดกันไปเรื่อยๆ ครับ ดังนั้นต่อให้ไม่แบนวันนี้จีนเองก็พัฒนาอยู่ดี และควรจะพัฒนาเร็วกว่าด้วย เพราะมีฐานให้ต่อยอดได้ง่ายๆแบบไม่ต้องคิดเอง ดังนั้นถ้าจะเตะตัดขาก็ต้องหยุดส่งของไปให้พัฒนาเนี่ยแหละครับถูกแล้ว
ที่ผ่านมาเราก็เห็นว่าจีน copy & development มาตลอดนะครับ ไม่ได้ copy อย่างเดียว ทำไมถึงคิดว่าพอจีนโดนแบนแล้วถึงจะ development ทีหลัง
มาแนวนี้คือ จะไม่มีสินค้าอิเลคทรอนิคราคาถูกอีกแล้ว อยากใช้ก็ต้องยอมจ่ายแพง
ของมันจะไม่แพงขึ้นนะ
โรงงานชิปล้ำๆ อยู่ใต้หวัน ยังรอดอยู่
ก่อนหน้านี้สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ต้อง made in USA ตามมาด้วย made in japan ตอนนี้ made in korea ต่อไปคงเป็น made in china 100%
มันเป็นแบบนี้เพราะจริงๆแล้วจีนแพงกว่าหลายประเทศแล้วนะ ซึ่งหมายความว่าจีนกำลังถูกบังคับให้ทำสินค้าระดับสูง(เช่นระบบโทรคมนาคมหัวเว่ย และรถยนต์เอ็มจี) ซึ่งก็เป็นคู่แข่งโดยตรงกับประเทศชั้นนำ สำหรับประเทศค่าแรงถูกต้องย้ายไปเวียดนาม อินเดีย ไทย ส่วนจีนยังไงๆจีนก็ต้องเป็นประเทศพัฒนาแล้วในอีกไม่นาน ดังนั้นไม่แปลกที่จะมีการเตะตัดขาบ้าง จะเตะหรือไม่เตะขึ้นกับจีนเข้าร่วมกับระบบโลกของประเทศชั้นนำหรือไม่ ซึ่งปรากฎว่าจีนไม่เข้าร่วมและต้องการจะยึดครองโลกและสร้างระบบโลกของตนเอง ผลมันก็เลยเป็นแบบนี้อย่างที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
-จีนต้องทำขาเองอยู่แล้ว เพราะต้องการสร้างระบบโลกของตนเอง ไม่ว่าจะมีการตัดขาหรือไม่
-จีนไม่ราคาถูกแต่เป็นคู่แข่งของประเทศชั้นนำ
ดีๆ ชอบๆ
ผมว่าก็แฟร์ๆดีนะที่ผ่านๆมาจีนก็พยายามกีดกัน,ควบคุมการค้าในประเทศเค้าหมด
แล้วทำไมต่างชาติจะต้องเป็นฝ่ายยอมฝ่ายเดียวด้วย
แถมตั้งตัวเป็นโรงงานโลกด้วยค่าแรงที่ถูก
แต่ลับหลังแอบก้อปเค้าไปพัฒนาเป็นของตัวเองหมด
ตอนนี้โดนกีดกันบ้างก็ดีแล้ว