Sam Altman ซีอีโอ OpenAI กล่าวในงานสัมมนาที่จัดโดย Stripe พูดถึงการทำงานแบบรีโมท โดยเขาคิดว่าถ้าองค์กรยังเป็นสตาร์ทอัพ ก็ควรให้พนักงานทำงานด้วยกันในสำนักงานมากกว่าทำงานแบบรีโมท
Altman บอกในประเด็นนี้ว่า ที่ผ่านมาอุตสาหกรรม Tech ผิดพลาดที่อนุญาตให้พนักงานทำงานรีโมทแบบเต็มเวลาได้ บริษัทแบบสตาร์ทอัพจึงบอกว่าพนักงานไม่ต้องมาทำงานที่สำนักงานเลยก็ได้ ส่งผลให้สตาร์ทอัพนั้นสูญเสียความคิดสร้างสรรค์ เขามองว่าตอนนี้เทคโนโลยียังไม่ดีมากพอที่จะให้พนักงานทำงานรีโมทเต็มเวลาตลอดไปได้ และย้ำว่าโดยเฉพาะบริษัทที่เป็นสตาร์ทอัพ
เขาเสริมว่าสตาร์ทอัพต้องให้พนักงานทำงานแบบพบปะกันมาก ๆ เพราะไอเดียใหม่ที่ยังไม่ชัดเจน หรือพร้อมเปลี่ยนแปลงแก้ไขตลอดเวลา สิ่งเหล่านี้ยิ่งต้องการเวลาที่พนักงานจะพบปะพูดคุยแบบเห็นหน้ากันมากขึ้นกว่าปกติ
ที่มา: Fortune
Comments
ส่วนตัวคิดว่ามีส่วน... การได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกับเพื่อนงานบ้าง ทำให้ได้ฟังได้เห็นบางแง่มุม ที่เราสามารถนำมาใช้สร้างสรรค์งานได้...
เห็นด้วยเลย การสื่อสารในบนเน็ตมันชวนจะทำให้คิดแง่ลบได้ง่ายด้วย
เห็นด้วยครับ
เห็นด้วยนะ มันสบายดีก็จริง แต่ได้เจอทีมบ้าง มันช่วยได้หลายเรื่อง
ไม่นะ ช่วง Covid มันอารมณ์หนีตายนะครับ "ทุกบริษัท" ควรอย่างยิ่งที่ะต้องทำแบบนั้น ไม่ใช่ผิดพลาดที่อนุญาตให้พนักงานทำงานรีโมทแบบเต็มเวลาได้ นะครับ
ถ้าคุณอยากเห็นพนักงานมาทำงาน ก็สั่งไปเลยครับเช่นให้เริ่มเข้ามา office จ พ ศ หรือ อ พฤ หรือ เลือกเองแต่ต้องเข้ามา 3 วัน ก็ว่าไปสิครับ แค่นี้ก็แก้ปัญหาได้แล้ว เออ ง่ายๆ เอง
เขาน่าจะหมายถึงความคิดสร้างสรรค์ มันจะน้อยกว่ามาพบคนอื่นใน office ไม่ได้หมายถึงว่า WFH ไม่ดีหรือเปล่าครับ
เห็นด้วยครับ บางบริษัทเค้าประกาศ WFA Forever ไป
Ooh
+1 ไม่รู้ผมเป็น introvert ปลอมหรือเปล่า ชอบอยู่คนเดียวก็จริง แต่ไม่เจอหน้าใครเป็นเดือนๆ เลยก็ไม่ไหวเหมือนกัน ชวนหดหู่ + ขาดความคิดสร้างสรรค์จริง
เห็นด้วย 1000%
ผมทำงานดีไซน์ การเจอหน้ากันที่มีโมเม้นท์เล็กๆ น้อยๆ หลายๆ ครั้งสำคัญมาก และประหยัดเวลากว่ามาก
เล็กๆ อาจจะแค่เราเดินผ่านจอคนอื่นแล้วเกิด spark idea อะไรขึ้นมา หรือเห็นรุ่นน้องทำงานไปผิดทิศแล้วเราบอกได้ทันที ถ้าแบบออนไลน์ก็รอไป กว่าจะส่งงานกันไปมา บางทีก็สายไปแล้ว
รุ่นน้องที่เข้ามาใหม่ช่วงโควิด เหมือนจะสนิทกัน จนน้องมันออกไป เราก็เลยรู้มันเป็นความสัมพันธ์ WFH นี่มันเป็นแบบหลวมๆ มาก มันขาดการประสบการณ์ร่วมบางอย่าง ที่ทำให้คนๆ นึง สนิทกัน
แต่ให้เข้าทำงานทุกวัน 100% แบบเมื่อก่อนก็ไม่ไหวละ หลังได้ลิ้มรสการที่ไม่ต้องเดินทาง 5 วัน
ใช่ครับ ไม่ชอบอย่างเดียวเลยคือต้องเดินทาง แต่ถ้าบ้านกับ office ใกล้กันก็ดีไป แต่อาจต้องเสียค่าเช่าห้องอีก ถูกแพงก็ขึ้นกับทำเลที่อยู่ office ด้วย บางทีก็ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง
ต้องถามก่อนว่าถ้าวันนึงพนักงานอยาก WFH เพราะแทนที่ office เป็นแหล่งทำงานอย่างสบายใจ แต่กลับต้องมาเจอคนจัง....ในทุกๆวัน หัวหน้าจัง... ผู้บริหารก็แก้ไขปัญญหาไม่ได้ แล้วคิดสร้างสรรค์มันจะเกิดได้ยังไงในเมื่อบรรยากาศห่วยกว่าที่บ้าน เขาก็ไม่อยากจะมา ทางเดียวที่จะไม่เจอบรรยากาศห่วยคือ WFH หรือลาออก อาทิตย์ล่ะกี่วันก็ว่าไปขอแค่เจอน้อยลงก็ยังมีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้นกว่า office เยอะ ถ้าผู้บริหาร บริหารไม่ได้มันก็จะวนไปเรื่อยๆ 5555+
อันนี้ก็เห็นด้วยนะ แต่ถ้าอิงจากเนื้อข่าวมันคงเป็นประเด็นแตกแยกไปอีกไประเด็นนึงครับ เป็นเรื่องของสภาวะแวดล้อมในการทำงานด้วย
ทุกวันนี้คนข้างเคียงบอกอยากทำ WFH เพราะเหตุผลที่ยกมาเหมือนกัน ทำอยู่บ้านสบายใจกว่าแต่ถ้าบรรกาศที่ทำงานดีก็ไม่ได้อยาก WFH ตลอดเหมือนกัน
จากคนที่ทำงาน WFH มาหลายสิบปี บอกเลยว่ามีผลมาก การเดินทางไปทำงานมันจะพบเจอผู้คน สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปตามการเดินทาง มันทำให้ได้ไอเดีย หรือบางทีมันก็แว๊บขึ้นมาระหว่างคุยกับลูกค้า หรือระหว่างเดินทาง เวลานั่งอยู่บ้านมันก็วนๆ ไปไม่ค่อยมีไอเดียอะไรแว๊บมา ต้องอาศัยขี่มอเตอร์ไซต์ไปเรื่อยๆ พอทดแทนได้เหมือนกันเพราะผมเป็นคนชอบขับมอเตอร์ไซด์ด้วยล่ะ ขับแล้วมันมีสมาธิ เข้าป่า ลุยทุ่งบ้างได้ไอเดียแปลกๆ มาเหมือนกัน แต่ไม่เท่าตอนอยู่กับสังคมเมือง
ส่วนตัว การ wfh ไม่ได้เจอใคร ไม่ได้ทำให้ความคิดสร้างสรรค์ลดลงนะครับ
เพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ เพราะตอนไปเจอคนเยอะๆ แล้วหัวจะปวด
ยิ่งทำให้ไม่ได้คิดสร้างสรรค์อะไรเลย
+1 เห็นด้วยเลย
ตอนนี้ถ้าเลือกได้ อยากได้แบบผสมผสานกัน
..: เรื่อยไป
ปกติ ต่อให้เข้าออฟฟิศ ก็เก็บงานมาทำที่บ้าน มีสมาธิกว่า อุปกรณ์พร้อมกว่า มีความคิดสร้างสรรค์ดีกว่า
ดังนั้น การ WFH สำหรับผม บริษัทได้งานดีกว่าตอนเข้าออฟฟิศด้วยซ้ำไป
2 วันต่ออาทิตย์คือเต็มที่ และควรเป็นวันอังคารพุธ หรือพุธพฤหัส เพราะวันจันทร์กับวันศุกร์เป็นวันที่ energy ของทีมไม่อยู่กับงานแล้ว ตัวผมเองชอบทำงานที่บ้านเพราะมีสมาธิมากกว่า
การเข้าออฟฟิสวันจันทร์กับวันศุกร์เป็นวันที่นรกมากสำหรับผม เพราะทีมคุยกันแต่เรื่องไปเที่ยว และกิจกรรมบลาๆๆๆ ถึงขนาดกับต้องหนีไปทำงานในห้องอื่น
ซึ่งถ้ามันเสียสมาธิขนาดนั้น และทีมไม่โฟกัสเรื่องงาน มันก็หมดความหมายของการเข้าออฟฟิส ยกเว้นเรื่องเป้าหมายในการตามติดชีวิตคนในทีม
ความคิดสร้างสรรค์มันเกิดได้มากกว่า ด้วยการเจอสิ่งที่หลากหลายที่น่าจะเป็นวัตถุดิบต้นกำเนิดไอเดียใหม่ๆ
ซึ่งการทำงานแบบ Hybrid ดูจะเป็นคำตอบที่ดีกว่า
มันมีทั้งคู่และได้เจอความท้าทาย จุดแข็งจุดอ่อนทั้ง 2 แบบ
ไม่แน่ใจว่าต้นทางใช้คำว่าอะไร แต่ผมมองว่าการ WFH ไม่ได้สูญเสียความคิดสร้างสรรค์ (creativity) แต่เสียแรงบันดาลใจหรือจุดประกายไอเดียใหม่ๆ (inspiration) มากกว่าครับ
การ WFH มันช่วยให้เราได้โฟกัสกับงาน ซึ่งผมว่ามันทำให้เราสามารถสร้างสรรค์งานได้ดียิ่งขึ้นด้วยซ้ำ แต่การขาดสิ่งกระตุ้นภายนอกมันทำให้เราไม่ได้รับแรงบันดาลใจหรือไอเดียใหม่ๆ
ถ้าให้เปรียบเปรยก็เหมือนจิตกร ที่ออกไปข้างนอกเพื่อหาไอเดียหรือแรงบันดาลใจใหม่ๆ แต่เขาก็ไม่ได้คิดทั้งหมดจากข้างนอก เขาเอาแค่ไอเดียจากข้างนอกกลับมา และนำมาโฟกัสและสร้างสรรค์ต่อในห้องของตัวเองนั่นแหละครับ
อืมๆๆ ผมก็รู้สึกแบบนี้
อยู่กับตัวเอง มีสมาธิ แต่บางทีก็วนในอ่าง ย้ำคิดย้ำทำ
ไปเจอผู้คน สมาธิอาจจะน้อยกว่า แต่บางทีก็พาเราออกจากอ่างได้
Younger workers, he noted, “learn by osmosis”
ออสโมซิส มันโคตรใช่
ส่วนตัวคิดว่า ถ้าต้องไปนั่งด้วยกันเพื่อที่จะได้คุยกันได้เนี่ย แสดงว่าตอนไม่ได้นั่งด้วยกันก็ไม่ยอมคุยกันหรือเปล่า?
ผมไม่รู้นะ ส่วนตัวคิดว่าการนั่งออฟฟิศรวมกันในห้องแคบ ๆ ที่ทำงานแคบ ๆ แล้วก็คุยกันเสียงดังจนคนอื่นเสียสมาธิ แล้วก็มาเข้าร่วมสนทนาด้วย มันคือการ "สร้างความคิดสร้างสรรค์" อย่างนั้นหรือเปล่า ?? ผมไม่แน่ใจละ
คือถ้าเป็นออฟฟิศสเปซแบบเก่าที่ทุกคนนั่งอยู่ใน cube พอมีอะไรก็เดินไปคุยได้เหมือนมีห้องประขุมย่อม ๆ แล้วไม่กวนคนอื่นมันก็อาจจะใช่ แต่โมเดิร์นออฟฟิศที่ทุกคนนั่งกระจุกตัวกัน พอจะพุดคุยอะไรก็จะไปกวนคนอื่นหมด จะคุยจริงจังก็ต้องเปิดห้องประชุม (ซึ่งมันก็มักจะไม่พอ) ฯลฯ
ผมคนนึงละที่เวลาไปออฟฟิศแล้วจะไม่ค่อยได้งานเท่าไหร่ เสียเวลาไปกับการถูกขัดจังหวะแทบจะตลอดเวลา
(นี่ยังไม่นับว่าเดินทางไปกลับเกือบห้าชม.นะครับ)
อันนี้จริงแฮะ หลายหัวดีกว่าหัวเดียว ยังไงธรรมชาติของมนุษย์ก็คือสัตว์สังคม
ในฐานะซีเนียร์ที่เป็น introvert ด้วยหน้าที่แล้วหงุดหงิดเป็นส่วนตัวครับ
หน้าที่ซีเนียร์คือคอยเป็นที่ปรึกษาให้จูเนียร์ แล้วโดนใช้งานเยอะมากจนแทบทำงานไม่ได้
introvert ลำบากหน่อยที่ไม่ได้เกิดเป็นสัตว์สังคมครับ
ผมเห็นด้วยครับ มันมีความหน่วงในการทำงาน ไม่สามารถถามแบบต่อตัวแบบง่าย ๆ แถมการสื่อสารด้วยภาษากายมันง่ายกว่าแบบเสียงกับภาพอย่างเดียว
Coder | Designer | Thinker | Blogger