CNBC รายงานว่า Emad Mostaque ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอของบริษัท Stability AI ได้ให้สัมภาษณ์กับนักวิเคราะห์จาก UBS ว่าปัญญาประดิษฐ์อาจเป็นฟองสบู่ที่ใหญ่ที่สุดตลอดกาล แต่ตอนนี้ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น
Stability AI เป็นบริษัทที่อยู่เบื้องหลัง Stable Diffusion AI สร้างภาพจากการป้อนข้อความ มีผู้ใช้งานมากกว่าหนึ่งล้านคนและได้รับเงินลงทุนเกิน 100 ล้านเหรียญดอลลาร์ จากนักลงทุนรวมถึง Coatue และ Lightspeed Venture Partners ถือว่าเป็น AI ที่ได้รับความนิยมพอๆ กับ OpenAI ผู้ให้บริการ ChatGPT
Mostaque เรียกสิ่งนี้ว่า ฟองสบู่ “Dot AI” (ล้อฟองสบู่ Dot Com) และคาดการณ์ว่าจำนวนเงินที่ต้องการสำหรับการลงทุนใน AI น่าจะถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์ เพราะมันสำคัญกว่า 5G เนื่องจากเป็นพื้นฐานสำหรับความรู้ แต่ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ยังไม่พร้อมสำหรับการนำไปใช้ในอุตสาหกรรมขนาดใหญ่เช่น บริการทางการเงิน
และบริษัทที่ใช้ AI อย่างไม่เหมาะสมจะถูก "ลงโทษ" จากตลาดหุ้น ยกตัวอย่างเช่น Google ที่สูญเสียเงิน 100,000 ล้านเหรียญ ในงานเปิดตัวแชตบอต Bard ที่พบว่าให้ข้อมูลผิดพลาดในวิดีโอโปรโมต
Mostaque กล่าวเสริมว่า เราจะเห็นผู้คนเริ่มย้ายจากการลงทุนในบริษัทผลิตชิปไปยังบริษัทที่ใช้ AI สร้างผลตอบแทน รวมไปถึงจะเห็นตลาดลงโทษบริษัทที่ไม่ได้ใช้ AI ซึ่งเขาคาดว่า “AI จะเป็นหนึ่งในธีมการลงทุนที่ใหญ่ที่สุดภายในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า”
ภาพจาก YouTube: Scale AI
ที่มา: CNBC
Comments
มันก็เหมือน Internet ยุคแรกนั่นแหล่ะ คนลงทุนก็ตื่นทองกัน ลงทุนสับสนไปหมด ใครโม้เก่ง จับแพะชนแกะได้ ก็ได้ทุนไป แล้วเมื่อใดฟองสบู่แตก มันก็เหมือนสัญญาณอย่างหนึ่งนะว่าอะไรจะเป็นธุรกิจที่เราจะขาดมันไม่ได้ เพราะหลังจากฟองสบู่แตกมันก็มักจะโตแบบมั่นคงและเป็น core หลักในอุตสาหกรรมยุคถัดไป ยังไงส่วนตัวผมยังเชื่อว่าเทคโนโลยี Internet ผ่านดาวเทียมด้วยแสงเลเซอร์, AI, Robot, Nuclear fusion, Blockchain network ในแง่ที่ใช้ในการจัดการ security ให้กับเครือข่าย AI ธุรกิจการเงิน อุปกรณ์อัตโนมัติต่างๆ
เทคโนโลยีเหล่านี้น่าจะเป็น core ธุรกิจในยุคถัดไป อยู่ที่ผู้ลงทุนจะแทงหวยถูกกันหรือเปล่า เพราะบริษัทแบบ Google, Meta, Microsoft ฯลฯ ก็น่าจะกำลังก่อตัวแบบเงียบๆ อยู่ ช่วงเวลานี่แหล่ะเป็นช่วงเวลาทองของนักลงทุนเลยล่ะว่าใครจะได้หุ้นในบริษัทเทคโนโลยีลูกถัดไปในราคาทุนที่ต่ำที่สุดแล้ว เพียงแต่มีคนได้ก็มีคนเสียก็เป็นเรื่องธรรมดาของการลงทุน
LLM ในตอนนี้อยู่ในระดับที่มีประโยชน์ค่อนข้างชัด ไม่เหมือนกระแสอื่นๆ ที่ยังใช้งานจริงไม่ได้ (blockchain, Quantum Computer, ฯลฯ) มันไม่น่าหายไปเฉยๆ
ความท้าทายอย่างหนึ่งคือ คนที่เป็นผู้นำอยู่ตอนนนี้อาจจะไม่ใช่ผู้ชนะ (Yahoo!, AltaVista) ต่อให้ กระแสคงอยู่ ก็อาจจะปรับเป็นอย่างเช่น เช่น กระแส container ที่สุดท้ายกลายเป็น Kubernetes และผู้ชนะกลายเป็น Red Hat
lewcpe.com, @wasonliw
เหมือน Dotcom bubble ที่สุดท้ายเหลือไม่กี่เจ้าแต่ได้ครองโลก
Generative AI โดยเฉพาะ LLM มันมีความพร้อมใช้งานสูงสุด ไม่ต้องเป็น programmer, AI engineer ชาวบ้านทั่วไปก็สามารถใช้ประโยชน์ได้แล้ว
ไม่เหมือน Blockchain, Quantum Computing หรือแม้แต่ AR ที่การใช้งานยังไม่พร้อมออกจากแลปสู่มือคนทั่วไป