แอปเปิลประกาศว่า iPhone และ iPad จะมีการเปลี่ยนแปลงใน iOS 17.4 เช่น การโหลดแอปจากสโตร์ภายนอกได้ จ่ายเงินผ่านช่องทางอื่นได้ และอื่น ๆ อีกหลายอย่าง แต่มีผลเฉพาะกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป 27 ประเทศเท่านั้น เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายดิจิทัล Digital Markets Act (DMA)
คำถามที่หลายคนอยากรู้ แม้จะเดาคำตอบในใจกันได้ไม่ยาก ก็คือประเทศอื่นจะมีโอกาสได้อะไรแบบนี้บ้างไหม? ซึ่งแอปเปิลก็มีคำตอบมาให้แล้ว
แอปเปิลบอกว่าการเปลี่ยนแปลงจะไม่มีในประเทศที่อยู่นอกกลุ่ม EU เพราะว่าสิ่งที่เปลี่ยนแปลงนี้ไม่ใช่ระบบที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับผู้ใช้งาน แอปเปิลแสดงจุดยืนชัดเจนว่าแนวทางของ DMA นั้น เพิ่มความเสี่ยงทั้งมัลแวร์ แอปหลอกลวง และแอปเปิลยังมีอำนาจควบคุมความปลอดภัยและจัดการสิ่งเหล่านี้น้อยลง การเปลี่ยนแปลงตาม DMA หลายอย่างยังไม่ถูกทดสอบ และอาจต้องปรับแก้ไขในอนาคตด้วย
แอปเปิลยังบอกว่า ความเชื่อถือของลูกค้าเป็นสิ่งพื้นฐานที่แอปเปิลยึดถือไว้ ความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยคือสิ่งสำคัญ กระบวนการตรวจสอบแอปต่าง ๆ ในปัจจุบันมีมาตรฐานและคุณภาพที่ทำให้ผู้ใช้งานยอมรับ กฎหมาย DMA ของ EU ที่ออกมา ทำให้แอปเปิลต้องเปลี่ยนกระบวนการต่าง ๆ ที่กระทบกับผู้ใช้งาน แต่จะทำให้มีผลต่อความเสี่ยงน้อยที่สุด และยังเป็นไปตามกฎหมายที่กำหนด
ที่มา: 9to5Mac
Comments
ความ
ปลอดภัยกำไร+1
วันไหนที่ครอบครัวของคุณหรือคุณเองโดนหลอกลวง ดูดเงิน วันนั้นคุณจะเข้าใจอย่างถ่องแท้เองครับ…
ครอบครัวผมโดนหลอกครับ แต่โดนหลอกลวงเฉยๆ ไม่ได้ให้ลงแอปนะ แต่ผมก็เห็นด้วยกับความเห็นนี้อยู่ดีว่า Apple เน้นกำไร โดยเอาความปลอดภัยมาอ้าง
ใช่... ผมเห็นด้วยครับว่าการอนุญาตให้สามารถติดตั้งได้แค่แอปที่ผ่านการตรวจสอบมันช่วยเพิ่มความปลอดภัย
แต่... มันจำเป็นไหมที่ต้องเป็น Apple เจ้าเดียวเท่านั้นที่สามารถตรวจสอบความปลอดภัยได้? ไม่มีบริษัทไหนในโลกนี้แล้วเหรอที่ทำได้? ผมไม่คิดว่ามันเป็นแบบนั้น และผมมองว่า Apple กำลังผูกขาดการตรวจสอบไว้แค่ตัวเองแต่เพียงผู้เดียวเพื่อทำกำไรครับ
มันก็ต้องทำกำไรสิครับมันจะมีบริษัทประเทศระดับใหญ่ในโลกที่ไหนที่ไม่ทำกำไร คิดอะไรเพื่อที่จะไม่ให้บริษัทนี้ตกอันดับเขาไม่โง่หรอครับแล้วก็เขาไม่ฟังคนผู้บริโภคระดดับอาเซียนหรอกครับ มันเสียเวลา คนทั้งโลกเขาไม่มานั่งฟังประเทศในอาเซียน หรอก
ใครบอก Apple ต้องมาฟัง นี่บอร์ดข่าวแลกเปลี่ยนความคิดเห็นจ้าไม่ใช่เวทีรวมเสียงโหวตร่างนโยบาย จะว่าถูกว่าผิดมันไม่เกี่ยว หรือต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงจากความคิดเห็นเหล่านี้ไหม เพราะนั่นคือหน้าที่ของการตลาดของ Apple ที่จะเอาไปพิจารณาอีกทีหรือไม่ก็แล้วแต่บริษัทนั้นจะสะดวกเลย
มาบอกคนอื่นอย่าพูด Apple ไม่ฟังหรอก นี่ตลกนะ
ผมว่าคุณเข้าใจวัตถุประสงค์ของช่องคอมเมนต์ blognone ผิดไปนะ
ถ้าอยากให้ Apple มาฟังผมไม่มาเสียเวลาพิมพ์ในนี้หรอกครับ ผมแค่ต้องการแสดงความคิดเห็นและแลกเปลี่ยนกับคนในนี้เท่านั้นเอง
และความเห็นของผมก็แค่ Apple กำลังผูกขาดการตรวจสอบไว้เพื่อทำกำไรเป็นหลักไม่ใช่เพื่อความปลอดภัยครับ ซึ่งผมไม่ได้อยากบอกเรื่องนี้กับ Apple แต่อย่างใด แค่อยากบอกเรื่องนี้กับคนที่เชื่ออย่างสนิทใจว่าที่ Apple ทำแบบนี้มันเป็นเพราะ Apple เป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยอย่างใจจริงหรือมองว่า EU เป็นตัวร้ายที่ทำให้ iOS ไม่ปลอดภัยครับ
แน่นอนว่าทุกคนไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย แต่ถ้าเห็นต่างอย่างไรก็สามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้ครับ
ปล. สำหรับผมที่ไม่ได้ถือหุ้น Apple หรือมีส่วนได้ส่วนเสียแต่อย่างใด กำไรของ Apple ไม่ได้สำคัญกับชีวิตผมครับ
ผมเองเคยโดนหลอกเอง และเพราะแบบนี้ผมถึงรู้ว่าการปิดไม่ให้โหลดสโตร์นอกไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหาที่แท้จริง เพราะโจรถ้าจะหลอกมันไม่ต้องหลอกให้ติดตั้งแอปอะไรเลยด้วยซ้ำ
โดนหลอกลวงให้โอนเงิน ไม่จำเป็นต้องติดตั้งแอปก็โดนได้ครับ เคสมีให้เห็นทุกวัน
อยากรู้เหมือนกันว่าการลงแอปอื่นนอกสโตร์เขาลงอะไรกัน จากเท่าที่ดูมาก็เห็นลง APK ที่โกงเงินในเกม เปลี่ยนแอพที่เสียเงินให้ใช้ฟรีๆ เป็นส่วนใหญ่ ถ้าจะพูดถึงประโยชน์ที่ไม่ผิดกฎหมายเขาใช้ลงอะไรกัน
Hey Calendar ที่ไม่ต้องแก้เพิ่มอะไรแปลกๆ ที่เอาเข้าจริงคงไม่ถูกใช้งานเข้าไป?
หรืออาจจะแอป 18+ ? (อันนี้ผมไม่รู้ว่าแอปพวกนี้ปกติลง store ได้อยู่แล้วรึเปล่านะ แต่เหมือนมันมี rating ก็น่าจะได้?)
แต่ถ้าถามผมแบบจริงจังที่ผมจะใช้และอยากใช้ ก็คง Microsoft Edge หรือ Google Chrome หรือ Mozilla Firefox ที่ไม่ใช่แค่หน้ากาก Safari น่ะครับ ลงได้มั้ยไม่รู้ เห็นว่าต้องผ่าน Apple ก่อนอีกระดับนึงอยู่ดี
แต่ก็ทำได้แค่ตามที่ยอมให้ทำเป็นแอปได้อีกนะครับ ลงแอป hw keyboard layout เองไม่ได้ อยากต่อคีย์บอร์ดพิมพ์ดีๆ ก็ไม่ได้อีก เคยคิดหลายทีว่าหรือจะมี iPad สักตัวพอคิดถึงเรื่องนี้ก็พับแผนทิ้งไปทุกรอบ
แอป 18+ ลง store ได้แต่ต้องกำหนดอายุและเนื้อหาต้องเป็นไปแบบที่กำหนด ยังไงก็ต้องเซ็นเซอร์อยู่ดี แต่ถ้าลงนอก store ก็จะไม่จำเป็นต้องเซ็นเซอร์อะไร อย่างเกม nu carnival ใน store คือตัดฉาก 18+ ออกหมด แต่ใน Store ก็ลงเรทเป็น 17+
เนี่ย
18+ ลงตรงๆ ไม่ได้ครับ แต่ถ้าซื้อเนื้อหา 18+ จากภายนอกแล้วเข้าไปดูใน App ได้ครับ
กรณีให้ไปติ๊กถูกยอมรับเงื่อนไขว่า 18+ ภายนอกแล้ว App แปลงร่างก็ไม่ผิดนะ
ปล.จริงๆ 18+ Apple มันซีเรียสเฉพาะ App ที่ขายใน US EU เท่านั้นล่ะครับ กรณีล็อก IP ซื้อ 18+ ได้เฉพาะในประเทศอื่นแบบจำกัดโซน แล้วเนื้อหามันไม่ผิดกฏประเทศนั้นก็ไม่โดนแบนนะ
termux นี่ชัดสุด บน play ไม่ได้ไปต่อ
seal,amarok นี่ก็ของดี
ที่ผมมีในเครื่องผมก็
- Adguard แอปบล๊อคโฆษณา
- FusionSolar แอปโซล่าเซลล์ของ Huawei (มีใน App Gallery ของ Huawei)
- Meb+ แอปอ่านอีบุ๊คของ Meb แต่ต่างจากเวอร์ชั่นใน Play Store ตรงที่ชำระเงินได้ทุกช่องทาง
ทุกแอปโหลดจากเว็บ official ครับ
Meb เห้นราคาที่จ่ายผ่าน ร้านของเอเปิลแล้ว แพงกกว่ามากนะ
บน Android เค้าไม่อยากให้แพงกว่าแบบนั้นเลยแยกไงครับ
ข้ามประเทศ
18+
Fornite 😆
ผู้ใช้งานสามารถเลือกใช้เบราว์เซอร์อื่น ที่ทำงานบนเอ็นจินที่ไม่ใช่ WebKit ได้
ขณะที่ Firefox ฝั่ง Android ลง Extentions ได้หลากหลายละ
ลงแอป Open-source จ้า
Epic Game Launcher
พวก ซัมซุมสโตส์ เสี่ยวหมีสโตส์ เค้าดูแลยัไงง นะ
ความปลอกภัย ความปลอกภัย ความปลอกภัย ไทยเราลองบังคับบ้างไหม ฮ่าๆ
ก็จริงนะ ส่วนหนึ่งที่ให้พ่อแม่ใช้ iPhone ก็เพราะกลัวแอพหลอกดูดตังนี่แหละ
ผมพูดกรอกหูแม่ทุกวันว่าไม่ต้องโอน ให้ศาลสั่งยึดเอง แต่บ้านเราไม่มีหนี้และไม่เคยค้ำประกันใครนะ
MacOS ไม่ปลอดภัยสินะ เพราะลงแอปนอกสโตร์ได้
+65536
"Those who make peaceful revolution impossible will make violent revolution inevitable." JFK.
ส่วนตัวผมเชื่อว่า ความปลอดภัยของผู้ใช้ กับ การที่ Apple ผูกขาดการตรวจสอบไว้แต่เพียงผู้เดียว มันเป็นคนละเรื่องกันครับ
ก็นะ สำหรับใครที่เชื่อว่าต้องเป็นแอปที่ Apple ตรวจสอบเท่านั้นถึงจะปลอดภัย ก็คงจะคิดแบบนั้นแหละ
จำนวนเงิน จำนวนเหยื่อที่โดนหลอกให้ลง app นอก store คือหลักฐานเชิงประจักษ์อย่างหนึ่ง ที่บ่งบอกว่าความปลอดภัยที่อ้างถึงนั้น มีน้ำหนักเพียงพอหรือไม่
แต่ละคนก็คงต้องใช้วิจารณญาณคิดวิเคราะห์กันเอง ส่วนตัวผมสงสารเหยื่อพวกนี้มาก
That is the way things are.
สงสารเหยื่อเช่นกันครับ
แต่มองว่า มันคือการกินข้าวตามร้านรถเข็นข้างทาง จะบอกว่า ท้องเสียเพราะกินร้านรถเข็น งั้นเลิกกินร้านรถเข็นกันดีกว่า มันก็มีคนที่ยังอยากทานร้านรถเข็นอยู่ดีอ่ะครับ
(condition มันอาจจะมีหลายอย่าง เช่นร้านรถเข็น ไม่สะดวกเช่าตึกแถว บลาๆๆ)
สิ่งที่ Apple ทำมันหนักกว่านั้นอีกครับ
เพราะ Apple ไม่ใช่แค่กีดกันร้านรถเข็นริมทางเฉยๆ แต่กีดกันแม้กระทั่งร้านอาหารในห้างอื่นที่ไม่ใช่ห้างของ Apple ด้วย โดยอ้างเรื่องความปลอดภัย
หลายๆคนก็ดันหลงคารม Apple ทำให้เชื่อว่าโลกนี้มีแค่ห้างของ Apple เท่านั้นที่ปลอดภัย ก็เลยเห็นดีเห็นงามไปกับการที่ Apple ปิดกั้นห้างอื่นๆไปด้วย
เอาก็ถูกแล้วนิครับ ร้านที่มีร้านมิชลิน สตาร์ก็ต้องเป็นร้านที่ระดับคนมีเงินกิน APPLEเป็นบริษัทใหญ่ร้านเล็กหรือร้านใหญ่ที่ไม่มีความสามารถในการให้ตรวจสอบเขาก็ไม่เอาครับ คือจริยธรรมครับถ้าเปรียบเทียบง่ายก็คือ จะเอาลูกค้ามีเงินหรือลูกค้าแปะแล้วค่อยมาจ่ายร้านค้าเลือกอันไหนก็ต้องเลือกลูกค้ามีเงินครับเขาไม่เลือกลูกค้าแปะเงินมีที่ไหนเอาลูกค้าระดับล่างมาใช้บริการบ้างครับไม่มี
จะสื่ออะไร ร้านทุกร้าน Apple ต้องตรวจสอบได้? โทษทีนี่บริษัทหรือรัฐบาลที่ต้องมาคิดทุกเรื่องแทนลูกค้าทั้งที่มีกลุ่มลูกค้าที่ไม่เอาด้วย
ข้อความที่เหลืองงสุด ใครก็ได้มาแปลให้หน่อย
เอาตรงๆผมอ่านความเห็นของคุณไม่เข้าใจว่าจะสื่ออะไรนะ
แต่เท่าที่จับใจความได้ คือคุณแค่จะบอกว่า Apple แค่เลือกลูกค้าของตัวเองสินะครับ แต่ผมกลับมองว่า Apple กำลังบังคับให้ลูกค้าเลือก Apple ต่างหาก แต่เอาจริงๆสองอย่างนี้มันก็คือๆกันแหละ อยู่ที่มุมมองแต่ละคนมากกว่า
อย่างไรก็ตาม ผมแค่อยากให้หลายคนเข้าใจว่า Apple กำลังทำอะไรอยู่ครับ ถ้าเข้าใจแล้วแต่ยังมองว่าเป็นเรื่องดีงามก็เป็นความคิดเห็นของแต่ละคนครับ ผมแค่มองว่ามันเลวร้ายเท่านั้นเอง
+1
กลัวเรื่องความปลอดภัยแทนลูกค้า หรือจริงๆ แล้วกลัวสูญเสียการควบคุมและรายได้?
เอาเขาต้องการรายได้ เขาไม่ได้ทำบุญถวายพระสังฆราช บ้านะครับบริษัทใหญ่ครับ เขาไม่ได้เอาเงินโง่มาบริจาคเพื่อช่วยคนขอทานที่ใช้แอพร้านอินเตอร์เน็ตมาเติมเงินนะครับ
🤔
เขาหารายได้จากการดูแลความปลอดภัยให้ลูกค้าครับ
That is the way things are.
การปิดกั้นทางเลือกไม่ใช่ความปลอดภัย
มันเป็นหนึ่งใน "วิธี" การรักษาความปลอดภัยที่ใช้ได้จริงครับ ส่วนใครจะชอบหรือไม่ชอบก็ต้องแล้วแต่
ทางเลือกมีอยู่มากมายอยู่แล้วครับ ขึ้นอยู่กับว่าจะเลือกไหม เพราะมือถือแต่ละยี่ห้อก็คงมีจุดดีจุดด้อยต่างกันไป แต่ถ้าอยากได้ทุกอย่างตามที่ตัวเองต้องการ ก็ต้องลองใช้กำลังภายในต่อรองดูเหมือนอย่างที่ EU ทำ
Smartphone shipments market share ไตรมาส 3 ปี 2023 ที่ผ่านมา
1. Samsung 20%
2. Apple 16%
3. Xiaomi 14%
4. Oppo + Oneplus 14%
5. Vivo 7%
จากตัวเลขผมไม่เห็นว่าส่วนแบ่งทางการตลาดของ Apple จะยึดครองตลาดอะไรขนาดนั้น ก็ยังไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องโดนบังคับให้เปิดตัวเอง ลดอำนาจลง ยิ่งเป็นกรณีที่ทำให้เกิด vulnerability ยิ่งไม่ควรทำ แต่คนอื่นอาจจะคิดไม่เหมือนกันได้
ถ้าจะปฏิเสธว่าการให้ลง store นอก ลง app นอก store แล้วก็ยังปลอดภัยอยู่ ทำไมเรายังเห็นข่าวคนโดนมิจฉาชีพโกงกันอย่างมากมาย ตัวเลขเม็ดเงินมหาศาล เมื่อไม่นานมานี้สิงคโปร์ก็เพิ่งโดน app ขนมไหว้พระจันทร์ดูดเงินไป เหตุการณ์เหล่านี้ก็คือหลักฐานเชิงประจักษ์ว่าการเปิดช่องทางลง app แบบนี้ ผู้ใช้ที่ไม่รู้เท่าทันก็ถูกมิจฉาชีพใช้ช่องทางนี้จู่โจมได้
อีกอย่างคือในวันที่ตลาดมีทางเลือก BlackBerry, Windows Phone ผู้ประกอบการเหล่านี้กลับทำให้ตัวเองแข่งขันไม่ได้ ผู้บริโภคก็ไม่สนับสนุน ปากก็บอกว่าอยากได้ทางเลือกแต่เอาเข้าจริงก็ไม่ซื้อ แล้วมันเป็นความผิดของคนที่เหลือรอดในสงครามธุรกิจหรือครับที่เลือกวิธีดูแลสินค้าและบริการตัวเองแบบปิด ?
ถ้านับย้อนไปอีก Windows Mobile, Symbian แทบจะครองตลาดเบ็ดเสร็จก่อน iPhone จะเกิดอีก แต่ก็ปล่อยคนอื่นเติบโตแย่งชิงส่วนแบ่งมาได้ แล้วจะโทษใคร ?
That is the way things are.
นี่เป็นเพราะว่าแอนดรอยด์ไม่สามารถสื่อสารกับผู้ใช้ได้อย่างชัดเจนตั้งแต่แรกว่าการติดตั้งแอปจากแหล่งที่ไม่รู้จักเป็นความเสี่ยง ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องสโตร์นอกเลย ทั้งนี้กูเกิลเองไม่สามารถปรับใช้วิธีการป้องกันมันมีอยู่แล้วมานานนับทศวรรษอย่างลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์, PKI รวมรายชื่อสโตร์นอกที่น่าเชื่อถือก็ไม่ถูกใช้งานเลย สุดแค่เตือนจาก Play Protect ว่าแอปนี้ไม่ได้ Sign จากตัวเอง แต่ก็ปล่อยให้ติดตั้งต่อไป (จะบังคับให้ Sign เฉพาะของตัวเองเพื่ออะไร Root Cert ก็มีดันไม่ใช้) มันไม่ใช่ข้ออ้างในการปิดกั้นสโตร์นอกไม่ให้สามารถเข้ามาแข่งขันได้ หาได้เกี่ยวกับการเปิดให้ติดตั้งแอปแบบสุ่มสี่หุ้มห้าไม่ ประเด็นมันอยู่ตรงนี้
ส่วนแบ่งการตลาดที่เกณฑ์ของคุณบอกว่า Apple ไม่ได้ยึดครองขนาดนั้น ถามจริง 16% นี่ยังไม่เรียกว่า Gatekeeper อีกเหรอ เกณฑ์ของผมนี่แค่ผ่าน 5% ขึ้นมาได้นี่ก็ Gatekeeper แล้วนะ จำนวนสัมบูรณ์ของสมาร์ตโฟนทั้งโลกมันเยอะมาก ผ่าน 1% มาได้ก็เป็นล้านเครื่องแล้ว และค่ายอื่นที่ส่วนแบ่งน้อยกว่าก็ล้วนเปิดทางเลือกให้ทั้งนั้น มันใช่จริง ๆ เหรอที่ Apple ไม่ใช่ Gatekeeper
การปกป้องสินค้าของผู้ผลิต การเรียกร้องของลูกค้า และเรื่องกฎหมายบังคับ ล้วนเป็นคนละเรื่องกันทั้งสิ้น ลูกค้ามีสิทธิเรียกร้องในสิ่งที่ตนเองต้องการ แอปเปิลมีสิทธิในการเลือกให้บริการในสิ่งที่ตนต้องการ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ทุกคนล้วนอยู่ภายใต้กฎหมาย ที่ในประชาธิปไตยแล้วทั้งฝ่ายผู้ผลิตและผู้ให้บริการมีสิทธิที่จะเห็นด้วยหรือคัดค้านทั้งสิ้น แต่สิ่งที่คุณทำอยู่คือการปกป้องแอปเปิล ซึ่งก็เป็นสิทธิของคุณ แต่คุณกล่าวขัดขวางคนอื่นที่อยากได้ในสิ่งที่ตนต้องการอย่างชอบธรรมนั้น คุณกำลังแสดงตนว่าคุณอยากจะขัดขวางสิทธิของคนอื่นอยู่ ซึ่งแน่นอนคุณมีสิทธิ แต่มันสมควรหรือไม่
ด้วยนิยามคุณอาจจะเรียกว่า gatekeeper หรืออะไรก็ได้นะ เพราะคุณวัดที่จำนวนเครื่องเป็นหลัก แต่สำหรับผมใช้มุมมองส่วนแบ่งเป็นหลัก ถ้ายังไม่เกิน 1/3 ผมก็ว่าเป็นเรื่องปกติ ถ้าเกินแล้วแต่ยังไม่ถึง 1/2 ก็น่าจับตาและต้องมีมาตรการเตรียมพร้อม แต่ถ้าเกิน 1/2 นี่ต้องกำกับดูแล ลดอำนาจ ส่งเสริมการแข่งขันเลย
16% ผมว่าไม่เยอะ ถ้าลองเทียบกับร้านค้าสะดวกซื้อเจ้าดังบ้านเรา น่าจะเกิน 80-90% รายนั้นสมควรต้องโดนจัดการทันที นี่ยังไม่นับว่า iPhone เริ่มมาจาก 0% และเพิ่งมาจำหน่ายเมื่อ 17 ปีก่อนเองด้วยซ้ำ
อีกเรื่องหนึ่งที่ควรตั้งคำถามคือ ถ้าคุณเรียก 16% ว่า gatekeeper แล้ว Symbian สมัยก่อนนี่เรียกว่าอะไรครับ ? ผมเห็นว่าแม้ส่วนแบ่งจะเยอะมากแต่ก็ยังโดนเจ้าใหม่อย่าง iPhone, BlackBerry มาฆ่าได้นะ มันก็ไม่ถึงกับว่าคู่แข่งรายอื่นไม่ได้ผุดได้เกิด แม้ว่าจะครองตลาดเกือบหมดมาก่อนก็ตาม
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็บอกแล้วครับว่าแล้วแต่วิธีการคิดและมุมมองของแต่ละคน ผมสนับสนุนระบบปิดแบบที่ Apple เป็นอยู่ ณ ปัจจุบัน เพราะผมมองว่า Apple นั้นกำกับคุณภาพของ app ตัวเองได้ดี ไม่มีปัญหาเรื่องมิจฉาชีพ เมื่อเทียบกับ OS อื่น ๆ
ส่วนตัวผมคิดว่า ผมไม่ได้ละเมิดสิทธิ์ใคร เพราะทุกคนมีสิทธิ์เลือกซื้อ smartphone ที่ตัวเองชอบครับ ถ้าผมเอาปืนไปจ่อหัวให้คนอื่นซื้อ smartphone ยี่ห้อที่ผมสั่งเท่านั้น อันนั้นค่อยมาว่าผมละเมิดสิทธิ์คนอื่นครับ
That is the way things are.
ให้คุณกลับไปอ่านข้อความของผมใหม่ ผมบอกตอนไหนว่าคุณละเมิดสิทธิของผู้อื่น ผมบอกว่าคุณกำลังแสดงทรรศนะที่ขัดกับความต้องการของผู้ใช้ร่วม Ecosystem คุณแบบไม่เข้าท่า ผมบอกเสมอ คุณมีสิทธินั้น แต่มันสมควรหรือไม่ คุณพิจารณาเองได้
ขอประทานโทษ Symbian มีสโตร์เดียว? แล้ว Apple Device มีหลายหลายสโตร์? และ BlackBerry ก็ไม่ได้ปิดไม่ให้ลง App คุณจะลง Java เองยังได้เลย
ขัดกับความต้องการของผู้ใช้ร่วม ecosystem ? น่าจะเป็นบางคนไหมครับ เพราะผมก็รู้จักคนที่ happy กับระบบการตรวจสอบ app ของ Apple อยู่แล้วหลายคนเหมือนกัน ส่วนที่ว่าเข้าท่าหรือไม่เข้าท่าก็เป็นมุมมองของคุณครับ ในขณะเดียวกัน ผมก็คิดว่าเป็นธรรมดาที่ผู้บริโภคเอาความต้องการของตัวเองเป็นหลัก อยากได้ของถูก อยากได้ตัวเลือก บางครั้งความต้องการก็ดูเอาแต่ได้ฝ่ายเดียวไปบ้าง ก็ต้องว่ากันไปตามกรอบกฎหมายของแต่ละประเทศครับ
ผมบอกไปแต่แรกแล้ว ถ้ามีกำลังภายในแบบ EU ก็ลองไปเจรจาดู
ส่วนเรื่อง Symbian กับ BlackBerry คุณพูดถูกครับ เพราะสมัยนั้นยังไม่มี concept เกี่ยวกับ app store ที่แพร่หลาย น่าจะมีแค่บน Linux ที่ผมต้องการสื่อคือขนาด 2 เจ้านี้เกิดมาก่อน มีส่วนแบ่งการตลาดที่มากพอสมควร ก็ยังโดนเจ้าใหม่เกิดขึ้นมาตีจนหายสาปสูญไปได้ ดังนั้นการที่ต้องไปลงมือจัดการกับผู้ผลิตที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดเพียงแค่ 16% ผมว่ามันไม่จำเป็น
ผมส่วนตัวเชื่อว่าถ้า BlackBerry มี app store เขาก็คงคุมเองเหมือน BB PIN Messenger นั่นแหละครับ แต่ผมก็ได้แค่เดาล่ะนะ
That is the way things are.
ไปบอร์ดต่างประเทศเดี๋ยวคุณก็รู้เอง หรือจิ้มเข้า YouTube หา User ชื่อ SomeOrdinaryGamers หรือ penguinz0 แล้วไปดูช่องความคิดเห็นก็ได้ ไม่มีใครมานั่งปกป้อง Apple เลย จริง ๆ ไม่ต้องสองบัญชีนี้เลยเพราะมันกระจัดกระจายในบอร์ดไอทีจนคุณไม่ต้องพยายามไปหาด้วยซ้ำ แต่ Point ของผมคือ การที่คุณบอกว่าการปิดกั้นทางเลือกเป็นความปลอดภัยนั้นมันไม่จริงมาตั้งแต่แรกเพราะมันมีระบบอื่น ๆ ที่พิสูจน์มาให้เห็นแล้วว่าการมีสโตร์อื่นๆ เป็นทางเลือกนั้นไม่ได้ส่งผลต่อความเสี่ยงของการโจมตี จนกว่าจะมีสถิติมายืนยันเพิ่มเติมของช่องทางโจมตีจากสโตร์เหล่านี้ (และผมเจาะจงเป็นอย่างยิ่งกับสโตร์ที่สามารถให้บริการได้อย่างทัดเทียมกับสโตร์เจ้าตลาด เช่น Galaxy Store, Epic Game Store, AppGallery, etc. ซึ่งสามารถตัดสโตร์เถื่อนออกไปได้เลย) และการแสดงจุดยืนต่อต้านความต้องการของผู้ใช้ร่วมกันนั้นมีความเหมาะสมหรือไม่ อีกครั้ง คุณพิจารณาเองได้
ผมไม่ได้ Debate คุณเพราะเรื่องนี้ ผมแค่ Debunk ความเชื่อของคุณ
แล้วทำไม Android ยังโดนมิจฉาชีพหลอกให้ลง malacious app ได้อยู่ครับ ?
การมีระบบปิด มันคงไม่ใช่วิธีการเดียวบนโลกในการรักษาความปลอดภัย อันนี้ผมรู้ครับ ผมก็เรียนจบคอมพิวเตอร์มา มันก็มีวิธีอื่น แต่มันจำเป็นไหมที่เขาต้องไป implement วิธีนั้นให้ ผมว่าถ้าเขาทำให้มันก็คงดีกับหลายคน แต่ถ้าเขาไม่ทำให้ผมก็เฉย ๆ มันก็สิทธิ์ในการทำธุรกิจของเขาที่เริ่มมาจาก 0% ด้วยวิธีการนี้แต่แรก
การที่คุณเห็นคนบ่นจำนวนมากบน webboard มันก็ถูกแล้วครับ เพราะคนที่เขา happy หรือเฉย ๆ เขาก็คงไม่ไปเสียเวลาบ่นหรือตอบโต้อะไรมากนัก ถ้าไม่มีเรื่องต้องพิมพ์ คนก็ไม่พิมพ์ มันก็เป็นหลักเหตุผลอีกด้านหนึ่งครับ
ตัวเลขที่แสดงออกอย่างชัดเจนที่สุดว่าแนวทางของ Apple คนชอบหรือไม่ชอบ คือยอดขายและอัตราการเติบโตของยอดขายครับ iPhone ไม่ใช่สินค้าราคาถูก ไม่ใช่สินค้าจำเป็น ออกไปทางสินค้าฟุ่มเฟือยด้วยซ้ำ แต่ทำไมยอดขายไม่ตกไปสักที ? น่าคิดนะครับ กล้องถ่ายรูปก็ไม่ได้ดีที่สุด กล้องถ่ายวิดีโออาจจะดีจริง แต่กันสั่นก็สู้ Samsung Galaxy S23 Plus ยังไม่ได้เลยมั๊ง หน้าจอก็ไม่ใช่ refresh rate สูงสุด การออกแบบก็เดิม ๆ มาหลายปี แบบพับได้ก็ไม่มี app แทบจะทุกอย่างก็มีบน Android เหมือนกัน แล้วทำไมคนจำนวนมากยังมา "ทน" อยู่กับระบบปิดอันนี้ ?
คนพวกนี้หาเงินมาซื้อโทรศัพท์มือถือราคาเกือบครึ่งแสนได้ ผมว่าคนพวกนี้ก็น่าจะมีความสามารถในการคิดวิเคราะห์พอสมควรนะครับ ไม่น่าใจใช้เงินกันโดยไม่มีเหตุผล
สุดท้าย คุณลองมองความเป็นไปได้อื่น ๆ ดูครับ คนไม่บ่นมีเยอะกว่าคนบ่นเสมอ หลักการนี้ใช้ได้กับแทบจะทุกสินค้าครับ เพราะคนที่พอใจแล้วก็ไม่รู้จะมาพิมพ์บ่นบน Internet ทำไม จะให้คอยไปแย้งคนที่มาบ่นก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร หรือจะให้มาตั้งกระทู้ชม มันก็แปลก ๆ อีก น่าจะมีแค่คนแบบผมนี่แหละที่มานั่งเถียงแบบนี้ ;)
ปล. ทำไม Nintendo Switch ขายได้เกือบ 130 ล้านเครื่องทั่วโลก คุณไม่มองว่าเป็น gatekeeper เหรอครับ ?
That is the way things are.
ผมบอกคุณไปตั้งแต่ต้นคอมเมนต์ด้วยซ้ำว่าเป็นเพราะอะไร คุณไม่ได้อ่าน? แต่จะทวนให้ก็ได้
นี่เป็นเพราะว่าแอนดรอยด์ไม่สามารถสื่อสารกับผู้ใช้ได้อย่างชัดเจนตั้งแต่แรกว่าการติดตั้งแอปจากแหล่งที่ไม่รู้จักเป็นความเสี่ยง ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องสโตร์นอกเลย ทั้งนี้กูเกิลเองไม่สามารถปรับใช้วิธีการป้องกันมันมีอยู่แล้วมานานนับทศวรรษอย่างลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์, PKI รวมรายชื่อสโตร์นอกที่น่าเชื่อถือก็ไม่ถูกใช้งานเลย สุดแค่เตือนจาก Play Protect ว่าแอปนี้ไม่ได้ Sign จากตัวเอง แต่ก็ปล่อยให้ติดตั้งต่อไป (จะบังคับให้ Sign เฉพาะของตัวเองเพื่ออะไร Root Cert ก็มีดันไม่ใช้) มันไม่ใช่ข้ออ้างในการปิดกั้นสโตร์นอกไม่ให้สามารถเข้ามาแข่งขันได้ หาได้เกี่ยวกับการเปิดให้ติดตั้งแอปแบบสุ่มสี่หุ้มห้าไม่ ประเด็นมันอยู่ตรงนี้
เรื่องมันอยู่ที่แค่
แค่
แค่
การเปิดสโตร์นอกให้คนเข้ามาแข่งขันมากขึ้น
ไม่ได้บอกเลยว่า Apple ต้องเปิดให้ลงได้ทุกแอปจากแหล่งไหนก็ได้ ผมไม่ได้ดึงประเด็นนั้นขึ้นมาเลยแม้แต่นิดเดียว แถมเรื่องพรรค์นี้ทุกคนทุกเจ้ามีสิทธิโดนได้เหมือนกันหมด Apple ไม่ได้ผลิตสินค้าเฉพาะกลุ่มอย่างเกมคอนโซล (เคยทำแต่แป้กไปแล้ว) คุณสามารถทำความเข้าใจในตรงนี้ได้หรือไม่
??? คุณกำลังเหมารวมคนที่ไม่ได้ออกความคิดเห็นเท่ากับว่าเห็นด้วยกับคุณเนี่ยนะ ยอดขายไม่ได้หมายความว่าคนจะชอบสินค้า แบบนี้ผมก็อ้างได้สิว่าคนซื้อสบู่ยี่ห้อ ABC เพราะคนชอบมาก ๆ ไม่ใช่ว่าเพราะว่ามันเป็นสินค้าจำเป็นหรอกหรือ มือถือมันกลายเป็นสินค้าจำเป็นไปแล้ว และคนก็อยากใช้ iPhone อย่างที่คนอยากจะใช้ คนเขา "อยาก" ทำในสิ่งที่ต้องการในมือถือแบรนด์นี้เพราะเข้าอยากใช้แบรนด์นี้ หลาย ๆ ครั้งมันไม่ได้เกี่ยวกับความปลอดภัยเลย แม่ผมก็ใช้ iPhone เพราะมันใช้ง่าย ทำไมคุณถึงกล้ายืนยันมากขนาดนั้นเสมือนว่าทุกคนอยากซื้อ iPhone เพราะความปลอดภัย ไปตลาดอเมริกานี่คำตอบคนละโยชน์เลยนะ เรื่องมันแค่คนกลุ่มหนึ่งอยากได้ฟีเจอร์จากสินค้านี้ ทำไมคนอีกกลุ่มต้องเป็นเดือดเป็นร้อน คุณอยากใช้แบบที่ Ecosystem ออกแบบมาก็ใช้ไปสิ มาบอกว่าคนอื่นไม่ควรจะต้องได้ในสิ่งที่เขาอยากได้ทำไม ไม่ต้องดึงประเด็นมาเยอะแยะเลย
การที่คุณแม่คุณใช้ iPhone ด้วยเหตุผลว่ามันใช้ง่าย และไม่ต้องห่วงหรือสนใจเรื่องความปลอดภัย มันก็แปลว่าวิธีการดูแลความปลอดภัยที่มีอยู่มันดีพอจนผู้ใช้ที่อายุมากแล้วไม่ต้องมาห่วงหรือกังวลประเด็นนี้ ไม่ใช่เหรอครับ ?
ส่วนเรื่องที่ออกมาพิมพ์ถกเถียง มันไม่ใช่แค่ว่าผมพอใจอะไร คุณพอใจอะไร แล้วเราก็ต่างคนต่างอยู่ ถ้ามันเป็นแบบนี้ก็ไม่ต้องถกเถียงอะไรกันแล้วครับในชีวิต แล้วในความเป็นจริงคุณก็ถกเถียงกับคนอื่นตลอดเวลาอยู่แล้ว
ที่ผมออกมาพูด ผมเข้าใจความต้องการของกลุ่มคุณนะ แต่ผมแค่มองว่าความต้องการมันเอาตัวเองเป็นหลักมากเกินไป มองแต่ในมุมมองผู้บริโภค แต่ไม่ให้ความหมายความลำบากในการสร้างธุรกิจใหม่ขึ้นมาจาก 0% และบางครั้งก็ดูโจมตีแบบเลือกปฏิบัติ
การที่รัฐจะไปกำกับบริษัทใด ๆ มันก็ต้องมีเกณฑ์ว่าคุณแข้าข่ายมีอำนาจเหนือตลาดแล้วนะ ควรจะลดทอนอำนาจลงบ้าง การแข่งขันจะได้เกิดขึ้นได้ในอนาคต ซึ่งเกณฑ์ที่ใช้มันก็ต้องเหมาะสมรับได้กันจากทุกฝ่าย ไม่ใช่ว่าใครเก่งหน่อยก็ต้องคอยทุบ แล้วแบบใครมันจะอยากเก่ง มันก็เหมือนขัดขวางการพัฒนาทางอ้อมในอีกรูปแบบหนึ่ง
คุณอยากได้อะไรไม่ผิดนะครับ แต่คุณก็ไม่ควรออกมาตราหน้าคนที่ไม่เห็นด้วยกับคุณว่า "ไม่เข้าท่า" เช่นกันครับ
สุดท้ายนี้ ถ้าคุณไม่อยากถกเถียงแล้ว ก็เลือกหยุด reply ได้นะครับ เพราะผมว่ามันก็เหตุผลมันก็วน ๆ อยู่ที่เดิม อยู่ที่ว่าฝ่ายไหนจะเข้าใจเหตุผลของอีกฝ่ายมากน้อยแค่ไหนแล้วมากกว่า
ปล. คุณไม่เห็นพูดเรื่อง gatekeeper กับ Nintendo Switch ที่ผมถามเลยนะครับ ;)
That is the way things are.
ผมเริ่มขี้เกียจอธิบายละ เพราะเข้าใจแล้วว่าไม่ชอบอ่าน ฉะนั้นนั่งทุบทีละจุดเลยละกัน
นี่แหละที่เขาเรียกว่าการคิดเองเออเองและคิดแทนคนอื่น ถ้าแม่ของผมใช้แอนดรอยด์แล้วแม่บอกว่าใช้ง่าย ผมซื้อให้แม่ไปแล้ว เกี่ยวอะไรกับความปลอดภัย ผมไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่า iPhone จะปลอดภัยอะไรขนาดนั้น ถ้าแม่ผมชอบ iPhone ผมก็โอเคแล้ว และท่านไม่เคยใช้ Digital Mobile Banking ด้วยซ้ำ มีอะไรก็ให้ผมทำตลอด ทำไมมันถึงมาเกี่ยวกับเรื่องความปลอดภัยได้ล่ะ
คือ? คุณจะบอกว่า EU เลือกปฏิบัติกับ Apple ใช่ไหม แล้ว Microsoft, Meta, และ Google ล่ะ บริษัทบิ๊ก Tech โดนกันหมด อะไรคือเลือกปฏิบัติ
โทษทีนะ ถ้า Point ของคุณตรงประเด็น แสดงได้อย่างชัดเจนว่าทำไมการปิดกั้นไม่ให้สโตร์เจ้าอื่นเข้ามาแข่งขันเป็นการเพิ่มความปลอดภัยได้จริงหรือไม่ จะไม่มีข้อความนี้เกิดขึ้น
แต่คุณกล่าวขัดขวางคนอื่นที่อยากได้ในสิ่งที่ตนต้องการอย่างชอบธรรมนั้น คุณกำลังแสดงตนว่าคุณอยากจะขัดขวางสิทธิของคนอื่นอยู่ ซึ่งแน่นอนคุณมีสิทธิ แต่มันสมควรหรือไม่
นี่แหละสัญญาณของคนที่ไม่ยอมอ่านแต่จะเถียงอย่างเดียว อ่านนี่ให้เข้าใจก่อน ทำความเข้าใจนิยามของ Gatekeeper ของ EU ว่ามีความหมายอย่างไร แล้วดูเอาเองว่า Storefront ของ Nintendo Switch นั้นเข้าข่ายหรือไม่ เรื่องนี้เข้าใจไม่ยากเลยแต่คุณไม่ยอมทำความเข้าใจก่อนที่จะปกป้อง Apple ในสิ่งที่เห็น ๆ อยู่แล้วว่า EU ตั้งใจจะทลายกำแพงนั้น แต่ถ้าคุณไม่เห็นด้วยกับการกระทำของ EU มันก็อีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งผมเคารพความคิดเห็นนี้ของคุณ แต่ประเด็นสำคัญที่คุณพูดออกมาอย่างการขายความปลอดภัยมันไม่มีน้ำหนักเลย ไม่ใช่ตัวคุณเองหรอกหรือที่เถียงวกไปวนมากับอีแค่เรื่องการให้เจ้าอื่นเข้ามาแข่งด้วยจะกระทบกับความปลอดภัยทั้ง ๆ ที่มันยังไม่มีสถิติมาอ้างอิง หนำซ้ำ ไม่ว่าจะเป็น AppStore หรือ Play Store ต่างก็ถูกโจมตีได้เหมือนกันทั้งสิ้น ยิ่งแอนดรอยด์ยิ่งแล้วใหญ่ ขนาดว่าลง App จากสโตร์อย่างเดียวยังเสี่ยง แล้วการปิดกั้นไม่ให้เจ้าอื่นมาแข่งมันจะปลอดภัยขึ้นมายังไง (และหยุดเลยนะถ้าจะบอกว่า AppStore ปลอดภัยกว่า Play Store ถ้าบอกแบบนั้นผมก็จะเปิด Big50000-Store ปิดไม่ให้แอปที่ไหนมาลงเลยแล้วพูดได้เหมือนกันว่า Store ของผมปลอดภัยที่สุด)
เท่าที่อ่านความคิดเห็นของคุณมา คุณอยากจะแสดง Point ว่า Apple กำลังถูกเลือกปฏิบัติ แต่กลับจั่วหัวมาว่า Apple หารายได้จากการขายความปลอดภัยให้ลูกค้า แล้วคือการปิดไม่ให้คนอื่นเข้ามาแข่งขันคือความปลอดภัยเหรอ ทั้งที่มี Infra อื่น ๆ ที่ทำมาเหมือนกันแล้วไม่ได้มีปัญหาอะไร ไม่มีสถิติมาอ้างอิงว่าการปิดไม่ให้เข้ามาแข่งขันจะทำให้ระบบปลอดภัยขึ้น แล้วการถูกเลือกปฏิบัติมันเกี่ยวอะไรกับประเด็นนี้ ผมงงกับคุณสุด ๆ ว่าอยากจะแสดง Point อะไรกันแน่ เอาสักเรื่องให้ชัด ๆ ไม่ต้องชักแม่น้ำทั้งห้า
และไม่ต้องห่วงว่าผมจะขี้เกียจเถียง (แต่ใช่ ผมขี้เกียจอธิบายแล้ว) ผมมีเวลาว่างเยอะแยะเพราะหมดช่วงงานพอดี ถ้า Reply เหลือผมก็ยินดีจะเถียงด้วยทั้งวันเลย :)
สมมติว่าถ้า Apple ขึ้นค่าธรรมเนียมส่วนแบ่ง จนทำให้ App ทั้งหลายต้องปรับขึ้นราคาตาม นั่นหมายความว่า 16% นั้นต้องมีรายจ่ายเพิ่มขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ (ไม่ว่าจะแอปที่แพงขึ้นหรือซื้อมือถือเครื่องใหม่ก็ตาม) ส่วนตัวผมมองว่ามันไม่ใช่น้อยๆเลยนะครับ
นี่ยังไม่รวมถึงบาง App ที่ปรับราคาขึ้นทั้งหมดเพื่อมาถัวเฉลี่ยกันหรือผลกระทบต่อบริษัทและพนักงานที่ให้บริการ App นะครับ แต่ผมไม่เก่งพอจะวิเคราะห์ผลกระทบตรงนี้ได้ ก็ขอละไว้ละกัน แต่ 16% ข้างบนผมก็มองว่าไม่น้อยแล้ว
ส่วนเรื่องความปลอดภัย ทางเลือกมันไม่ได้มีแค่ "ปิดหมด" กับ "เปิดหมด" นะครับ มันยังมีตรงกลางที่ยังพอเปิดให้แข่งขันและรักษาความปลอดภัยได้อยู่ เช่น การเปิดให้ลงเฉพาะ Store ที่ได้รับการรับรองเท่านั้น อะไรแบบนี้ (ซึ่งนี่คือสิ่งที่ Apple ทำใน EU แล้วก็ไม่มีใครว่าอะไร คนส่วนใหญ่เข้าใจได้ว่านี่คือตรงกลางระหว่างความปลอดภัยกับการแข่งขัน)
แล้วก็ตลาดในอดีตกับปัจจุบันก็ไม่ได้เหมือนกันนะครับ อะไรที่สามารถทำได้ในอดีตไม่ได้แปลว่าจะทำได้ในปัจจุบันหรืออนาคตครับ ถึงจำเป็นต้องออกกฎหมายนี้มาเพื่อสนับสนุนการแข่งขันในอนาคตไงครับ
ตรวจพบคนเถียงสู้มือ 1 อัตรา