บริษัทวิจัยตลาด Nielsen สำรวจข้อมูลผู้บริโภคตลาดสมาร์ทโฟนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบว่าผู้ตอบแบบสำรวจ 24% ตอบว่ามีสมาร์ทโฟนแล้ว ซึ่งเพิ่มมาจาก 21% ในช่วงต้นปี 2010
ประเทศที่มีสมาร์ทโฟนมากที่สุดคือสิงคโปร์ 47% ส่วนประเทศไทย ไม่ระบุข้อมูลว่ามีสมาร์ทโฟนเท่าไร (อยากรู้ต้องจ่ายเงินซื้อรายงานฉบับเต็ม) แต่บอกว่าอัตราการเติบโตสูงที่สุดในภูมิภาค โตขึ้น 47% จากเดิม
คำถามต่อไปคือถามว่า ในอีก 12 เดือนข้างหน้าคุณจะซื้อสมาร์ทโฟนหรือไม่ ซึ่งผู้ตอบแบบสอบถามจากประเทศไทย 47% ตอบว่าซื้อแน่นอน/น่าจะซื้อ (สูงสุดในภูมิภาคคืออินโดนีเซีย 51%)
กิจกรรมที่ทำมากที่สุดบนสมาร์ทโฟนคือ SMS (92%) ตามด้วยการใช้อินเทอร์เน็ต (50%)
สมาร์ทโฟนที่เป็นเจ้าตลาดแถวนี้ยังเป็น Symbian 58% (โดยเป็นแชมป์ในอินโดนีเซีย เวียดนาม ไทย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์) ส่วน iOS มาอันดับสอง 37% (เป็นแชมป์ในสิงคโปร์) BlackBerry 20%, Windows Mobile/Phone 18% และ Android 16%
ที่มา - Nielsen
Comments
ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นประเทศเดียวกันกับประเทศที่ 3G เลื่อนแล้วเลื่อนอีก
มันไม่ง่ายเลยที่จะทำ GIF ให้มีขนาดน้อยกว่า 20kB
สอดคล้องกับคำพูดของศาลที่ตัดสินเป่าครับ ผมแซวเฉยๆ
เดี๋ยวรอ 10G
^
^
that's just my two cents.
ถ้ามี 3G นี่ อาจจะพุ่งได้อีกนะเนี่ย
ถึงจะเป็นถนนลูกรัง แต่ก็ชอบใช้รถหรู
+1 ได้ใจครับ
ผมว่าไทยจะได้ใช้ 3G ตอนญี่ปุ่นมีกัมดั้มขับไปดาวอังคารครับ :D
มันไม่ง่ายเลยที่จะทำ GIF ให้มีขนาดน้อยกว่า 20kB
...
ตกใจว่าใช้ sms กันเยอะขนาดนั้นเลยเหรอ - -"
92% sms, 50% internet
ตัวเลขนี้บอกถึงมีการใช้อย่างน้อย 1 ครั้งใน 30 วัน ครับ
...
Android ทำไมน้อยจัง
คนไท บ้ายีห้อ ไม่ชอบฟรี ชอบตามกระแส...(นิสัยบ้างคนมีเงินอย่างเด่วซื้อไม่ได้หรอ.)
อะไรฟรีหรอ ผมเห็นก็ต้องซื้อมาทั้งนั้น
+1 ฮะ 555 ฮาดี
สนับสนุน อะไรที่ใช่ อะไรที่พอเพียง อย่าตามกระแสให้มาก
บอกไม่ได้ครับ ต้องดูเทรนด์ (กราฟ) ประกอบด้วยว่ามีอัตราการเพิ่มเท่าไร
ทำไมมีแต่เลข 47 > <
สงสัยเรื่อง sms มากกว่า
มี สมาทโฟน มักจะใช้ แชต rss web FB กันมากกว่านะ ไม่ค่อยเอามาส่ง sms เท่าไร
หรือว่าไปเจอกลุ่ม TrueAF TGT
ผม text บ่อยกว่าเดิมเยอะเลยนะครับ ตั้งแต่ใช้สมาร์ทโฟนเนี่ย (เพราะพิมพ์ง่ายกว่า Feature phone เครื่องเดิมที่มี)
+1
Smartphone พิมพ์ง่ายกว่ามากๆ เลยทำให้ส่ง SMS บ่อยขึ้นด้วย
แต่เรื่องผลสำรวจนี่ สำหรับผม ผมใช้อินเทอร์เน็ตมากกว่าส่ง SMS นะ
+1 ถ้าปลายทางใช้ push e-mail ผมก็จะส่งเป็นเมลอยู่หรอกครับ แต่ปัญหาคือหาคนใช้ด้วยไม่ได้ก็เลยอยู่กับ SMS ต่อไป
คนสิงคโปร์ใช้ iPhone กันเยอะจริงๆ ครับ (iPhone 4 ด้วย) แล้วไม่ได้เยอะธรรมดาแต่ใช้กัน "แทบทุกคน" เรียกโทรศัพท์มือถือแห่งชาติเลยก็ได้ เห็นข้อมูลนี้ไม่แปลกใจเลย
ส่วนบ้านเรา ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะลบทัศนคติว่ามือถือเป็นของฟุ่มเฟือย-ไร้สาระไปได้นะ ไม่งั้นโทรศัพท์ Smartphone โตกว่านี้อีก เพราะถ้าตัดอคติออกแล้ว ของพวกนี้มันเป็นอุปกรณ์พกพาที่มีประโยชน์กับชีวิตมากถ้าใช้เป็น (ถึงจะซื้อมาเล่นเกม มาแชท มันก็เป็นความบันเทิงคลายเครียด ติดต่อสื่อสารในสังคม ถ้าเอามาใช้ให้คุ้มผมก็ไม่เคยมองว่ามันไร้สาระหรือตามกระแสเลย)
แต่จริงๆ บ้านเรายังถือว่ารีดศักยภาพ Smartphone ออกมาได้ไม่เต็มที่ เพราะติดที่ 3G นั่นแหละ ถ้าบ้านเรามีคลื่น 2100 ใช้ก็คงจะมีคอนเทนท์และเซอร์วิสอีกมากมายที่ดูมีประโยชน์กับชีวิตจริงจนคนทั่วไปเห็นความสำคัญได้
ปล. เคยบ่นๆ เรื่อง CAT ขัดขาประมูล 3G ใน facebook แล้วก็มีพี่ที่รู้จักห่างๆ คนนึงมา reply ว่าประเทศไทยจะเอาเทคโนโลยีทันสมัยไปทำไม จะเอาอะไรเร็วๆ ล้ำโลกไปทำไม ในเมื่อจิตใจของคนยังไม่ยกระดับตามเทคโนโลยีไปด้วย
ผมอ่านแล้ว...จุกครับ นี่แหละทัศนคติและตรรกะแบบไทยแท้ๆ เลย
ตอบกลับตรง ปล. นี้ก็เป็นนิสัยอีกอย่างของคนไทย "ชอบดูถูกคนบ้านเดียวกัน ชอบคิดแทนคนอื่นเสมอ"
+๑
เห็นตรรกประเภทใน ปล. นี้ผมก็สงสัยว่าต้องรอนิพพานกันยกประเทศถึงจะมีสิทธิ์ได้ใช้สามจีกันหรืออย่างไร
คืองี้ครับ ที่สิงค์โปร์น่ะ เค้าเหมือนอเมริกา ตรงที่ว่ามือถือทำตลาดร่วมกับผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ คือที่นั่นเป็น talk/data plan ครับ ผูกกันเลย 12/24 เดือน ใช้ 3G ได้เดือนละกี่ G (ใช่... G พิมพ์ไม่ผิด) แล้วจะได้สิทธิ์ในการซื้อโทรศัพท์รุ่นใหม่ๆในราคาถูกมากๆ คือ 0-200 เหรียญ แต่เครื่องเปล่าราคา 600-900 เหรียญ
แถมจะซื้อ talk/data plan ถ้าจะไม่ใช้สิทธิ์ เค้าก็ไม่ลดราคาให้ ดังนั้นทำให้ลูกค้ามักจะเปลี่ยนโทรศัพท์มือถือเป็นรุ่นใหม่ๆ เมื่อตอนหมด data plan ครับ
ทำให้ที่นั้น เกือบ 70% ของโทรศัทพ์มือถือ เห็นถือ iPhone กันเยอะมาก เรียกว่าหูฟังขาวกันเยอะมากๆ มีรุ่นๆอื่นๆบ้าง หลังๆก็จะมีโทรศัพท์รุ่นใหม่ๆ เช่น Arc, Galaxy S, Galaxy Tab กันบ้าง
ผมว่า ให้มีถนนก่อนสิ เดี๋ยวคนก็คิดออกกันเองว่าจะใช้อย่างไร ไม่ใช่ไม่อนุญาตให้ ตัดถนนเพิ่ม ไม่ขยายถนน เพราะไม่เห็นการใช้งาน
ไม่ใช่ไม่อนุญาตให้ ตัดถนนเพิ่ม ไม่ขยายถนน เพราะไม่เห็นการใช้งาน ^^
ไม่ใช่ไม่อนุญาตให้ ตัดถนนเพิ่ม ไม่ขยายถนน เพราะไม่เห็นลู่ทาง (รับ-ปะ-ทาน).
โอ่ ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ เป็นความรู้ใหม่ ^^
ใจนึงผมชอบแบบติดสัญญาเหมือนกันนะ (ถ้าค่าเครื่องถูกได้มากๆ แบบอเมริกา) เพราะว่ายังไงเราก็ต้องจ่ายค่าโทร-ค่า data แบบเหมาอยู่แล้ว ก็เท่ากับได้เครื่องถูกด้วยโดยแลกกับสัญญาการใช้งานเป็นปี-สองปี (คำนวณแล้วก็ถือว่าคุ้ม) ..แต่สำหรับเมืองไทย ออกมาในลักษณะแบบนี้ก็ดีครับคือเสรีทุกอย่าง เลือกได้ตามชอบ แต่ต้องเก็บเงินก้อนซื้อมือถือเองซึ่งจากตรงนี้ทำให้ตลาดมือถือเมืองไทยมันหลากหลายมาก พวก local brand ก็เลยมีโอกาสได้เกิดด้วย
ส่วนเรื่องพี่คนนั้น อยากบอกว่าผมก็ reply โดยอธิบายโดยยกตัวอย่างเรื่องถนนนั่นล่ะครับ :D ก็เลยเปรียบว่า เมื่อก่อนหมู่บ้านนึงทางเข้าเมืองเป็นถนนลูกรังสองเลน ความเจริญ-การแพทย์ก็เข้าไม่ค่อยถึง คุณภาพชีวิตของคนในหมู่บ้านนั้นก็เลยเหลื่อมล้ำกับคนในเมืองหลวงไปด้วย แต่พอทำเป็นถนนคอนกรีตสี่เลน ความเจริญและคุณภาพชีวิตของคนในหมู่บ้านนั้นก็ทัดเทียมกับคนในเมืองหลวงมากขึ้นและช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม ซึ่งกลับมาพูดถึง 3G มันก็ช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล (digital divide) ได้จริงๆ แหละ ประเด็นนี้ชัดเจน ถ้าใช้ถูกทางก็เพิ่มโอกาสทางสังคมและการศึกษาได้ ไม่ดีตรงไหน (ตอกไปอีกหน่อยด้วยว่า ส่วนเรื่องจิตใจของคนน่ะ มันมีปัจจัยอื่นๆ ที่หล่อหลอมอีกเยอะ จะลากไปเกี่ยวกับเทคโนโลยีได้ยังไง -"-)
พี่คนนั้นก็ตอบมาอีก คราวนี้ก็เลยบรรลุแล้วครับว่าไม่ต้องไปตอบโต้อะไรอีก :D --> "ถนนสี่เลนดีตรงไหน ถามคนบ้านนอก เค้าต้องการแค่สองเลนก็หรูแล้ว สี่เลนมีตายทุกวัน" จบครับ !
(ข้อเท็จจริงคือ มีงานวิจัยรองรับมากมายว่าถนนแบบสี่เลนมีความปลอดภัยสูงกว่าถนนแบบสองเลน หรือไม่ต้องอ้างงานวิจัยก็ได้ แค่โดย common sense ก็พอจะนึกภาพออกได้ครับ)
เรื่องติดสัญญา ผมว่ามันทำได้เพราะค่ารายเดือนที่อเมริกามันแพงโคตรด้วยแหละครับ
ถ้าทำแบบเดียวกันในเมืองไทยค่าโทรศัพท์คงต้องแพงขึ้นอีก หรือไม่ก็อาจต้องติดสัญญา 4-5 ปีไปเลย
กรณีเมืองไทย ส่วนตัวมองว่าพอเป็นไปได้นะครับ อย่างตอน Hutch เข้ามาใหม่ๆ คนนิยมกันล้นหลาม (แต่คนที่ยังไม่ชินก็เยอะ) หรือตอน True Move นำ iPhone 3G เข้ามาครั้งแรกที่จำได้ดี (เพราะฝึกงานที่ True :P) ตอนนั้นมีให้เลือกทั้งแบบติดสัญญาและเครื่องเปล่าเหมือนกัน และราคาแบบติดสัญญานั้นพอรับได้ด้วยนะครับ (1,500 บาท x 24 เดือน) หรือจะเลือกเป็นจ่ายค่าเครื่องเพิ่มขึ้นก็ได้เพื่อแลกกับสัญญารายเดือนที่ถูกลง
แต่หลังๆ การขายโทรศัพท์แบบติดสัญญาแทบจะหายไปหมดแล้ว เคยอ่านแบบผ่านๆ ว่าติดข้อกำหนดซักอย่างของเมืองไทยนี่ล่ะครับที่ทำให้การขายแบบนี้มันลำบากจนต้องล้มเลิกกันไปหมด และอีกอย่างคนไทยชินกับการซื้อเครื่องเปล่า + ซิมมากกว่า เห็นพักหลังๆ เขาหันไปทำตลาดแบบซื้อมือถือผ่อน 0% 10 เดือนประมาณนี้กันหมด แถมฟรีแพคเกจราคาพิเศษ ซึ่งแบบนี้ลูกค้าเองก็แฮปปี้ด้วยล่ะ
จริงๆตอน true นั่นผมเคยคิดๆดูแล้ว ราคาถูกกว่าซื้อไม่ติดโปรแค่นิดเดียวเองนะ แต่ถ้าถามผมผมก็อยากให้มีทั้ง 2 แบบอยู่ดีล่ะครับจะได้เป็นทางเลือก
ผมว่าฟุ่มเพื่อยสิ ถ้าซื้อมาแล้วใช้มันไม่คุ้มค่า 2xxxx ซื้อเพราะเห็นคนอื่นซื้อเอามาอวดชาวบ้านเพราะใช้เงินเป็นอย่างเดียว
จะให้ชาวบ้านขายข้าวขายผักเอาเงินมาซื้อก็ใช่เรื่องเค้ามองว่ามันคือของ ฟุ่มเฟือย-ไร้สาระ ผมว่าผมมีลูกผมก็คงสอนเค้าแบบนี้นะให้รู้จักใช้เงิน ผมไม่รวยและผมคงไม่สอนให้ลูกซื้อ iphone แน่เพราะผมแค่พอมีพอกิน หรือ คุณไม่ ผมจะดูความต้องการผมและเลือกซื้อมันในราคาที่เหมาะสม และคนส่วนใหญ่คิดแบบนั้นก็ไม่แปลกและผมก็ว่าไม่ผิดด้วยเพราะคนส่วนใหญ่ในประเทศใม่ใด้มีถานะรวยนิ ปลูกข้าว เลียงไก่ เลียงหมู นำท่วม เป็นโรค มาซื้อของพวกนี้เหลอ หรือ พอขายใด้ก็ส่งเงินมาให้ลูกที่เรียนอยู่มาซื้อของพวกนี้ ผมว่ามันแย่นะ มันเหมาะกับคนที่ต้องการใช้มันจริงๆหรือคนรวยเท่านั้นแหละ และอีกอย่างของพวกนี้ประเทศเราไม่สามารถผลิตใด้ และมันยังไม่จำเป็นสำหรับคนส่วนใหญ่ในประเทศเราในตอนนี้ ไม่คงไม่ตายหลอกมั้งถ้าขายมือถือราคาแพง เพราะคนไทยอยู่อย่างพอเพียงใด้
และ 3G กับสัศนะคติคนไทยมันคนละเรื่องกัน คุณอย่าเอาคนๆบางคนที่มาโพสมาตัดสินดีกว่า เพราะบัญหา 3G มันไม่เกียวกัน มันเป็นปัญหาของผลประโยชมากกว่า บางทีคนที่โพสอาจเป็นหน้ัาม้าก็ใด้
มีคำถามขอถามคุณว่า คนไทย ขายข้าวขายผัก ปลูกข้าว เลี้ยงไก่ เลี้ยงหมู กันทุกคนหรือเปล่าครับ?
ในทรรศนะของคุณ คุณมองว่าคนไทย ถ้าไม่จน ก็รวยไปเลยเท่านั้นหรือครับ? ถ้าไม่รวย ก็ต้องขายผักขายปลาอย่างนั้นหรือ?
และอีกคำถามว่า ทุกคนที่ซื้อ iPhone หรือมือถือราคา 2XXXX ซื้อเพราะเห็นคนอื่นซื้อเอามาอวดชาวบ้านกันหมดหรือเปล่าครับ?
เท่าที่เคยศึกษามา (เป็นวิชาบังคับในมหา'ลัย) ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โดยหลักการแล้วไม่ได้หมายความว่าต้องใช้ชีวิตอย่างประหยัด ต้องทำตัวอัตคัด หรือห้ามใช้ของหรูหราราคาแพงนะครับ ถ้าใครเข้าใจแบบนั้นคุณเข้าใจปรัชญานี้ผิดแล้วล่ะ แต่หลักการที่แท้จริงพอสรุปโดยคร่าวคือ เราต้องรู้จักฐานะตนเอง มีเหตุผลและมีภูมิคุ้มกัน ถ้าใครมีเงินน้อยก็ใช้น้อยเท่าที่มี ถ้าใครมีเงินมากก็ใช้มากได้เท่าที่มี ถ้าใครมีเงินมากพอที่จะซื้อของหรูหราราคาแพงที่ไม่เกินกำลังตนเองก็ซื้อได้ ถ้าซื้อแล้วมีความสุข-ซื้อแล้วไม่เดือดร้อนก็ถือเป็นความพอเพียง แต่หากมีน้อยแล้วอยากใช้มาก มีน้อยแต่ใช้เงินเกินตัว เกินกำลังตนเอง ใช้เงินไม่ระมัดระวัง ไม่รู้จักตนเอง ไม่มีภูมิคุ้มกัน จนต้องติดหนี้สินล้นพ้นตัว อันนี้ถือว่าชีวิตเดือดร้อน-ไม่มีความสุขและไม่พอเพียงนั่นเองครับ สรุปเป็นคำสั้นๆ คือ "ใช้ให้พอดีกับตนเอง" นั่นดูจะชัดเจนที่สุด
ทัศนคติของผม ถ้าคุณซื้อของใดๆ (แม้จะมีราคาสูง)ได้โดยที่คุณไม่เดือดร้อนทางการเงิน และคุณซื้อมาใช้ได้อย่างคุ้มค่าตามคุณสมบัติของมัน (แม้จะเป็นเรื่องความบันเทิงก็ตาม..ถือเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิต) ก็ถือว่าคุณได้ลงทุนอย่างเป็นประโยชน์แล้ว อันที่จริงอย่างโทรศัพท์มือถือนั้นเป็นประโยชน์ต่อชีวิตประจำวันมากมายที่ไม่ใช่แค่โทรเข้าโทรออกถ้าเราใช้มันเป็น ลองมองประโยชน์ของมือถือรอบตัวแล้วสกัดออกมา (ตัวอย่างเช่น ติดตามข่าวสาร-ข้อมูล ทำธุรกรรมบนอินเทอร์เน็ต ดูแผนที่กันหลงป่า นาฬิกาปลุก แอพสอนทำกับข้าว ค้นหาบริการ ติดต่อกับเพื่อน ส่งข้อความไปเล่าข่าวกับรายการทีวี นักศึกษาโหลด VOD เลคเชอร์ย้อนหลังมาดูซ้ำเพื่อทบทวนบทเรียน ฯลฯ) จะพบว่า มันช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับเราโดยที่บางสิ่งเราอาจไม่รู้ตัวจริงๆ
แต่ถ้าจะว่าประโยชน์แบบเน้นๆ เลยเนี่ย อุปกรณ์เหล่านี้กับเรื่องการศึกษามันไปด้วยกันได้ดีมากเลยนะครับ ลองจินตนาการว่าถ้าเราให้ tablet หรือ smartphone ให้เด็กคนละเครื่อง โดยที่มีคอนเทนท์ทางการศึกษาที่มีประโยชน์ให้กับเขา ให้เขาได้เรียนรู้นอกห้องเรียนได้ตลอดเวลาที่เขาต้องการ มีการทบทวนหลังการเรียน มีเกมฝึกสมอง ฝึกทักษะ มีการสอนเนื้อหาความรู้แบบที่ไม่ทำให้เขาเบื่อบนอุปกรณ์พวกนี้ เด็กๆ เขาก็จะใฝ่รู้และเรียนรู้ได้ตลอดเวลา ไม่ต้องหมกอยู่แค่ในห้องเรียน แถมข้อเด่นของอุปกรณ์พวกนี้คือมันสื่อสารได้ เด็กๆ จะไปค้นวิกิ ค้นกูเกิลอะไรได้ตลอด คุณครูก็จะติดตามเด็กๆ นักเรียนเหล่านี้ได้ง่ายขึ้น เด็กๆ ก็จะคุยกันเองได้เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ แบ่งปันความรู้กัน คุยกันมากขึ้น และทำให้เด็กเรียนรู้สังคมมากขึ้น ลองจินตนาการดูว่าถ้าเด็กๆ ในอนาคตเรียนรู้กันแบบนี้ โลกเรามันจะเจ๋งแค่ไหน
สิ่งเหล่านี้อาจไม่เห็นภาพในปัจจุบัน หรืออาจจะมองแบบทัศนคติในปัจจุบันแล้วไม่เห็น แต่ให้ลบภาพไป แล้วมองไปไกลๆ มองอย่างมีความหวัง คุณจะเห็นอะไรที่มันน่าสนใจครับ เพียงแต่เราต้องรู้จักใช้ของเหล่านี้ให้เป็น ให้เกิดประโยชน์ มองข้ามว่ามันเป็นของฟุ่มเฟือย-ไร้สาระอย่างมีอคติแบบนั้นไปซะ แล้วมองว่าเราจะใช้ประโยชน์จากมันอย่างสูงสุดยังไงดีกว่า
ส่วนเรื่องประเด็นปัญหา 3G นั่นเป็นเรื่องของผลประโยชน์แน่นอนครับ ทุกคนทราบกันดีและผมก็ไม่ได้ลากเป็นประเด็นเดียวกับทัศนคติคนไทย (ผมเชื่อมสองเรื่องโดยมีความว่า การที่ทัศนคติของหลายๆ คนยังไม่เห็นความสำคัญของ Smartphone นั้นอาจเป็นเพราะยังไม่มีเซอร์วิสและคอนเทนท์ที่มีประโยชน์ต่อชีวิตประจำวันมากพอ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเติบโตได้จำเป็นต้องมีอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงซึ่งก็คือ 3G นั่นเอง ถ้า 3G มาเมื่อไหร่เชื่อว่าเราคงได้เห็นบริการและแหล่งทรัพยากรต่างๆ ที่เป็นประโยชน์กับชีวิตประจำวันมากขึ้นอีกเยอะ คนทั่วประเทศจะเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้อีกมาก ลดความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล เอื้อต่อการศึกษาทางไกล ฯลฯ คือมันต้องมีช่องทางให้ก่อน แล้วสิ่งต่างๆ เหล่านี้มันจะตามมาเอง)
แต่ทั้งนี้เราอาจจะมองกันในสภาพแวดล้อมที่ต่างกันก็ได้ครับ อย่างมุมมองของผมก็มองออกมาจากสังคมที่ผมอาศัยอยู่ตอนนี้ครับ
ยังไงก็แลกเปลี่ยนทัศนคติกันได้ครับ ยินดีที่ได้ร่วมสนทนา :)
ปล. เดี๋ยวหาว่าเป็นพวกวัตถุนิยม เพราะทุกวันนี้ผมใช้มือถือเครื่องละหกพันเก้าเองครับ
คำถาม คนไทย ขายข้าวขายผัก ปลูกข้าว เลี้ยงไก่ เลี้ยงหมู กันทุกคนหรือเปล่าครับ?
ตอบ ไม่ เหมือนที่คุณบอกว่า คนไทยมีทัศนคติที่ผิดๆ ซึ่งคนไทยส่วนใหญ่มีอาชีพดังตัวอย่าง และเป็นกลุ่มคนที่ผมอ้างถึง เช่น จะให้ชาวบ้านขายข้าวขายผักเอาเงินมาซื้อก็ใช่เรื่อง
คำถาม ในทรรศนะของคุณ คุณมองว่าคนไทย ถ้าไม่จน ก็รวยไปเลยเท่านั้นหรือครับ?
ตอบไม่ เพราะผมไม่ใด้แบ่งแยกและเป็นสัดส่วนอย่างชัดเจนแต่ผมหมายถึงประชากรณ์ส่วนใหญ่ที่เรียกว่าคนไทย คิดไปเองแล้ว
คำถาม ทุกคนที่ซื้อ iPhone หรือมือถือราคา 2XXXX ซื้อเพราะเห็นคนอื่นซื้อเอามาอวดชาวบ้านกันหมดหรือเปล่าครับ?
ตอบ ผมใด้อะธิบายใว้อย่างชัดเจนแล้วว่า "ถ้าซื้อมาแล้วใช้มันไม่คุ้มค่า 2xxxx ซื้อเพราะเห็นคนอื่นซื้อเอามาอวด" ดังนั้นในประโชคก็บอกอยู่แล้วว่า ถ้า แล้วคนเหล่านี้ก็มีในสังคนและประโยคแสดงให้เห็นถึงคนบางกลุ่ม เช่นที่เคยเจอที่ไม่ใช่คนรู้จักอยู่ในรถไฟเอามือถือราคาแพงมาเปิดเสียงดัง เป็นต้น
"สรุปเป็นคำสั้นๆ คือ "ใช้ให้พอดีกับตนเอง" นั่นดูจะชัดเจนที่สุด" ผมอะธิบายแล้ว "ผมจะดูความต้องการผมและเลือกซื้อมันในราคาที่เหมาะสม" ราคาที่เหมาะสมคืออะไรก็น่าจะรู้
"ถ้าคุณซื้อของใดๆ (แม้จะมีราคาสูง)ได้โดยที่คุณไม่เดือดร้อนทางการเงิน" 2xxxx และชิวๆนี่ผมเรียกว่ารวยและคนที่ผมอ้างอิงถึงก็คิดเช่นนั้น
"และคุณซื้อมาใช้ได้อย่างคุ้มค่าตามคุณสมบัติของมัน (แม้จะเป็นเรื่องความบันเทิงก็ตาม..ถือเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิต) ก็ถือว่าคุณได้ลงทุนอย่างเป็นประโยชน์แล้ว" อธิบายไปแล้วในประโชคว่า "มันเหมาะกับคนที่ต้องการใช้มันจริงๆ"
จากที่คุณพิมพ์ใว้
แต่ถ้าจะว่าประโยชน์แบบเน้นๆ เลยเนี่ย อุปกรณ์เหล่านี้กับเรื่องการศึกษามันไปด้วยกันได้ดีมากเลยนะครับ ลองจินตนาการว่าถ้าเราให้ tablet หรือ smartphone ให้เด็กคนละเครื่อง โดยที่มีคอนเทนท์ทางการศึกษาที่มีประโยชน์ให้กับเขา ให้เขาได้เรียนรู้นอกห้องเรียนได้ตลอดเวลาที่เขาต้องการ มีการทบทวนหลังการเรียน มีเกมฝึกสมอง ฝึกทักษะ มีการสอนเนื้อหาความรู้แบบที่ไม่ทำให้เขาเบื่อบนอุปกรณ์พวกนี้ เด็กๆ เขาก็จะใฝ่รู้และเรียนรู้ได้ตลอดเวลา ไม่ต้องหมกอยู่แค่ในห้องเรียน แถมข้อเด่นของอุปกรณ์พวกนี้คือมันสื่อสารได้ เด็กๆ จะไปค้นวิกิ ค้นกูเกิลอะไรได้ตลอด คุณครูก็จะติดตามเด็กๆ นักเรียนเหล่านี้ได้ง่ายขึ้น เด็กๆ ก็จะคุยกันเองได้เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ แบ่งปันความรู้กัน คุยกันมากขึ้น และทำให้เด็กเรียนรู้สังคมมากขึ้น ลองจินตนาการดูว่าถ้าเด็กๆ ในอนาคตเรียนรู้กันแบบนี้ โลกเรามันจะเจ๋งแค่ไหน
มันก็เป็นเรื่องจริงแต่ผมหมายถึงมือถือราคาแพง อย่างตัวอย่างที่คุณยกใว้
" คนสิงคโปร์ใช้ iPhone กันเยอะจริงๆ ครับ (iPhone 4 ด้วย) แล้วไม่ได้เยอะธรรมดาแต่ใช้กัน "แทบทุกคน" เรียกโทรศัพท์มือถือแห่งชาติเลยก็ได้ "
ทำให้ผมคิดแบบนั้น ซึ้งถ้าเอามาให้เด็กใช้ก็ควรเป็น teblet หรือ netbook ราคาถูกไม่เกิน 6000 ไม่ให้ใช้ของเกินตัวและในปัจจุบันบางโรงเรียนก็เริ่มแล้ว ซึ่งถ้าราคาไม่มากเกินไปก็ไม่มีใครเรียกว่าของพุ่มเฟีอยหลอกนอกจากราคาจะแพง
เพื่อนและญาติผมที่ไม่ค่อยรู้เรื่อง ไอที ซื้อ Smart Phone มา บอกต่อเน็ทแพง กันเป็นแถวเลย T-T ต้องดิ้นลนหา Wifi
เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง และก็จะจริงมากขึ้นเรื่อยๆ
อยากให้คนที่จะซื้อสมาทโฟน ใจเย็นๆ หน่อย อยากให้รอดู MeeGo เป็นทางเลือก ไกล้จะคลอดแล้ว
ปัญหาคือทีมพัฒนาครับ มีใครหนุนหลังเท่าไหร่
47 เกือบถูกละ แต่มันออก 46
ซ้ำครับ
ป.ล. กดครั้งเดียว
เมื่อไร 3G จะหลุดกรอบกรุงเทพฯ
ปริมลฑลประปราย
กระยอมต่างจังหวัดเป็นจุดๆ
โครงข่ายแถวนี้ไม่แปลกใจสำหรับ SMS
อ่อ ไม่อยากเห็นสมาร์ทโฟนโตด้วยการฮั้วแบบน่าเกลียด(ไม่เนียน) วิธีงามๆก็มีไม่ต้องไปแอบๆ...