ไมโครซอฟท์เปิดแคมเปญ Keep the Cash ส่งเสริมการพัฒนาแอพบน Windows 8 และ Windows Phone 8 โดยนักพัฒนาแอพจะได้รับเงินสดตอบแทนมูลค่า 100 ดอลลาร์ต่อแอพ (สูงสุดอย่างละ 10 แอพสำหรับแต่ละแพลตฟอร์ม นั่นคือนักพัฒนาหนึ่งคนสามารถหาเงินได้จากไมโครซอฟท์ 2,000 ดอลลาร์)
กระบวนการสมัครคือส่งแอพขึ้น Windows Store หรือ Windows Phone Store ภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2013 จากนั้นก็ยื่นขอรับเงินไปทางไมโครซอฟท์ (จ่ายเป็นเครดิตของบัตร Visa) มีจำกัดที่ 10,000 แอพแรกเท่านั้น และแคมเปญนี้จำกัดเฉพาะนักพัฒนาในสหรัฐเท่านั้น
ถึงแม้จำนวนเงิน 100 ดอลลาร์ต่อแอพอาจถือว่าไม่เยอะจนเลี้ยงตัวได้ แต่การจ่ายเงินครั้งนี้อาจเป็นสัญญาณว่าไมโครซอฟท์กำลังเริ่มเจอปัญหาเรื่องจำนวนแอพบน Windows 8/Windows Phone หรือเปล่า?
Comments
คนต่างชาติหมดสิทธิ์ :P
เหมือนจ้างทำแอพ แอพละ 3,000 บาท แต่ถ้าแอพขายได้อีก ก็ได้เงินเพิ่มอีก
Dream high, work hard.
M$ Style
Coder | Designer | Thinker | Blogger
จบ
ก็จะได้แต่แอพไม่ดี เพราะคนก็ทำๆอัพๆขึ้น ให้ได้ 20 แอพเอาตังแบบนี้เร็วกว่ารอขายได้แอพไม่ต้องดีด้วย
ข่าวนี้คือวิธีของ MS ที่จะแก้ไขปัญหา ecosystem ที่ตามหลังคู่แข่งอยู่เรื่องจำนวน app (ถ้าทำอย่างต่อเนื่อง ก็จะแก้ปัญหาได้เปราะหนึ่ง) แต่อีกขาหนึ่งที่ดูทีท่าจะแก้ปัญหาได้ยากคือ market share (ถ้าเร่ง market share ไม่ได้พร้อมกับจำนวน app ecosystem ก็ไม่เกิดครับ) market share ขั้นต่ำที่ต้องทำให้ได้ น่าจะอยู่ที่ 20% ถ้าทำไม่ได้ ก็เตรียมตัวโดน กลืน
แอพบน Windows 8 นี้หาที่ดีๆยาก ทุกวันนี้ไม่เข้าไปใน Windows Store เลย
ระวังจะมีแต่แอพขยะ
ไม่ต้องระวังครับ ทุกวันนี้ก็มีแต่แอพขยะ
ผมนึกถึง BlackBerry ก่อนเลยที่ใช้โมเดลแบบนี้ (และดูเหมือนว่าจะได้ผลในระดับหนึ่ง) แต่ของ BlackBerry นอกจากไม่จำกัดประเทศแล้ว (ในบาง contest/promotion อ่านะ) ยังแจกเครื่องด้วย
ตอนนี้ผมกำลังนึกว่า ปัญหาของ Windows 8/Windows Phone 8 อย่างหนึ่งอยู่ที่การสมัครหรือขอ Vendor account มันไม่ฟรีและเก็บเป็นรายปี (Google เก็บครั้งเดียวนะครับ ถ้าจำไม่ผิด) คือถ้าจะใช้โมเดลแบบ Apple ก็ต้องมั่นใจว่า platform ตัวเองแข็งพอสมควร คำถามที่ผมชอบถามตัวเองคือ ถ้าสมมติผมอยากเขียนโปรแกรมเล่นๆ แล้วแจกฟรี แบบสมัยก่อนอย่างมากก็ใช้ VS.NET เขียนๆ แล้วแจกจ่าย binary พอ แต่ถ้าจะต้องมาเสียเงินกับ vendor account ปีละ 99 USD (หรือว่า 50 USD? อันนี้ผมจำของ MS ไม่ได้แฮะ) เพื่อแจกโปรแกรมตัวเองฟรี ผมว่าผมไม่เอาด้วย ไป Google น่าจะดีกว่า เพราะ 25 USD ครั้งเดียวก็จบ upfront ไปเลย
แม้ผมอาจจะคิดเชิง economics และค่าใช้จ่ายมากไปหน่อย แต่ผมก็นึกไม่ออกว่าถ้าไมโครซอฟท์เสียจุดขายเรื่องความเปิดตรงนี้ไป จะเป็นยังไงบ้าง (ในแง่การเปิดกว้างกับนักพัฒนาสมัครเล่นนะ)
I'm ordinary man; who desires nothing more than just an ordinary chance to live exactly what he likes and do precisely what he wants.
+1
ปล. ตอบได้สมกับที่บอกว่าคือ.. เด็กรัฐศาสตร์ที่ชอบคอมพิวเตอร์
ที่แย่กว่านั้นคือ บน Android สามารถแจกเป็นไฟล์ apk ได้ด้วย (ไม่ต้องเอาขึ้น Play Store ก้ได้) ในขณะที่บน WP การกระจายแอพมีวิธีเดียวคือเอาขึ้น Store
เห็นด้วยมากครับ ผมเขียนแอนดรอยด์ จ่ายครั้งเดียว แค่ $25 ซัก 750 บาทเองมั้งครับ แล้วได้เขียนแอปเล่น ได้เก็บเป็น Profile ตัวเอง(ยังเป็นนักศึกษา) ไปๆ มาๆ ได้เงินจากค่าโฆษณาเป็นค่าโทรศัพท์มือถือที่ใช้ได้เลย
แต่ถ้าเป็นค่ายอื่น จ่ายรายปี ก็เป็นความเสี่ยงว่า ปีนั้นจะกำไรไหม หรืออย่าง iOS ต้องซื้อเครื่อง จ่ายรายปีอีก iPhone ก็แพง ก็รู้สึกว่านานมากแน่ๆ กว่าจะได้ทุนคืน T^T
ถ้าเขียนลง Windows Phone 8 ก็ต้องซื้อ Windows 8 (+Visual Studio ถ้าจะใช้ตัวโปร) ส่วนถ้าจะเขียนลง iOS ก็ต้องซื้อ Mac
ผมเห็นด้วยว่ามันเป็นภาระสำหรับนักศึกษาแน่ ๆ ล่ะครับ ขนาดคนมีรายได้แล้วอย่างผมยังไม่อยากเสียเงินซื้อเลย 555
ลองไปคุ้ยมาเพิ่ม.. สำหรับกลุ่มแวดวงการศึกษา ถ้าสมัคร DreamSpark นี่เหมือนจะฟรีทั้งยวง
ส่วนกลุ่มอินดี้นี่ซวยต่อไป หรืออีกทางคือพยายามสมัคร BizSpark ให้ได้ (ซึ่งจะว่าไปแล้วมันสมัครง่ายอยู่เหมือนกัน ลองติดต่อทาง SWP ดู) .. แต่ไงซะ คชจ ของฟาก ms มันไม่ได้หนักไรมากมั้ง (ยกเว้นเรื่องค่าสมาชิกรายปี) เพราะจ่ายแค่ค่า os ส่วนค่าเครื่องคอมมันต้องจ่ายเหมือนกันหมด ซึ่งใครจะทำแอพฟาก ms โดยมากคงใช้ windows ทำอย่างอื่นในชีวิตประจำวันด้วยอยู่แล้ว มันเหมือนไม่ได้จ่ายอะไรส่วนนี้อยู่ดี (ต่างจากฟาก apple ที่เหตุผลหลักของหลายคนคือซื้อมาทำแอพสำหรับ iOS)
หรือถ้าอินดี้แบบไม่ได้ทำไรใหญ่โต มันมี touchdevelop ให้อีกทางเลือกนึง.. และอีกหน่อย web-based ide ของฟาก ms แบบ touchdevelop คงอยู่ในกระแสหลักมากขึ้น เพราะคุ้นๆ ว่ากำลังทำ compiler-as-a-service อยู่แต่ยังไม่เรียบร้อยดี
ในท้ายที่สุด มันก็ไม่ใช่ของที่ "ครั้งเดียวจบ" นะครับ เพราะสมัยก่อนเป็นแบบที่คุณบอกคือจ่ายครั้งเดียวแล้วมัน "จบ" (ไม่นับรวมอัพเดทเวอร์ชั่นใหม่นะครับ อันนั้นเป็นอีกหนึ่งประเด็น) แต่พอมาจะต้องมี Vendor Account แล้วต้องเสียรายปีแบบที่คุณบอก ผมคิดว่ามันไม่ส่งผลดีสำหรับคนเขียนโปรแกรมเป็นงานอดิเรกแน่ๆ ครับ (และคนเหล่านี้ อย่างน้อยในความเชื่อผมนะ คือคนที่มีโอกาสในการสร้างแอพเจ๋งๆ)
ไม่ว่าจะ DreamSpark, BizSpark มันก็ไม่ได้ฟรีตลอดไป ดังนั้นผมก็คิดว่าในท้ายที่สุด ปัญหาที่จะคงอยู่ระยะยาวสำหรับ Microsoft ที่จะต้องตอบคำถามก็ยังคงมีอยู่นั่นก็คือ อะไรทำให้นักพัฒนาสมัครเล่น ต้องยอมจ่ายค่า Vendor Account ปีละ 50-99 USD ต่อปี เพื่อเขียนแอพแจกฟรี? และในท้ายที่สุด Microsoft อาจจะต้องคิดถึงเรื่องความเปิด (openness) ในแง่การลงแอพด้วย
I'm ordinary man; who desires nothing more than just an ordinary chance to live exactly what he likes and do precisely what he wants.
พอดีมีอ้างอิงถึงกรณีของกลุ่มที่อยู่ในแวดวงการศึกษากันเยอะ.. เลยร่วมแชรว่ากลุ่มนี้ไม่น่าได้รับผลกระทบโดยตรง
ส่วนกลุ่มอินดี้คงต้องตามดูต่อไปว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงไรมั้ย.. ปัญหาอาจไม่ใช่เรื่องค่ารายปี แต่คือเรื่องที่ค่ารายปีมันสูง (ปีก่อนเลยตัดใจสมัคร "8 for 8" ไปก่อนทั้งๆ ที่ตอนนั้นยังไม่มี WP เลย ด้วยแอบหวังว่าในช่วงปีนึงนี่โมเดลมันจะยืดหยุ่นมากขึ้น)
สำหรับโมเดลครั้งเดียวจบนี่ มันอาจทำให้เค้าไปไม่รอดเหมือนกัน เพราะเค้ามีค่าใช้จ่ายต่อเนื่อง.. แนวทางกลยุทธ์ของแต่ละเจ้าเค้าต่างกัน ฟาก ms ไม่เคยใจป้ำเลยมีแต่โปรสั้นๆ ปล่อยออกมาตอด ขณะที่ฟากกูเกิลใจป้ำตลอดอย่างเวลาเปิดตัวไรทีนี่ทั้งฟรีทั้งแจกเยอะมาก เข้าใจว่าเพื่อชิง market share ในกลุ่ม mass ซึ่งน่าจะเข้ากับโมเดลรายได้ของกูเกิลที่เข้าใจว่ามาจากเรื่องการขายโฆษณา ส่วนฟาก ms ยุคดั้งเดิมนี่รายได้จากการโฆษณามีสัดส่วนน้อยเลยอาจไม่ค่อยสน market share จากกลุ่ม mass ซักเท่าไหร่ แต่พอตอนนี้ตลาดเปลี่ยนเข้าสู่ยุค consumerization of IT เลยทำฟาก ms เป๋ไปพอควรเนื่องจากโมเดลหลายๆ อย่างมัน conflict กับโมเดลสำหรับการทำตลาดกับกลุ่ม enterprise IT เลยทำให้ต้องใช้เวลานานเพื่อปรับตัวแถมยังเริ่มช้าอีก
ทางออกอาจไม่ใช่การใช้โมเดลแบบจ่ายทีเดียวจบ แต่อาจมาในลักษณะที่โมเดลราคามันยืดหยุ่นกว่านี้.. อาจยังอยู่ในแบบคิดค่าใช้จ่ายตามช่วงเวลา แต่อาจไม่ใช่ทุกคนต้องจ่ายถึงปีละ USD99 อย่างโมเดลที่ใช้อยู่ในตอนนี้
ส่วนตัวมองว่าแม้กลุ่มแอพฟรีจะช่วยเพิ่มความหลากหลายเพิ่มทางเลือก แต่มันทำให้ store รกได้เช่นกัน คงต้องหากลไกเพื่อจัดการเรื่องนี้เพื่อให้ win กันทุกฝ่ายต่อไป.. อย่างของดรอยนี่ หลังๆ ผมไม่ได้ browse/explore ใน store เลย แอพทั้งหลายที่ลงนี่เอาชื่อมาจากข้างนอกทั้งนั้น มีแค่กลุ่ม top หรือ promo ที่แว้บๆ ดูบ้าง
ส่วนเรื่องความเปิดในการลงแอพ.. จากการที่ต้องคอยช่วยดูแลเครื่องให้หลายๆ คน ทำให้ชอบการมีตัวกลางช่วยคัดกรองมากกว่า ส่วนตัวกลางจะคัดกรองได้ดีมั้ยนั่นอีกเรื่อง (ในแง่คนทำแอพเพื่อหารายได้คงชอบเหมือนกันมั้ง หรือว่าใครทำไงกันบ้างในกรณีที่ไม่พึ่งตัวกลาง แต่ไงขอเสริมไว้นิดเผื่อใครไม่ทราบ ตัว WP store นี่ตั้งเองได้นะ คือตั้งแทรกกับ store ของ ms อีกที ทำให้แอพทั้งหลายไม่ต้องไปกองที่ ms หมด ไม่จำเปนต้องโหลดตรงจาก ms)
อย่างที่ผมกล่าวครับ (และก็กล่าวซ้ำ) คือ สมมติผมจะเขียนโปรแกรมเล่นๆ ลง VS.NET Express เครื่องก็มีอยู่แล้ว ควักตังซื้อ Windows 8 1 License ต้นทุนผม (เอาแบบชัดๆ นะ) ก็คือราคาของ Windows 8 ในรูปแบบนี้นักพัฒนาที่ต้องการเขียนโปรแกรมแจกฟรี ผมคิดถึงที่สุดยังไง ต่อให้จ่ายปีละ 15 บาท ผมก็คงไม่อยากอัพโหลดขึ้นอยู่ดี (อันนี้ผมอาจจะพูดในเชิง "ถึงที่สุด" นะ ในความเป็นจริงผมอาจจะยอมๆ จ่ายตั้งแต่ 30 บาทต่อปีก็ได้) ตรงนี้มันผิดจาก BlackBerry ชัดเจนที่ Vendor Account ก็ไม่ต้องเสีย เครื่องพัฒนาก็มี อุปกรณ์เครื่องมือ (เช่น Momentics) ก็ฟรี ฯลฯ
เรื่องอื่นผมเห็นด้วยนะ ซึ่งในแง่นี้ผมต้องชมว่า Apple ทำได้ดีมาโดยตลอด ในทางกลับกัน ผมรู้สึกว่า BlackBerry ยังทำในแง่นี้ได้ค่อนข้างแย่ (แม้ว่าจะมี B4BB) ส่วน Android... ผมคงไม่ต้องพูดมั้ง?
I'm ordinary man; who desires nothing more than just an ordinary chance to live exactly what he likes and do precisely what he wants.
คือกำลังจะบอกว่ามันกระทบในแง่ของอารมณ์รึป่าว คือไม่ใช่ว่ามันไม่คุ้มในแง่ตัวเลข.. เช่นแม้จะเอาแค่ปีละ USD1 ทว่าตลอดชีพที่ USD25 มันเย้ายวนกว่าอยู่ดี อะไรทำนองนั้น?
แต่ไงซะ พอชม apple มานี่ ทำเอาไปต่อไม่ถูกเลย สงสัยผมคงอ่านข้ามหรือเข้าใจตรงไหนผิดแหง.. คือ คชจ ของ dev สำหรับฟาก apple นี่น่าจะโหดสุดไม่ใช่หรอ
ต้องจ่ายรายปีแพงทั้งๆ ที่น่าจะฟรีแบบฟาก BB ด้วยซ้ำ เพราะใช้โมเดลมีรายได้จากการขาย HW เองเหมือนกัน ซึ่งรายได้น่าจะดีกว่าแบบที่มีรายได้จาก license .. และถ้าบอก Windows 8 License คือต้นทุน ฟาก apple น่าจะหนักกว่ารึป่าว
คือได้ยินบ่อยๆ เรื่องคนที่จะทำแอพสำหรับ iOS เลยซื้อแมคมา แต่ไม่เคยได้ยินคนบอกจะซื้อ windows มาเพื่อทำแอพสำหรับ WP .. รึแม้จะมี ไงซะยังจ่ายน้อยกว่าฟาก apple อยู่ดี เพราะจ่ายแค่หลักพันเนื่องจากยังใช้เครื่องเดิมๆ ได้ ทว่าฟาก apple นี่ยังไงๆ ซะต้องควักหลักหมื่นเลย (แต่ส่วนตัวแล้วคิดว่าการถือว่า Windows 8 License คือต้นทุนของ dev ไม่น่าจะเหมาะ ต้องดูรายคนไปคือสำหรับคนที่มี windows ใช้อยู่แล้ว คงต้องถัวค่า License ไปกับการใช้งานอื่นๆ ด้วย ไม่ใช่เอาค่า License ทั้งหมดมานับว่ามันคือ คชจ ของงาน dev)
ปล.
หาก คชจ เรื่อง Windows License มีผลต่อการเลือกทำไม่ทำ.. งั้นต่อไปสถานการณคงดีขึ้น เพราะอีกซักพัก dev tool แบบ web-based อย่าง touchdevelop คงเริ่มถือได้ว่าคือตัวเลือกสายหลักตัวนึงเช่นกัน เนื่องจากทูลแนวนี้หลายตัวยืนยันแล้วว่าจะรองรับ WP ด้วย (แม้จะเทียบ native ไม่ได้ แต่เริ่มดีพอสำหรับตัวเลือกสายหลักละ)
ผมชม Apple ในแง่ของการ filtering แอพที่ดีใช้ได้ในระดับหนึ่งนะครับ มิใช่ประเด็นค่าใช้จ่ายแต่อย่างไร (ผมยังไม่อยากไปเล่น iOS ก็เพราะแบบนี้ แพงเกิน) ไล่ตั้งแต่ต้องซื้อเครื่อง (ไม่นับ Hackintosh ทั้งหลาย) ไปจนถึง Target Machine ฯลฯ ในแง่โดยรวมของสภาพแวดล้อมการพัฒนา มันแพงสุดอยู่ดีครับ (ซึ่งก็... ส่วนตัวนะครับ แต่เป็นผมคงไม่ลงทุนเป็นหมื่น เขียนแอฟฟรีแน่ๆ)
เรื่อในเชิงอารมณ์หรือเปล่าสำหรับค่าใช้จ่าย คำตอบคือไม่ใช่ครับ เพียงแต่เอาแบบ "คิดให้ถึงที่สุด" (To most extended) ในเชิงตรรกะเท่านั้นเองครับ เพราะผมเชื่อว่าถ้ามันลงมาเหลือปีละ 1 USD โมเดลแบบ Google มันก็จะไม่มีประโยชน์เลย เพียงแต่ถ้าย้ำอย่างที่บอก ในเชิงตรรกะ มันอยู่ระหว่างจ่ายกับไม่จ่ายเลยนะครับ (อีกที ของจริงผมอาจจะยอมจ่ายตั้งแต่ปีละ 2 USD ก็เป็นได้ ซึ่งยากที่จะมีใครยอมให้ราคานั้นตลอดชีพจนกว่าบริษัทจะพังพาบ)
แน่นอนว่าในแง่นี้ ต้นทุนของ Apple หนักกว่าแน่ แต่ก็วกกลับมาประเด็นเดิมครับ... Amature programming จะทำยังไงครับ? ผมเห็นด้วยว่าการเอาค่าลิขสิทธิ์ไปนับเหมารวมในฐานะค่าใช้จ่าย มันจะดูเป็นการจุกจิกจนเกินไป (ผมมีศัพท์เฉพาะ ที่ไม่ค่อยเหมาะกับที่สาธารณะ แต่ขึ้นต้นด้วย ป.) แต่ในทางกลับกัน ก็มี dev หลายคน ซื้อ Windows เพราะความจำเป็นในการพัฒนาโดยไม่มีเหตุผลอื่นเช่นกัน อาจจะนับก็ได้ ไม่นับก็ได้ แต่ในกรณีผม ซื้อ Windows 8 บนฐานคิดว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของต้นทุนในการพัฒนาโปรแกรม (มองในแง่ผู้ใช้: ผมจะอัพเกรดเป็น Windows 8 ทำไม ในเมื่อที่ Windows 7 ทำงานทุกอย่างที่ผมอยากทำได้ครบ?)
แน่นอนว่า touchdevelop อาจจะช่วยได้ในแง่ licensing model แต่อย่างที่คุณบอก... รีดพลังเท่า native ไม่ได้ มันก็เป็นปัญหาอีกชุดที่ต้องเผชิญ (และในที่สุด "อาจจะ" ไม่มีใครใช้ก็ได้) จะให้ผมสมัคร MSDN เพื่อเอา Windows มาเขียนโปรแกรมฟรีเล่นๆ อีก ก็ดูจะไม่คุ้ม ยกเว้นว่าผมจะมีเงินเหลือเก็บจริงๆ อะไรทำนองนี้
ผมอาจจะคิดมากไป จุกจิกกับรายละเอียดมากไปนะ แต่ในทางกลับกัน มันก็พอให้เห็นว่า อะไรมันคือปัญหาที่สะท้อนอยู่ในตัวของ Windows / Windows Phone 8 (ซึ่ง คนที่รักในอุดมการณ์มากๆ ก็จะบอกว่า เฮ้ย 99 USD จ่ายเถอะ เรื่องเล็ก ปัญหาคือกินมาม่าทุกวันไม่ได้น่ะสิ)
ปล. ผมพูดอยู่ในแง่เชิงตรรกะล้วนๆ ของจริงอย่างที่บอก คงไม่มีใครนั่งจู้จี้กับเรื่องแบบนี้ บางคนอาจจะยอมๆ จ่ายให้หมดๆ ยินดีแบกรับค่าใช้จ่าย ฯลฯ อันนั้นก็ว่ากันไป
I'm ordinary man; who desires nothing more than just an ordinary chance to live exactly what he likes and do precisely what he wants.
มิน่า ก่อนหน้านี้เจอชื่อ apple แล้วงง.. เข้าใจถูกละว่าเข้าใจผิดนั่นเอง >.<
ส่วนเรื่องอื่นๆ คงไม่ใช่ว่าจุกจิกอะไร เพียงแต่ decision tree ของแต่ละคนนั้น ต่อให้มี factor ประกอบเหมือนกัน ไงซะคง weight ไม่เท่ากันอยู่ดี.. คงต้องดูต้องว่ากันไป case by case (แต่ถ้า case ที่เลือกมามันไปตกในกลุ่มส่วนน้อย อันนี้ถือว่าซวยไป จะซวยเพราะเลือกผิดหรือซวยเพราะผิดแล้วยังเลือกนั่นอีกเรื่อง)
เว้นเรื่อง จ่ายครั้งเดียว กับ จ่ายตามช่วงเวลา .. ยังสงสัยว่ามันไปอยู่ระหว่าง จ่าย กับ ไม่จ่าย ได้ยังไง (ถ้าไม่สนเรื่องจำนวนตัวเลข คือหากสนนี่ไม่มีไรต้องถกกันต่อเพราะมันชัดอยู่แล้วว่าฟาก WP มี คชจ สูง แต่ว่าตัดเรื่องนั้นออกแล้วขอดูแค่โมเดลการจ่ายละกัน มันน่าจะคือ capex กับ opex ปะ ซึ่งไงซะมันยังคือ ex ยังต้องจ่ายอยู่ดี ไม่ใช่ไม่มีอะไรต้องจ่าย รึป่าว?)
ปล. เรื่องการใช้งานเดิมๆ ที่ทำบน win7 ได้อย่างไม่มีปัญหา เลยทำให้ไม่ต้องอัพไป win8 นี่.. อาจต้องดูต่อไปอีกซักพัก เพราะ os มันคือ foundation ไงมันต้องมาก่อน application แน่นอน (แต่ถ้าท้ายสุดไม่มี app ไรที่ต้องการ os ใหม่ คงไม่แปลกที่จะไม่อัพ อย่างพวกดอสนี่ยังมีคนใช้อยู่เลย แต่มันคือ case by case)
อธิบายในเชิงตรรกะ คือ ถ้าสมมติถึงแม้ว่าคุณจะต้องจ่ายบาทเดียวทุกปี ก็ยังถือว่าเป็นการจ่ายครับ ถ้าไม่จ่ายก็คือต้องฟรีแบบ free as a free beer ไปเลย (แบบที่ BlackBerry กำลังทำเวลานี้) ดังนั้นไม่ว่าจะจ่ายกี่บาท ไม่สำคัญครับ ก็ถือว่าเป็นการจ่าย อันนี้ในแง่ของฟรีไม่ฟรี (ผมเน้นย้ำในแง่นี้มากกว่าประเด็นอื่นนะ)
ส่วนเรื่องจ่ายตามช่วงเวลากับจ่ายครั้งเดียว ถ้าคิดว่ามันเป็น expense ต้องจ่ายก็ถูกนะครับ แต่คิดในแง่ที่ว่า จบครั้งเดียว เอาไปคำนวณ (calculate) ยอดเดียว กับเป็น 'ภาระ' ที่ต้องจ่ายในระยะยาวมากกว่าครับ อันนี้ผมอาจจะอธิบายไม่ชัดเจนก่อน ก็ต้องขอโทษคุณเอาไว้ตรงจุดนี้
I'm ordinary man; who desires nothing more than just an ordinary chance to live exactly what he likes and do precisely what he wants.
ราคาสมัครเท่ากับ iOS คือ ปีละ $99 แต่ระบบห่วยกว่ามาก เช่น
เอาเงินไปปรับปรุงระบบให้เสถียรกว่านี้จะดีไหม แล้วคนจะกล้าเข้ามาฝากผีฝากไข้มากขึ้นเอง
Why US!!??
ไมโครซอฟท์ควรเริ่มจาก ขาย Office บน Windows Store ก่อน และจะดีมากถ้าทำให้มันเป็น Metro ด้วย
แต่ฟีเจอร์ยุบยั่บขนาดนั้นทำเป็นเมโทรคงยากหน่อย
Office มันมี Store ของตัวเอง ขืนยุบมาไว้ด้วยกันจะพางงมั้ยหนอ.. ที่มีแววมากสุดคงต้องรอหลัง blue มา ว่าจะทำให้ยุบ Store ของ Windows กับ WP มาไว้ด้วยกันได้รึยัง ?
ส่วนพวก Metro กำลังทยอยมา (www.blognone.com/node/41069) .. จะว่าไปแล้ว นอกจาก excel คงเหลือแค่ ppt ที่ทำ Metro แล้วเหมาะ ตัวอื่นดูไม่น่าสำคัญที่จะทำ editor แบบ Metro (word แบบพื้นๆ ตัว onenote พอจะใช้แทนได้อยู่ ซึ่งระหว่าง onenote กับ word มันโยนเนื้อหาไปมาได้ ส่วนตัวอื่นๆ หากทำคงหนักไปทาง viewer ซะมากกว่า คือทำฟีเจอรคล้ายๆ acrobat)
คงยากที่จะมา Metro กันหมด เพราะ working style มันต่างกัน.. ฟาก windows มีงานแบบ workstation อยู่ แต่ Metro มันมาชนกับ iOS/android ซึ่งมีลักษณะการใช้งานคนละแบบจับผู้ใช้คนละกลุ่ม
ลงทุนสูงน่ะแค่ IDE ก็ปาไปเท่าไหร่แล้ว ต้องใช้ Win8 อีกทางเลือกคือ Phonegap แต่ก็จำเป็นต้องลงผ่าน SDK อยู่ดี -_-"
แอปดีๆมีเยอะเพียงแต่ว่ามันไม่ฟรี