ซัมซุงรายงานผลประกอบการประจำไตรมาสแรกของปี 2013 มีรายได้ 52.87 ล้านล้านวอน หรือประมาณ 47.6 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 16.8% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีที่แล้ว โดยมีกำไรสุทธิ 7.15 ล้านล้านวอน หรือ 6.45 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นถึง 41.6% ทั้งนี้รายได้นั้นลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว เนื่องจากปัจจัยทางฤดูกาล แต่กำไรสุทธินั้นเพิ่มขึ้นเป็นสถิติใหม่อีกครั้งติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 6
ส่วนธุรกิจที่สร้างรายได้และกำไรอย่างเป็นกอบเป็นกำให้ซัมซุงก็ยังคงเป็นส่วนธุรกิจโทรศัพท์มือถือ ที่มีรายได้เฉพาะส่วนนี้ถึง 32.82 ล้านล้านวอน และในไตรมาสปัจจุบันตัวเลขนี้น่าจะสูงกว่านี้อีกเนื่องจาก Galaxy S4 เริ่มวางจำหน่ายแล้ว
ซัมซุงยังคงเลือกไม่เปิดเผยตัวเลขยอดขายสมาร์ทโฟนรวม ที่มีทั้งสมาร์ทโฟนระดับบน-กลาง-ล่าง แต่นักวิเคราะห์ได้ประเมินออกมาว่ามีค่าเฉลี่ยประมาณ 68-70 ล้านเครื่อง สูงกว่าไตรมาสที่แล้วที่ 63 ล้านเครื่อง ขณะที่แอปเปิลซึ่งเพิ่งรายงานผลประกอบการไปบอกว่าขาย iPhone ได้ 37.4 ล้านเครื่อง
Comments
iphone เหมือนขายได้น้อยลงหรือเปล่า
ไม่หรอกครับตลาดมันขยายตัวขึ้นเท่าที่เห็น พวก Huawei ZTE ก็ขายได้เพิ่มขึ้นกันหมด แต่ตัวซัมซุงก็ขายได้มากขึ้นเหมือนกัน แถมกำไรต่อหน่วยของซัมซุงมากกว่าชาวบ้านเค้า พวกที่ใช้วัสดุดีๆทำก็ต้นทุนสูง ถ้าใช้วัสดุธรรมดาๆต้นทุนก็ย่อมถูกกว่า
แต่ทำไมต้นทุน iPhone กลับถูกกว่าละครับ และต้นทุนวัสดุทำแชสซีมันไม่ใช้ต้นทุนทั้งหมดของโทรศัพท์น่ะครับ ไม่น่าจะถึง 5% ด้วยซ้ำ ที่แพงมัน cpu ram มากกว่าน่ะครับ แล้วถ้าพูดว่ากั๊กสเป็คมันจะลดต้นทุนได้มากกว่าหรือเปล่า มันก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้นเสมอไปอีก การผลิตแบบโรงงานความสำคัญมันอยู่ที่จำนวนการผลิตมากกว่า ถ้ามีการวางแผนการจัดซื้อที่ดี และผลิตได้ตามเวลาย่อมเรียกได้ว่ามีต้นทุนถูกกว่าเจ้าอื่น
ต้นทุนของ apple ต่ำกว่า ด้วยการเลือกจอเล็กๆ ความละเอียดที่เดี่ยวนี้ก็ต่ำกว่าชาวบ้านแล้ว เสปคก็ไม่สูง และการมีโมเดลเดียว ยังทำให้สั้งซื้อของทีละมากๆ เลยซื้อใด้ในราคาถูก
samsung ใหญ่แค่ใหน ?
https://youtu.be/6Afpey7Eldo
ถึงจะวางแผนดียังไงมันก็มีข้อจำกัดแหละครับ อย่างชนิดวัสดุหรือรูปแบบที่เปลี่ยนไปขั้นตอนยากขึ้นอาจจะทำได้สูงสุด 1 ชม.ได้30เครื่อง แต่ถ้าใช้พลาสติก 1 ชม. อาจจะได้ 100เครื่องเป็นต้น อีกอย่าง cpu,gpu ของแอปเปิลก็ไม่แน่จะทำราคาได้ถูกว่าของ SS แล้ว ยังมี part อื่นเช่นกล้องตัวกระจกใชsapphireและยังมีต้นทุนที่มองไม่เห็นเช่นบริการอื่นอีกเช่น software service เช่น patch หรือ feature บางอย่าง(ถ้าไม่ตัดรุ่นล่างเร็วๆนะ) เดี๋ยวนี้หลังๆถ้าไปดูงบการเงินแล้ว margin ของ iphone กับ ipad ลดลงอย่างมากเลยครับโดยเฉพาะ ipad นี่ลดจนน่าตกใจ
Apple ไม่มีต้นทุนโรงงานผลิตครับ(ช่วงผลิตน้อยต้นทุนก็ยังเท่าเดิมเพราะจ่ายตามจำนวนชิ้นงาน) +เครดิตจากเงินสดที่ล้นมือ ทำให้การใช้ปริมาณในคำสั่งซื้อ(แบบเดียวที่เยอะมากๆ มากกว่าSSยิ่งนัก) มากดราคาชิ้นส่วนทั้งหมด และต้นทุนค่าแรงที่ไม่แพงมาก (ทำให้เฉลี่ยต่อเครื่องไม่สูงมาก น่าจะต่ำกว่าSSด้วย)
ที่สำคัญที่สุดคือการใช้ DHL เป็นผู้จัดการระบบห่วงโซ่อุปทาน ระบบของเยอรมัน เป๊ะๆ
http://www.asymco.com/2013/04/25/margin-call-2/
จากงบคือรายได้มากขึ้น(ขายได้มากขึ้น)แต่ revenues per unit shipped กลับดิ่งลงแล้วเมื่อไปดูที่ gross margin จะเห็นว่าตอนนี้กลับเป็นวกลงอย่างเห็นได้ชัด ทำให้เห็นได้ว่าหลังๆพวก gross margin ตกลงหมด เห็นได้ว่าต้นทุนเพิ่มแน่ๆ
จ่ายตามชิ้นงานแต่สัญญาน่าจะมีขั้นต่ำหรือเงื่อนไขกำหนดไว้นะ โรงงานเค้าต้องเผื่อกำลังการผลิตให้เราคงไม่ทำสัญญาโดยไม่มีหลักประกันอะไร ต้นทุนที่โรงงานเค้าคิดมาก็ต้องบวกค่าอื่นๆ มาแล้วไม่ถูกกว่าผลิตเองหรอกครับกรณีผลิตของเหมือนกัน
อคติทำให้คนรับเหตุผลด้านเดียว
ซัมซุงจะครองโลกแล้ว
ทำมันทุกอย่าง ค่ายอื่นก็สู้ยากขึ้นทุกวัน
เพราะทำอะไรแหวกแนวมาแข่ง ซักพัก ซัมซุงก็ทำมาแข่งอีก
แล้วต้นทุน ต่างๆก็ได้เปรียบกว่า กำไรขนาดนี้
เอาไปลงทุนแข่งกับเจ้าไหนก็สู้ลำบาก ยิ่งทุนเยอะยิ่งแข็งแกร่ง ตามทุนนิยม -,,-
แค่ใน SmathPhone ก็แบ่งตลาดไปเยอะโข
การมีโรงงานผลิตเองไม่ใช่ดีไปหมด อาจจะควบคุมทุกอย่างเองได้ แต่หยุดเฉยๆไม่ได้ครับต้นทุนกินเปล่าเกิดทันที แต่Appleไม่มีตรงนี้นะ บางทีการมีสายการผลิตด้านเทคโนโลยี่ครบวงจร อาจเป็นทุกขลาภก็ได้เพราะสินค้ามันเปลี่ยนไวจริง
ดู CP ก็มีครบวงจรในธุรกิจ แต่สายการผลิตแทบจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใหญ่เลย น่าจะดีกว่าเยอะ
วิเคราะห์งบ ss นี่ยากเหมือนกันนะ แกเล่นไม่แยกเลย แบบนี้บอกว่าตัวไหนขึ้นหรือ make เองก็ได้นะว่าจะให้ model ไหนขายดีตรงนี้ผมว่างบทาง apple ดูง่ายกว่าเยอะ
Samsung ดูยากก็เข้าใจได้ครับ product mix เยอะ และเขาไม่จำเป็นต้องรายงานแยกด้วย แต่ Apple เดี๋ยวนี้ก็ดูไม่ง่ายแล้วครับ เดิม 1 category มี 1-2 model เดี๋ยวนี้หลากหลายมากขึ้นมาก กินมาร์จิ้นกันไปมาด้วย